ไม่นานนักเริ่นเสี่ยวซู่ก็มาถึงหางแถวของกลุ่มคนแล้ว ตอนนี้มีตัวทดลองสามตัวไล่ล่าคนกว่าพันคน มันสังหารทุกคนที่ขวางหน้า พอพวกมันเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กำลังเดินหน้ามาหา ตัวทดลองตัวหนึ่งก็ละจากเหยื่อแล้วกระโจนมาหาเริ่นเสี่ยวซู่แทน!
ทว่าก่อนที่พวกมันจะมาถึงเริ่นเสี่ยวซู่ เขาก็ชักดาบออกมาจากความว่างเปล่า จนถึงตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว เขาเคลื่อนไปข้างหน้าไวกว่าเดิม เอียงไหล่นำหน้า ก่อนตวัดดาบพาดผ่านตัวทดลองที่กระโจนมา
เริ่นเสี่ยวซู่กำด้ามดาบทมิฬอันคมกริบแน่น สัมผัสได้ถึงคมดาบกรีดผ่านผิวหนังสีเทาของตัวทดลอง
ใยกล้ามเนื้อใต้หนังสีเทานั่นแยกออกทีละเส้นๆ ตามมาด้วยกระดูกถูกตัดผ่านอย่างราบเรียบ สุดท้ายร่างเทาหม่นก็แยกเป็นสองส่วน เลือดสีเหลืองซีดไหลทะลัก
พริบตาเดียว ฝูงชนที่กำลังหลบไปทางประตูป้อมปราการก็ถูกตัวทดลองกลุ่มหนึ่งปิดทางไว้ ทุกคนพลันหันกลับหลังวิ่งไปทางเดิมตามสันชาตญาณ แต่หันหลังไปก็ใช่ว่าจะรอดอยู่ดี ทว่าพวกเขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว!
กลุ่มคนที่หนีอย่างสิ้นหวังนั้นไร้สติอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่เคยผ่านการฝึกหลบภัยมาก่อน แดนรกร้างก็ไม่เคยเผชิญ ดังนั้นต่อให้อยากรอดชีวิตแค่ไหน สันชาตญาณการเอารอดก็ไม่สามารถชี้ทางที่ถูกต้องได้อยู่ดี
ทว่าวินาทีที่พวกเขาหันกลับไปนั้น ก็ทันเห็นภาพของตัวทดลองถูกผ่าครึ่งพอดี ดาบทมิฬฉายประกายอำนาจแกร่งกล้าในมือของเด็กหนุ่ม และตัวทดลองที่เผชิญหน้ากับดาบนั้นช่างดูอ่อนแอนัก
เด็กสาวคนหนึ่งเห็นว่าเป็นเริ่นเสี่ยวซู่ที่โดนพวกเธอขอให้ออกจากโรงเรียนก็ตะลึงไป ตอนนั้นพวกเธอล่ะกลัวนักหนาว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะพาความตายโรคภัยเข้าป้อมปราการมาเพียงเพราะเขาเคยเป็นผู้อพยพ ทว่าตอนนั้นนักเรียนที่พูดแทนเขาเอ่ยไว้ว่าอะไรนะ…
วันนั้นนักเรียนของเจียงอู๋คนหนึ่งบอกกล่าวกับพวกตนและพวกผู้ปกครองว่า ‘เข้าข้างเขา? พวกเราไม่ได้เข้าข้างและก็ไม่ได้กำลังช่วยเขาด้วย เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือหรอก พวกนายไม่รู้หรอกว่าโลกข้างนอกนั่นเป็นยังไง แต่สำหรับฉันแล้ว ข้างนอกนั่นมันน่าเศร้ามาก’
ตอนนั้นไม่มีใครเข้าใจคำพูดของนักเรียนคนนั้น แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว
โลกใบนี้อันตรายขนาดนี้เลยเหรอ พวกนักเรียนที่ผ่านแดนรกร้างจนเข้าป้อมปราการ 109 มาได้ย่อมเคยผ่านความเป็นตายมากับเริ่นเสี่ยวซู่ด้วย พวกเขาย่อมรู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เก่งกาจเพียงไร
ความสามารถเช่นนั้นไม่นับว่าเลอค่าอะไรในป้อมปราการ แต่ถ้าเทียบกับโลกอันกว้างใหญ่ ป้อมปราการก็ไม่ต่างกับเศษฝุ่นหรอก
เด็กสาวสะกิดหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ พร้อมกับตะโกนว่า “แม่ นั่นมันเริ่นเสี่ยวซู่! เขาคือผู้อพยพที่พวกแม่บังคับให้เข้าย้ายห้องไง!”
ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนเปลี่ยนไป ในช่วงเป็นตายเช่นนี้ ยังต้องคิดอะไรให้มากความอีก เธอพูด “รู้จักเขาใช่ไหม ไปขอให้เขามาช่วยเราเร็ว!”
ตอนนี้กลุ่มคนหลบหนีที่ถูกตัวทดลองบีบให้หันหลังเห็นเริ่นเสี่ยวซู่สามารถฆ่าฟันสัตว์ประหลาดได้ ก็มีคนคำราม “ตามเขาไป ตามเขาไปอย่าให้คลาดสายตา!”
ราวกับพวกเขาเห็นพระผู้ช่วย ในใจคิดแต่อยากรอดก็ต้องตามเริ่นเสี่ยวซู่ไปเท่านั้น
แต่ถึงจะสังหารตัวทดลองไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ชะงักร่างแม้เพียงนิด เขารีบพุ่งออกจากสนามรบไปทันควัน ตัวทดลองอีกสองตัวไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เขา จึงไล่ตามไม่ทันแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งใจมาช่วยคน ไม่ใช่ฆ่าเจ้าตัวทดลองพวกนี้!
เพียงชั่วพริบตา เริ่นเสี่ยวซู่ก็หนีห่างจากตัวทดลองและฝูงชนผู้หลบหนีไปไกล
พอพวกมันเห็นว่าอย่างไรตามเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทัน พวกมันจึงหันไปหากลุ่มคนที่กำลังสั่นผวาแทน เด็กสาวเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่เธอกำลังอ้าปากกรีดร้องขอให้เขากลับมาช่วยพวกตนนั้น ตัวทดลองตรงหน้าก็กระโจนมางับคอเธอ!
เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือไม่อาจออกจากลำคอเธอได้ด้วยซ้ำ ในดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความสิ้นหวัง
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใช่พระผู้ช่วย มีเพียงชีวิตเดียวในป้อมปราการที่เขาเห็นค่า
ทันใดนั้นพระราชวังก็เอ่ย [ภารกิจ ช่วยเหลือชาวป้อมปราการ]
กระนั้นก็ยังไม่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่หันกลับ
เขาต้องทำภารกิจสำเร็จแน่นอน หยางเสียวจิ่นก็เป็นชาวป้อมปราการคนหนึ่งเหมือนกัน การช่วยเธอก็ไม่ต่างกับทำภารกิจให้สำเร็จไม่ใช่หรือ เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจแง่มุมพิเศษของภารกิจที่พระราชวังให้ดี
ระหว่างที่พยายามวิ่งสุดชีวีต เริ่นเสี่ยวซู่พลันแปลกใจที่เห็นตัวทดลองตัวหนึ่งกำลังก้มลงอยู่ข้างชายที่สลบไปแล้วผู้หนึ่ง บนร่างเขาไม่มีร่องรอยบาดแผลให้เห็น ดูแล้วน่าถูกทำให้สลบเท่านั้น
เริ่นเสี่ยวซู่ถอยห่างจากตัวทดลองพร้อมกับวิ่งไปยังตึกสูงต่อไป แต่กระนั้นเขาก็อดสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ไม่ได้
ปกติแล้วถ้าตัวทดลองสัมผัสได้ถึงสิ่งชีวิตแบบเขาคงกระโจนเข้ามาแล้ว แต่ตัวทดลองตัวนั้นเหมือนจะมีเรื่องอื่นสำคัญกว่าต้องทำ
เจ้าตัวทดลองพลันอ้าปากว้างและแลบลิ้นออกมา เริ่นเสี่ยวซู่นึกว่ามันจะลองเลีย ‘อาหาร’ ก่อนกินเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเห็นเข็มฉีดเล็กๆ หลอดหนึ่งอยู่ที่ปลายลิ้นของมัน จากนั้นเจ้าตัวทดลองก็หยิบหลอดฉีดมาถือ และมันก็ปักเข็มฉีดยาที่มีสารเหลวสีเทาเข้าที่คอของชายผู้นั้น!
เริ่นเสี่ยวซู่สันหลังเย็นวาบ เจ้าตัวทดลองมันทำอะไรอยู่วะนั่น
หลัวหลานเคยบอกเริ่นเสี่ยวซู่มาก่อนแล้วว่าพวกตัวทดลองเหมือนกำลังทำการทดลองอะไรบางอย่างอยู่ ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่สงสัยเพียงว่าถ้าตัวทดลองไม่ทำการทดลองแล้วจะทำอะไร แต่ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังสะพรึงสุดๆ ไปเลย
ผิวธรรมดาของชายผู้นั้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทันที กล้ามเนื้อที่ไม่นับว่ามากมายแต่เดิมเริ่มขยายอย่างรวดเร็ว
เมื่อก่อนเริ่นเสี่ยวซู่นึกว่าเป้าหมายของตัวทดลองคือการฆ่าสิ่งมีชีวิตเสียอีก แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพวกมันใช่จะต้องการสังหารเสียหมด
สารเหลวที่ถูกฉีดเข้าไปในร่างชายผู้นั้นคืออะไรกันแน่
บอกตามตรง ตอนที่หลัวหลานพูดถึง ‘นาโนแมชชีน’ กับ ‘ตัวทดลองทำการทดลอง’ เริ่นเสี่ยวซู่ยังเหยียดหยันอยู่เลย อารยธรรมของมนุษย์ถูกตัดขาดไปแล้ว เทคโนโลยีเพิ่งอยู่จนเริ่มต้นของการกู้คืนเท่านั้น
แต่เริ่นเสี่ยวซู่พลันนึกไปถึงสิ่งที่จางจิ่งหลินพูดก่อนหน้านี้ เทคโนโลยีไม่ได้สูญหายไปอย่างสิ้นเชิงหรอก
คำพูดเดิมของจางจิ่งหลินคือ ‘มันอยู่ในการครอบครองของคนส่วนน้อย’
และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมองค์กรต่างๆ อยู่เถลิงอำนาจมาได้ถึงทุกวันนี้
เริ่นเสี่ยวซู่รู้แล้วว่าทำไมจำนวนตัวทดลองถึงได้เพิ่มพูนนัก
ถึงว่าทำไมตัวทดลองถึงโจมตีป้อมปราการอื่น เพราะพวกมันคิดจะเพิ่มแหล่งอาหารกับเพิ่มจำนวนประชากรน่ะสิ และพวกมันจำเป็นต้องบุกป้อมปราการเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะป้อมปราการ 113 โดนแผ่นดินไหวถล่ม พวกตัวทดลองคงไม่แพร่พันธุ์ได้เร็วถึงขนาดนี้ ก่อนหน้านี้พวกมันยังมีจำนวนไม่พอจะบุกป้อมปราการหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ
แต่หลังจากที่จำนวนเพิ่มขึ้นในป้อมปราการ 113 กองทัพของพวกมันก็มหาศาลเพียงพอจะกลืนกินป้อมปราการหนึ่งลงไป
เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าตัวเองใกล้หมดเวลาแล้ว เขาต้องพาหยางเสียวจิ่นออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด