the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 213 เก็บเกี่ยวนาโนแมชชีนเพิ่ม

การต่อสู้เริ่มและจบลงชั่วพริบตา พอพวกหมาป่าอ้อมไปหลังขบวนรบของสมาคมตระกูลหลี่ได้แล้ว ขบวนตั้งรับอันแน่นหนาก็พังทลาย

นายทหารที่ยังรอดอยู่หลบการโจมตีด้วยการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว แต่เขาคงทนได้อีกไม่นานแล้ว พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าเส้นเลือดที่เปล่งประกายสีเงินจากการเปิดใช้นาโนแมชชีนเริ่มสลัวลง ก็รู้ทันทีว่าพลังงานของนาโนแมชชีนใกล้หมดแล้ว

แต่ทันใดนั้นเอง ราชาหมาป่าก็กัดนายทหารจากด้านหลัง จากมันก็สะบัดศีรษะอย่างดุร้ายและส่งเขาลอยไปอย่างกับเว่าขาด

ต่อให้เป็นสัตว์ป่าทรงพลังอย่างราชาหมาป่า มันยังใช้การลอบจู่โจมเป็นวิธีการแรก การต่อสู้ใดบนโลกไม่มีซึ่งความเท่าเทียม ผลลัพธ์ต่างหากที่สำคัญสุด

เริ่นเสี่ยวซู่อดตะโกนออกไปไม่ได้ “นี่…ขอพูดอะไรหน่อยนะแต่ไม่รู้มันจะถูกกาลเทศะไหม!”

ราชาป่างุนงงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองเขา เริ่นเสี่ยวซู่ชี้ไปยังหมาป่าอีกตัวที่กำลังคาบนายทหารอีกคนไว้ในปาก เขาหยิบยาดำอีกขวดออกมา “มาทำการค้ากัน”

ราชาหมาป่าส่งสายตาวูบหนึ่ง หมาป่าตัวนั้นก็ปล่อยนายทหารลง เขายังมีสองสามลมหายใจเหลืออยู่เพราะบาดแผลไม่ได้ถึงกับตายคาที่ แต่ก็ปริ่มมากแล้ว

พอเขาเห็นหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตะลึงไป ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มจะโผล่มาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งไม่คิดด้วยว่าเริ่นเสี่ยวซู่สามารถคุยข้อตกลงกับพวกหมาป่าได้!

เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยจริงๆ ว่าตัวเองทำข้อตกลงกับหมาป่าอำมหิตพวกนี้แล้วจะถือว่าเป็นการทรยศต่อมนุษยชาติหรือเปล่า

หลังจากล้างบางทั้งป้อมสังเกตการณ์แล้ว พวกหมาป่าก็กลับมารวมกลุ่ม พวกมันคาบศพขึ้นมาจากพื้นเตรียมตัวกลับขึ้นเขาไป

พวกหมาป่าไม่เอ้อระเหยอยู่ต่อ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นขนขาวของหมาป่าหลายตัวแปดเปื้อนด้วยโลหิต ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังรีบกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บ

หลังจากพวกหมาป่าไปแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ย่อตัวลงข้างนายทหาร “ถามอะไรหน่อยสิ ปกตินาโนแมชชีนชาร์จพลังงานยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่ลองใช้งานนาโนแมชชีนมาหลายครั้งแล้ว แต่ระหว่างที่ลองใช้งานนั้น เขาก็พบว่าแหล่งพลังงานของนาโนแมชชีนนั้นมาจากพลังงานชีวภาพจากร่างมนุษย์

ทว่าข้อเสียของมันคือการที่นาโนแมชชีนต้องเสียเวลาชาร์จพลังงานในร่างกายนานมากหลังการใช้งานหนึ่งครั้ง แถมใช้แต่ละครั้งก็ใช้ไม่นานด้วย

หลังจากพอเข้าใจพวกมันบ้างแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่จึงรู้ว่านาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหลี่ยังมีข้อบกพร่องอยู่ ถ้าพวกเขายังแก้ไขปัญหาแหล่งพลังงานไม่ได้ นาโนแมชชีนพวกนี้ก็ไม่ค่อยมีค่าอะไรนักในการต่อสู้อย่างเข้มข้นในสงครามจริง

แน่ล่ะ เริ่นเสี่ยวซู่เดาว่าพวกเขาต้องมีวิธีการชาร์จอย่างรวดเร็วอะไรบางอย่างที่ทราบกันเฉพาะในวงในของกองทัพสมาคมตระกูลหลี่แน่

เดี๋ยวสิ! ตอนนี้ชิ่งเจิ่นน่าจะเป็นคนที่วิจัยเรื่องพลังงานมากสุด อย่างไรเสียพลังงานนิวเคลียร์ก็เป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก

นายทหารนายนั้นหน้าซีดแต่ก็ยังปิดปากสนิท เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย “ดูนายสิ บาดแผลก็ไม่ได้ถึงตายอะไร ถ้าตอบคำถามฉันมานายอาจจะรอดก็ได้นะ”

“ถ้านายปล่อยฉันไปคิดว่านายจะรอดเหรอไง” นายทหารกัดฟันกรอดและแค่นเสียง “นายกล้าปล่อยคน?”

เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ยั่วยุฉันไปก็ไม่มีประโยชน์” นายทหารของสมาคมตระกูลหลี่ผู้นี้หัวแข็งไม่น้อย ต่างจากทหารในกองกำลังส่วนตัวที่เคยเจอมา เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ใช้พลังงานชีวภาพมาชาร์จพลังงานมันช้าเกินไป พวกนายต้องมีวิธีชาร์จพิเศษแน่เลยใช่ไหม ไม่อย่างงั้นพวกนายจะสู้อย่างต่อเนื่องในการต่อสู้ดุเดือดได้ยังไง”

นายทหารหลับตาไม่ยอมพูดอะไรออกมา “สู้เสร็จพลังงานก็คงไม่เหลือแล้วมั้ง” เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ พูด “นายสู้ได้แค่ราวๆ สิบนาทีเอง แต่การต่อสู้สั้นๆ แบบนั้นจะมีจริงบนสงครามของแท้เหรอ”

ตอนนั้นเองนายทหารก็ลืมตาขึ้นมาอย่างแปลกใจ “ทำไมนายสนใจนาโนแมชชีนนัก แถมรู้มากขนาดนี้เลยด้วย นายไม่ใช่ทหารธรรมดา!”

ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีเรื่องแปลกๆ เขาสงสัยว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีนาโนแมชชีนกับตัว เดี๋ยวก่อนสิ พวกตนเสียนาโนแมชชีนไปจริงๆ นี่หน่า เป็นนาโนแมชชีนสองชุดของนายทหารที่เพิ่งหายไปและพวกตนกำลังสืบสวนอยู่นี่ไง!

แต่เรื่องแบบนั้นเป็นไปได้ด้วยหรือ เด็กหนุ่มผู้นี้สังหารทหารชั้นยอดสองนายที่มีนาโนแมชชีนกับตัวได้หรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต่อให้ฆ่าได้ นาโนแมชชีนก็ต้องถูกส่งไปปลดล็อกที่ศูนย์บัญชาการก่อนถึงจะจับคู่ผู้ใช้ใหม่ได้นี่! ดังนั้นต่อให้เด็กหนุ่มตรงหน้าได้นาโนแมชชีนไปแล้ว เขาก็ใช้มันไม่ได้หรอก!

แต่ทำไมล่ะ

ทำไมเขาถึงคิดว่ามีเรื่องบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาอยากกลับไปรายงานให้ท่านเสนาธิการทราบ แต่เขาคงไม่มีโอกาสแล้ว

“อย่าคิดเลยว่าฉันจะปล่อยความลับรั่วไหล” นายทหารไม่ยอม

เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “ช่างเหอะ ความเป็นคนกล้าของนายฉันนับถือ”

เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าตัวเองดูถูกทหารจากสมาคมไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่กองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งที่แข็งกล้า แต่ทุกสมาคมในใต้หล้าล้วนมีของดีให้พึ่งพิง

หากกำลังทหารไม่กล้าแกร่ง สมาคมพวกนั้นคงไม่ยืนเหนือดินแดนรกร้างนี้ได้

หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่รอให้ลมหายใจสุดท้ายของนายทหารหมดลมลงไปแล้ว เขาก็มองดูของเหลวสีเงินซึมออกมาจากผิวกายของนายทหารอย่างเงียบงัน เขาพอคุ้นเคยกับกระบวนการนี้แล้วจึงรออย่างใจเย็น รอให้พระราชวังกู้การตั้งค่าของแมชชีนให้เป็นค่าโรงงานและดำเนินการคำสั่งอื่นๆ

ผลรอบนี้เก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้นัก อย่างไรก็มีคนเดียวที่มีนาโนแมชชีน จึงได้มาแค่ครึ่งเดียวของรอบที่แล้วเท่านั้น

ถุงมือก็ยังเป็นถุงมืออยู่ไม่มีอะไรเปลี่ยงแปลง แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ในสมาคมตระกูลหลี่ยังมีทหารระดับสูงมากมายให้เขาค่อยๆ เก็บเกี่ยว

เริ่นเสี่ยวซู่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ในเมื่อเขามีพระราชวังช่วยเปลี่ยนนาโนแมชชีนให้เป็นค่าโรงงานได้แล้ว หมายความว่าในอนาคตถ้าเขามีนาโนแมชชีนเหลือๆ ก็สามารถเอาแบ่งให้พวกนักเรียนได้น่ะสินะ?

เฉินอู๋ตี๋ไม่ต้องใช้จักรกลพวกนี้แน่นอน พูดตามตรงเขาเองยังไม่รู้เลยว่าเฉินอู๋ตี๋แข็งแกร่งขนาดไหนกัน ถ้าพวกเขาสู้กันเต็มกำลัง ก็ยากจะพูดว่าเขาสามารถปราบศิษย์ของตัวเองได้หรือเปล่า

แต่เริ่นเสี่ยวซู่คร้านจะยุ่มย่ามคิดต่อ ขนาดพระอาจารย์ในไซอิ๋วยังสู้ศิษย์ไม่ได้เลย คิดแล้วก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อยเชียว

เริ่นเสี่ยวซู่สั่งให้ร่างแยกเงาแยกศพของนายทหารไปโยนไว้ที่ทะเลสาบเช่นเดิม เขาปล่อยศพไว้ในแดนรกร้างไม่ได้หรอก เพราะอย่างนั้นเขาจะอธิบายไม่ได้ว่าทำไมหมาป่าถึงคาบไปทุกศพยกเว้นร่างของนายทหาร

อีกอย่างถ้าคนที่มาสืบสวนพบว่านาโนแมชชีนในร่างของนายทหารหายไปล่ะก็ คงได้เกิดเรื่องใหญ่ในสมาคมแน่

อย่างไรเสียเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่มีทางปล่อยให้สมาคมตระกูลหลี่ทราบเด็ดขาดว่ามีคนกู้ค่าของนาโนแมชชีนให้กลายเป็นค่าโรงงานได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกล่าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว

หนึ่งชั่วโมงให้หลัง เริ่นเสี่ยวซู่ยืนกังวลอยู่ ณ ทะเลสาบน้อยบนเขา ทะเลสาบไม่ได้ใหญ่นัก ต่อไปถ้าโยนของลงไปเรื่อยๆ ระดับน้ำมันจะสูงขึ้นหรือเปล่านะ

กว่าจะปิดบังอำพรางศพเสร็จก็ดึกมากแล้ว แต่แทนที่เขาจะรีบกลับไปป้อมสังเกตการณ์ เริ่นเสี่ยวซู่มุ่งไปทางภูเขาแทน

คืนนี้ไม่มีเสียงหมาป่าหอน เริ่นเสี่ยวซู่อยากไปดูสักหน่อยว่าพวกหมาป่าบาดเจ็บร้ายแรงอะไรหรือเปล่า

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset