ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 228 พลาดโอกาสอีกครา

บทที่ 228 พลาดโอกาสอีกครา

“ฮี่ฮี่ฮี่….”

เฉินเฉียงได้ยืนขึ้นมา ก่อนที่จะเดินไปรอบตัวเจิ้งยี่ พร้อมรอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องและเสียงหัวเราะที่ราวกับว่าได้พบเจอกับสมบัติหายากเย็นแสนเข็ญ

เจิ้งยี่ด้วยรู้สึกกลัวในท่าทางของเฉินเฉียงจนถอยในทันที “กัปตัน ท่านต้องการอะไรกันแน่รีบๆบอกข้ามาดีกว่า…..บอกไว้ก่อนนะว่าข้านั้นเป็นชายชาตรีไม่ได้ชอบเรื่องแนวนั้น”

ฉิงเชินเองก็ได้จับตามองไปที่เฉินเฉียงอย่างไม่วางตา

เธอกับเฉินเฉียงนั้นก็ถือได้ว่ารู้จักกันมาอย่างยาวนาน และเธอและเขานั้นก็มีสายสัมพันธ์ที่พ่อแม่พูดคุยกันไว้แล้ว แต่ถึงกระนั้น เฉินเฉียงก็ไม่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน

-อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่เฉินเฉียงชอบไม้ป่าเดียวกัน-

-ไม่จริงน้า…-

-ถึงแม้พวกกลายพันธุ์จะมีบุตรไม่ได้ก็ไม่ควรจะมีรสนิยมแปลกๆถึงขั้นนี้ไม่ใช่เหรอ-

ในตอนนี้ หลางซานเอ๋อและกัวเหลียงผู้ซึ่งตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซากนั้น เมื่อได้เห็นท่าทางของเฉินเฉียงที่มองเจิ้งยี่จนตาเป็นประกายแล้วก็ได้ถามออกมาในทันที “เอ่อออออ กัปตัน/ศิษย์น้อง นี่ท่าน/เจ้า…มีงานอดิเรกแบบนี้เหรอเนี่ย”

เมื่อได้ยินแบบนั้น เฉินเฉียงก็ได้มองดูโดยรอบก็เห็นทุกคนได้มองเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด มีหรือที่เขานั้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้จะไม่รู้ว่าทุกคนคิดอะไร เขาจึงรีบตะคอกออกไปในทันที

“ไอ้หยา นี่พวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่เนี่ย ข้า เฉินเฉียง เป็นคนธรรมดา ชายแท้ทั้งแท่ง และข้าไม่ได้คิดเรื่องสกปรกอะไรอย่างที่พวกเจ้าคิด”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้หันไปหาเจิ้งยี่พลางถูมือไปมาแล้วพูดออกไป “ฮี่ฮี่ฮี่ เจิ้งยี่เอ้ย ในเมื่อเขาบอกมาว่าเจ้านั้นมีพลังจอมเขมือบแล้ว ถ้ายังไงละก็แสดงให้ข้าเห็นสักหน่อยสิ”

“แม่…เอ๊ย เพียงเรื่องนั้นอ่ะนะ” กัวเหลียงและหลางซานเอ๋อได้กำหมัดของตนคว้าลมไว้ราวกับเสียดายอะไรบางอย่างพลางมองไปที่เจิ้งยี่อย่างเสียดาย ส่วนเหล่าสาวๆนั้นในตอนนี้ต่างก็เบือนหน้าหนีเมื่อได้ยิน

นี่แสดงให้เห็นว่าพลังเหนือมนุษย์ของเจิ้งยี่นั้นทำให้พวกเธอนั้นกลัวขึ้นมาจับใจ

แต่ยังไม่ทันที่เฉินเฉียงจะได้พูดจบประโยคดีสักเท่าไหร่ เจิ้งยี่ก็ได้ตะคอกสวนกลับไปในทันที “เฉินเฉียง หากเจ้ายังล้อข้าเล่นเรื่องนี้อยู่ละก็ ข้า เจิ้งยี่ยอมตัดสัมพันธ์กับเจ้าแล้วฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้แหละ”

สำหรับเจิ้งยี่แล้วเรื่องนี้ไม่ได้ต่างไปจากเข็มร้ายที่คอยทิ่มแทงจิตใจของเขา หากว่าไม่ใช่เพื่อเฉินเฉียงในยามคับขันละก็ เขาคงไม่ใช้มันออกมาโดยง่าย ถึงกระนั้น เฉินเฉียงนั้นกลับอยากให้เขาแสดงออกมาต่อหน้าทุกคนอีกคราเสียอย่างนั้น

เฉินเฉียงเองไม่คิดว่าเจิ้งยี่จะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้จึงได้รีบขอโทษขอโพยออกมาในทันที “เจิ้งยี่ เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดจะล้อเจ้าเล่นจริงๆนะเฟ้ย”

“ข้าเพียงคิดว่าไอ้อ้วนดำตนนั้นมันแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะกับพลังจิตนั่นมันยังแข็งแกร่งกว่าไอ้หลิน….ไม่สิ แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยพานพบมา”

ก็ไม่แปลกที่เฉินเฉียงจะสนใจในมนุษย์กลายพันธุ์ร่างอ้วนผิวคล้ำนั่น นั่นก็เพราะในระหว่างการต่อสู้นั้น มนุษย์กลายพันธุ์ตนนี้แม้จะผ่านการสู้ทางจิตวิญญาณกับเฉินเฉียงอยู่นานสองนานแต่กลับไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย

นี่แสดงให้เห็นว่าทักษะทางพลังจิตของมันนั้นเหนือล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย มีหรือที่เฉินเฉียงจะปล่อยโอกาสนี้ไป

หากว่าเขานั้นได้เทคนิควิธีพลังเหนือมนุษย์ของมนุษย์กลายพันธุ์ตนนี้มาละก็ ค่าพลังจิตของเขาคงจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

ดีไม่ดีจะทำให้เคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรของเขาไปอยู่ในระดับสูงด้วยซ้ำ

นี่จึงทำให้เฉินเฉียงนั้นด้านหน้าพอที่จะขอเจิ้งยี่ในเรื่องนี้

เขานั้นคาดหวังว่าเจิ้งยี่นั้นพอจะคายชิ้นส่วนร่างกายของมนุษย์กลายพันธุ์ตนนั้นออกมา เพียงแค่นิ้วเล็กๆก็ยังดี

ถึงแม้เฉินเฉียงจะพูดออกมาโดยไม่คิดว่าเป็นการล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งเจิ้งยี่ก็ตาม แต่คำพูดของเขานั้นได้ให้ความหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนที่ได้ยิน

เมื่อได้ยินคำบางคำจากคำพูดของเฉินเฉียงแล้วทำให้ไปนึกฉากบางอย่าง อย่างเช่น เขมือบเจ้าอ้วนดำ หรือ อย่างกลืนกินทั้งตัว นี่ทำให้บรรดาสาวๆแทบจะคายของเก่าออกมาในทันที ส่วนเม่ยหลัวหลันนั้นได้พาทุกคนไปด้านข้างแล้วคายของเก่ากันอย่างเป็นทิวแถว

เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าของเจิ้งยี่ก็แดงแป๊ดจากความขุ่นเคือง

“เฉินเฉียง แค่ข้าใช้มันเพื่อช่วยเจ้าก็มากพอแล้ว แต่ข้านั้นไม่คิดว่าเจ้าจะโง่งมพอจนคิดว่าจะเอาเรื่องนั้นมาล้อข้าเล่นแบบนี้ ข้า เจิ้งยี่ มองเจ้าผิดปายยย อ้า………อ้า แหวะ”

เจิ้งยี่ที่เผลอไปนึกถึงตอนตัวเองเขมือบสิ่งไปไม่พึงประสงค์ลงไปเพราะเฉินเฉียงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งไปคายของเก่าออกมาในทันที

เฉินเฉียงที่เห็นก็มีความสุขขึ้นมาในทันใด เขาวิ่งเข้าไปหาเศษซากของเก่าที่เจิ้งยี่คายทิ้งออกมา ก่อนที่จะเอาไม้เขี่ยดูจนทั่วเพื่อหาเศษร่างของมนุษย์กลายพันธุ์ร่างอ้วนผิวคล้ำตนนั้น

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว กัวเหลียง จางหยวน และคนอื่นๆในกองกำลังต่างก็คิดว่าเฉินเฉียงนั้นสมองของเขามีปัญหาจากการโจมตีทางจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ไปแล้ว

“กัปตัน นี่ท่านทำบ้าอะไรเนี่ย”

เจิ้งยี่ที่กำลังอ้วกออกมานั้นเห็นฉากนี้ก็สับสนขึ้นมาในทันใด

ดูเหมือนว่าคำพูดของเฉินเฉียงที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่การแกล้งเขาแต่อย่างใด เพราะเฉินเฉียงนั้นดูเหมือนกำลังหาบางอย่างจริงๆ

“กัปตัน นี่ท่านหาอะไรกันแน่”

เฉินเฉียงที่มัวแต่ง่วนหาเศษร่างของมนุษย์กลายพันธุ์ร่างอ้วนผิวคล้ำอยู่นั้น ในเมื่อหายังไงก็หาไม่เจอ ก็ได้พูดออกมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองและมองหาต่อไป “อ้าว ก็ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าข้านั้นต้องการเศษชิ้นส่วนจากเจ้าอ้วนดำนั่นน่ะ”

ด้วยคำพูดนี้ทำให้เจิ้งยี่ราวกับโดนหมัดตรงไปที่ท้องแล้วเริ่มอ้วกออกมาอีกครั้ง

หลังจากอ้วกออกมาจนหน้าซีดเซียวแล้ว เจิ้งยี่ก็ได้ถามออกมา “กัปตัน นี่ท่านคิดจริงๆเหรอว่าข้านั้นกินไอ้อ้วนดำนั่นลงไปจริงๆ”

“ข้าแค่เขมือบมันลงไปเท่านั้น”

“ท่านเข้าใจรึเปล่าเนี่ย”

“หรือว่าท่านนั้นอยากได้ของของมันกัน”

“ขอข้าดูก่อนนะว่ามันเหลืออะไรไว้บ้าง”

หลังจากพูดจบ เจิ้งยี่ก็ได้อ้าปากของตนออกอย่างกว้างขวาง

“แหว่ะ”

ไม่นาน กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ได้ถูกคายออกมาจากปากของเขา มันคืออาวุธของมนุษย์กลายพันธุ์ร่างอ้วนผิวคล้ำตนนั้น

เฉินเฉียงได้หยิบมันขึ้นมาแล้วเขวี้ยงไปไกลๆ ไม่แม้แต่มองมันแม้แต่น้อย “ไม่ ข้าไม่ต้องการไอ้นี่”

หลังจากผ่านไปสักพัก เจิ้งยี่ก็ได้คายแหวนมิติออกมาจากปาก

“ไม่เอาเว้ย ข้าไม่ต้องการเอานี่เหมือนกัน ข้าอยากได้ร่างของไอ้อ้วนดำนั่นเว้ย ไม่ต้องทั้งร่างก็ได้เอ้า แค่ขา ขาน่ะ ขอแค่ขาสักข้างก็ยังดีเว้ย”

“อุ้บ”

ในตอนนี้ที่จางหยวนที่มองฉากเหตุการณ์นี้อยู่นานเริ่มที่จะอ้วกขึ้นมาบ้าง

เจิ้งยี่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดออกมา “กัปตัน ข้านั้นไม่สามารถคายสิ่งที่ท่านต้องการออกมาได้จริงๆ”

“ไอ้พลังจอมเขมือบนี้มันกลืนร่างของศัตรูที่ข้าเขมือบลงไปในทันที”

“หากว่ากัปตันอยากจะได้มันจริงๆ งั้นคงต้องให้ข้าลองดูอีกพักใหญ่อ่ะ”

เฉินเฉียงยกมือขึ้นห้ามปรามในทันใดเมื่อได้ยิน “ไม่เอาก็ได้ฟะ”

คงเป็นอีกครั้งที่เขามีโชคไม่พอจริงๆ ที่ไม่อาจได้รับโอกาสที่จะได้เรียนรู้พลังเหนือมนุษย์ด้านพลังจิตที่ลึกล้ำแบบนี้

“จางหยวน พี่ใหญ่ รีบไปขุดเหมืองแก่นวิญญาณดีกว่า ไม่อย่างนั้นละก็เดี๋ยวพวกสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์กลายพันธุ์จะมาที่นี่กันซะก่อน แล้วหากเป็นแบบนั้นพวกเราเองคงต้องเจอปัญหาใหญ่เป็นแน่”

ถึงแม้ว่าสายแร่แก่นวิญญาณสายนี้จะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก่อนหน้านี้เหมืองนี้เองก็ถูกพบโดยสัตว์ประหลาดมาก่อนหน้านี้แล้ว ดีไม่ดีแม้แต่มนุษย์กองอื่นหรือมนุษย์กลายพันธุ์เองก็อาจรับรู้การคงอยู่ในเมืองนี้แล้ว อย่างน้อยๆพวกเขานั้นขุดไปให้ได้สักครึ่งนึงก่อนก็ยังดี

สำหรับกองกำลังเทียนเว่ยแล้วนั้น เหมืองเล็กๆนี้ไม่ได้มีค่ามากมายอะไร

ถ้าหากพูดกันตรงๆแล้ว การปล้นชิงมนุษย์กลายพันธุ์นั้น สำหรับพวกเขาแล้วคุ้มค่ากับการลงมือมากกว่า

แต่ไม่ใช่กับหลู่ฟาง เว่ยฉิงเชิน และชุยหยันหลัน

นั่นก็เพราะตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแล้วนั้น พวกเขานั้นเห็นว่านี่เป็นเหมืองใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นไม่ได้ต่างไปจากสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์กลายพันธุ์

“ศิษย์น้อง เรามาขุดแร่นี่ด้วยกันดีกว่า”

หลู่ฟางพูดออกมาก่อนที่จะพุ่งไปในเหมืองพร้อมกับชุยหยันหลันและเว่ยฉิงเชิน

เฉินเฉียงยิ้มแล้วพูดออกมา “พี่ใหญ่ ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราก็คนกันเองอยู่แล้ว”

ในฐานะกัปตันของกองกำลังนั้น เฉินเฉียงย่อมต้องการให้คนในกองกำลังนั้นถูกชุบเลี้ยงอย่างดี

และนี่เองทำให้คนในกองกำลังเทียนเว่ยนั้น มีเพียงเม่ยหลัวหลัน หลิวไฮ่ หลูจี้ และเทพเงินตราเท่านั้นที่ร่วมการเก็บแก่นวิญญาณในเหมือง

“ฉิบละ จางหยวน มีศัตรูที่แข็งแกร่งตรงมาที่นี่”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset