บทที่ 227 ปลดปล่อยความรู้สึก
“ห้ะ เจิ้งยี่เองก็…”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเฉินเฉียง จางหยวนก็นิ่งอึ้งไป
อย่างไรก็ตาม จางหยวนไม่ได้คิดอะไรมากรีบถามสวนกลับไป “กัปตัน นี่แสดงว่าท่านรู้สถานะของเจิ้งยี่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แล้วด้วยการที่พ่อแม่ของเขาต้องตกตายด้วยน้ำมือพวกมนุษย์กลายพันธุ์แล้วทำไมเขาถึงได้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์อีกกัน นี่มันไม่รู้ดีรู้ชั่วชัดๆ”
“นี่เขาไม่คิดแก้แค้นให้พ่อแม่ตนเองเลยรึไง”
“เหอะ หากข้าเป็นเจิ้งยี่นะ ข้าคงไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้จนยอมตายดีกว่าที่จะยอมกลายเป็นปีศาจร้ายแบบนี้”
คำพูดของจางหยวนนั้นแม้จะดูไม่น่าฟัง แต่เฉินเฉียงเองก็ไม่ได้คิดแย้งแต่อย่างใด
เพราะยังไงซะ จางหยวนนั้นเป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว และเขาเป็นคนที่ตั้งมั่นในคำมั่นสัญญา
ตั้งแต่ตอนที่เขาพบเจอจางหยวนในครั้งแรกก็คือตอนก่อนที่จะเข้าสำนักเต่าดำ เขารับรู้เป็นอย่างดีว่าจางหยวนนั้นเป็นคนที่แข็งกร้าวแต่ตรงไปตรงมา ด้วยการที่เป็นคนได้อย่างเสียอย่างแบบนี้ จึงเป็นธรรมดาที่จะมีบางอย่างบดบังสายตาในการตัดสินใจของเขา
อย่างไรก็ตาม จางหยวนนั้นไม่รู้ว่าเจิ้งยี่นั้นเป็นคนประเภทเดียวกับเขาและเคยคิดทำในเรื่องที่จางหยวนพูดออกมาแล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะเฉินเฉียงปรามเขาไว้ เจิ้งยี่เองก็คงยอมรับความตายไปแล้วก่อนหน้านี้
เฉินเฉียงเองได้ถอนลมหายใจออกมาอย่างหนักและพูดออกมา “จางหยวน เจ้านั้นเข้าใจเขาผิดไปแล้ว”
“ในตอนที่ประลองศึกสี่สำนักนั้น ด้วยการปรากฏตัวของหลินฟาน มันผู้นั้นได้ก่อเรื่องเลวร้ายลอบเปลี่ยนผู้คนที่หมายตาให้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ในมิติประลอง ในครั้งนั้นมันก่อการจนเกือบจะทำให้แม้แต่ฉิงเชินเองเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยซ้ำ”
“และแน่นอนว่าเจิ้งยี่ที่เป็นถึงอันดับหนึ่งของสำนักมังกรอาชูร่าย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆของหลินฟานเลยด้วยซ้ำ”
“ในตอนนั้นน่าเสียดายจริงๆที่ข้าไม่อาจจะช่วยเจิ้งยี่ได้ทันการ ผลคือเจิ้งยี่พลาดพลั้งตกหลุมพรางแล้วถูกหลินฟานฝังแผ่นแก่นพลังงานลงไปในหัวสมอง”
“แต่ถึงจะเกิดเหตุนั้น มีเพียงเจิ้งยี่เท่านั้นที่ออกไปเตรียมที่จะยอมรับต่อหน้าทุกคนว่ากลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไว้แล้ว พร้อมเตรียมรับโทษทัณฑ์”
“เป็นข้าต่างหากที่เข้าไปขวางและปกป้องเขาไว้”
“เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าข้าเห็นแล้วว่าเขานั้นไม่ยินดีที่จะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือพ่อแม่ของเขาเองต่างก็ตกตายในน้ำมือมนุษย์กลายพันธุ์ นี่ยิ่งทำให้เขานั้นยอมรับสภาพตัวเองไม่ได้”
“พวกเรานั้นต่างก็รู้ดีว่าพวกเราและมนุษย์กลายพันธุ์ต่างก็เปรียบได้ดั่งน้ำและไฟ”
“แต่จากประสบการณ์ของข้าที่รับรู้มาในไม่กี่ปีมานี้ หลายครั้งหลายหนที่มนุษย์เองโหดร้ายยิ่งกว่ามนุษย์กลายพันธุ์เสียอีก”
“ก่อนหน้านี้ที่เขตแดนโลหิต ข้าได้พบกับถูหมั่นเถียนและหัวหน้ากองโจรคนอื่นที่ยินดีปรีดาในการฆ่าฟันเผ่าพันธุ์ สนุกสนานไปกับการดื่มเลือดกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกันเอง เจ้าคิดว่าคนเช่นนี้สมควรนับว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันหรือไม่”
“ไหนจะผู้อาวุโสฮั่นจุยที่เป็นถึงแนวหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่ยังกล้าจะโจมตีเผ่าพันธุ์เดียวกันเองเพียงเพื่อที่จะได้สาวงามอย่างฉิงเชินไปไว้ในกำมือโดยไม่สนใจว่าข้าจะเป็นหรือตาย”
“แถมยังก่อนหน้านี้นี่อีก ซุนเหลียงและพวกของมันที่ได้ชื่อว่าเป็นนักรบของเผ่าพันธุ์แต่กลับบั่นทอนคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเดียวกันเองนอกจากจะยอมศิโรราบ นี่ขนาดร่วมมือกันโค่นล้มสัตว์ประหลาดด้วยกันนะ พวกมันยังกีดกันผลประโยชน์จากพวกเจ้าเลย”
“และด้วยประสบการณ์ความอยุติธรรมนานาที่ข้าได้ผ่านมานั้น ทำให้ข้า ไม่อาจมองเรื่องพวกนี้เพียงผิวเผินได้”
“หรืออย่างก่อนหน้านี้ ด้วยสถานการณ์ของข้า เจิ้งยี่นั้นยินยอมพร้อมตายไว้แล้วถึงขนาดยอมใช้พลังที่ตัวเองไม่ยอมรับแม้แต่ตัวเองต้องตกตายก็ไม่ใช้ แต่เขากลับใช้มันเพื่อช่วยเหลือชีวิตข้าผู้นี้ แล้วเจ้ายังคิดว่าข้านั้นตาบอดที่รับเขามาอีกรึไง แต่สำหรับข้านั้น นี่คือสิ่งที่มีค่าที่ข้าได้รับมาในกองกำลังแห่งนี้”
“สำหรับข้าน่ะนะ การมีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้นให้พ่อแม่นั้นคือการล้างแค้นและล้างความอับอายของตนเอง”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เดินไปรอบตัวเจิ้งยี่ และสุดท้ายก็ได้วางมือบนไหล่ของเขาและถอนหายใจออกมา “โชคดีสำหรับข้าแล้วที่เจิ้งยี่ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง นั่นก็เพราะนับแต่เข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ เจิ้งยี่ใช้ทุกสิ่งที่มี เติมเต็มคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับข้า”
“ไม่เพียงเขานั้นจะช่วยเหลือผู้คนในกองกำลังไว้นับครั้งไม่ถ้วน แถมเขานั้นยังไม่เคยคิดเข้าร่วมกับมนุษย์กลายพันธุ์แม้ตัวเองต้องเกือบตกตายอยู่หลายหน”
“แถมในฐานะองครักษ์แล้ว หากว่าไม่ใช่เพราะช่วยชีวิตข้า ข้าเชื่อว่าเจิ้งยี่คงไม่ยอมใช้สิ่งที่เขารังเกียจจับใจออกมาอย่างแน่นอน”
“และหากไม่มีเรื่องนั้น เจิ้งยี่เองก็คงไม่มีทางแสดงพลังออกมา”
จางหยวนเมื่อได้ยินก็คิดตามว่าทำไมเจิ้งยี่นั้นถึงยินดีที่จะเสี่ยงอยู่ในใจทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แล้วเขาในฐานะมนุษย์แท้ๆยังคิดจะเสี่ยงแบบนี้บ้างรึเปล่า
และท้ายที่สุด เขาก็พบว่าเจิ้งยี่นั้นสมควรจะเป็นสิ่งหนึ่งที่มนุษย์หลายคนถวิลหา คนที่เชื่อใจได้ที่แม้แต่ยอมสละชีวิตตัวเองให้กับเฉินเฉียง สิ่งที่เรียกว่าพี่น้องที่ดี
คำพูดของเฉินเฉียงนั้นราวกับทรงพลังและก้องกังวานเข้าไปในจิตใจของแต่ละคน แม้แต่จางหยวนเองก็ต้องนิ่งคิดไปนาน
หลังจากผ่านสักพัก เม่ยหลัวหลันก็ได้ถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ “เอ่อ…กัปตันคะ นี่หมายความว่าพวกเรานั้นไม่ควรจะฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์หรอกเหรอคะ หากพวกเราได้พบเจอมนุษย์กลายพันธุ์เฉกเช่นเจิ้งยี่แล้วคงจะน่าเสียดายไม่น้อยที่ต้องฆ่าคนเช่นเขา”
จางหยวนที่ได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วหันหน้าไปมองเฉินเฉียง
เฉินเฉียงได้ส่ายหัวไปมาในทันทีแล้วพูดออกไป “ไม่ พี่สาวหลัวหลัน ยังไงซะข้านั้นก็ยังถือว่ามนุษย์กลายพันธุ์คือศัตรูคู่อาฆาตของข้าอยู่ดี”
“หรือจะให้หมายความอีกอย่างก็คือ ต่อให้เรารับรู้ว่าอาจจะมีมนุษย์กลายพันธุ์แบบเจิ้งยี่ แต่พวกเราก็ไม่อาจผ่อนคลายการฆ่าฟันพวกมันลงไปได้”
“นั่นก็เพราะในตอนนี้ทั้งมนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ต่างก็ถือว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอยู่”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ทุกคนในกองกำลังก็ได้บังเกิดคำถามคาใจที่ไม่อาจหาคำตอบได้
ทำไมมนุษย์กับมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ร่วมมือกันอย่างสันติล่ะ
ทำไมต้องแบ่งฝักแบ่งฝ่ายฆ่ากันจนถึงตายกันไปข้าง
ตราบใดที่คำถามเหล่านี้ยังไม่ได้คำตอบ มนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ก็คงต้องฆ่าล้างกันไปให้หมดไปกันข้างใดข้างหนึ่งไม่งั้นคงจะไม่เลิกราต่อกัน
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่านเองก็ยังบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่พักสักหน่อยล่ะ”
ฉิงเชินช่วยเฉินเฉียงให้นั่งลงอีกครั้ง ก่อนที่จะนำเม็ดยาฟื้นฟูออกมาจากแหวนมิติของตนแล้วป้อนเขา
ความจริงแล้วเฉินเฉียงนั้นแค่ใช้พลังจิตมากไปจนเหนื่อยล้าเพียงเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นท่าทางของฉิงเชินแล้วก็ไม่อาจจะปฏิเสธและยอมให้ป้อนยาแต่โดยดี ก่อนที่เขานั้นจะนำแก่นวิญญาณออกมาจากแหวนมิติ และใช้มือขวาดูดซับเพื่อฟื้นฟูพลังจิตของตน
หลังจากได้ดูดซับแก่นวิญญาณไปแล้ว พลังจิตของเขาก็กลับมาสมบูรณ์พร้อมเช่นเดิม
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ก่อนหน้านี้ข้าเองเห็นชัดว่าท่านนั้นมีปีกแบบเดียวกับมนุษย์กลายพันธุ์ นั่นมีความเป็นมายังไงเหรอ”
เฉินเฉียงยิ้มก่อนที่จะตอบออกไป “ฉิงเชิน หากจะให้ข้าอธิบายนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่จะเล่าให้เข้าใจได้ในเวลาสั้นๆหรอกนะ”
“แต่ข้าอยากให้เจ้าจดจำไว้อย่างหนึ่งว่าอย่าบอกใครเรื่องนี้ แล้วก็อย่าบอกใครว่าพบเจอข้าในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้”
“เจ้าเองก็น่าจะพอรับรู้ได้ว่าผู้อาวุโสฮั่นจุยนั่นไม่ได้คิดจะมีความสัมพันธ์อันดีกับข้า หากรู้เรื่องนี้ เขาคงไม่คิดจะรับฟังและต้องไม่ปล่อยข้าไว้เป็นแน่”
“ได้ ข้าเข้าใจดี ศิษย์พี่ใหญ่เฉินเฉียงอย่าได้กังวล ข้า พี่หลู่ พี่หยันหลันจะไม่บอกเรื่องของท่านกับใคร”
หลู่ฟางได้จูงมือชุยหยันหลันมาแล้วรีบพูดในทันที “ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องห่วง ก่อนหน้านี้ถ้าข้ารู้ว่าเป็นเจ้าข้าคงไม่ลงมือหนักขนาดนั้น” “เจ้านี้น้ามีความลับมากมายจริงๆ แถมยังมีหน้ามาหาเรื่องกับพี่ใหญ่ของเจ้าหลายครั้งหลายครา เจ้านี่เรียกว่าตัวปัญหาชัดๆ”
เฉินเฉียงที่เห็นท่าทางราวกับการดุด่าสอนสั่งและห่วงใยของหลู่ฟางและชุยหยันหลันแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีขึ้นมา นั่นก็เพราะยังไงซะพวกเขาก็คือศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน
หลังจากที่จางหยวนและพวกเห็นท่าทางที่อ่อนลงของเฉินเฉียง ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา และเริ่มคิดเรื่องของเจิ้งยี่ในทางที่ดีขึ้น
“เจิ้งยี่ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ข้า….ขอโทษ”
จางหยวนในฐานะผู้นำที่ก่อการกับเจิ้งยี่ได้พาคนทั้งแปดก้มหัวยอมรับความผิดด้วยหัวใจ
เจิ้งยี่เองก็หัวเราะเล็กน้อยและส่ายหัวไปมาก่อนที่จะพูดออกไป “รองกัปตัน ท่านนั้นไม่ผิดหรอก เป็นข้าต่างหากที่พลั้งพลาดไปในครานั้น หากข้าเป็นเช่นเดียวกับท่านข้าเองก็ทำไม่ต่างกัน แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่อยากจะยอมรับตัวเองเลยด้วยซ้ำ”
เมื่อคำพูดของเจิ้งยี่ออกมาราวกับสื่อถึงความคิดในใจที่ฝังลึกของตนเอง จางหยวนและพวกยิ่งรู้สึกเสียใจหนักกว่าเดิม
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นฉากนี้ก็มีท่าทีที่เบาใจลง
ถึงแม้จะเป็นการยากที่จะทำให้จางหยวนนั้นยอมรับเจิ้งยี่ในตอนนี้ได้ก็ตาม
แต่กับผลลัพธ์ที่ออกมาในตอนนี้ก็ยากที่จะได้เห็นแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าปมในใจของเขาในเรื่องเจิ้งยี่นั้นได้สลายหายไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับเจิ้งยี่เองก็สมควรจะดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูร่วมกัน
“เอาล่ะ จางหยวน เจิ้งยี่ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่มีเรื่องผิดใจกันแล้วสิน้า….”
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าพลังเหนือมนุษย์ของเจ้านั้นคือการเขมือบใช่รึเปล่าเจิ้งยี่”
“หากเป็นแบบนั้นจริง…..อืมมมม… ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้าสักหน่อยน่ะ หวังว่าเจ้านั้นจะยอมทำตามที่ข้าขอนะ”
“กัปตัน มีเรื่องอะไร ตราบใดที่ข้าทำได้ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ” เจิ้งยี่ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมท่าทางที่มุ่งมั่น