the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 212 โจมตีป้อมสังเกตการณ์

ตั้งแต่พวกหมาป่าขึ้นมาอยู่บนเขา พวกมันก็ไม่เคยปะทะกับมนุษย์มาก่อน ของในป่าเขาไม่โดนมนุษย์ยุ่งเกี่ยวรุกราน ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เติบโตอย่างมหาศาล พวกหมาป่าเลยไม่เคยขาดอาหาร

บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ถึงกับเกิดความคิดว่าหมาป่าเป็นสัตว์รักสันติไม่ดุร้ายด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้เขาพลันจำได้ว่าปืนกระบอกแรกของชีวิตนั้นเขาได้มาตอนพวกหมาป่าบุกโจมตีโรงงานนอกเมืองน้อยและกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการ 113

เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าพวกหมาป่ากับกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการ 113 นั้นเป็นไม้เบื่อไม้เบากันมานาน แต่ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ พวกหมาป่าจะเข้าโจมตีกองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่เฉยเลย

ดูเหมือนว่าพลขับรถบรรทุกที่ค่อยๆ ขับรถลงเขาไปนั้นจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีอันตรายตามหลัง และต่อให้พวกหลี่ชิงเจิ้งจะเห็นพวกหมาป่าแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่ดี ด้านหนึ่งพวกเขากลัวว่าหมาป่าจะมาล้างบางป้อมสังเกตการณ์ ด้านหนึ่งคือ ในเมื่อจ้าวหมาป่าแห่งเขาคุนซานยังไม่พูดอะไร พวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าต้องทำอะไร

หลี่ชิงเจิ้งว่า “ไม่ใช่เรื่องเรา และใช่ว่าพวกเราจะทำอะไรได้ด้วย คิดซะว่าพวกเราไม่เห็นอะไรเหอะ”

พอเห็นว่าหมาป่าไม่ได้สนใจอะไรป้อมสังเกตการณ์ของตน หลี่ชิงเจิ้งก็ตัดสินใจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อย่างไรเสียทหารของสมาคมตระกูลหลี่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นหัวพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาจะสนชีวิตของคนพวกนั้นไปทำไมล่ะ

หลี่ชิงเจิ้งให้ทุกคนกลับเข้าบ้านไป “เลิกดูได้แล้วน่า พวกหมาป่าอาจจะออกมาเดินเล่นเฉยๆ ก็ได้”

จากนั้นหลี่ชิงเจิ้งก็กลับเข้าบ้านตัวเองไปก่อน เขาตัวสั่นผวากอดปืนไรเฟิลไว้กับตัว มีหมาป่ามากมายขนาดนี้ จะล้างบางป้อมสังเกตการณ์ไม่ใช่เรื่องยาก

เขาพลันรู้สึกว่าการถูกส่งมาประจำการณ์ที่ป้อมสังเกตการณ์นี้มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ พวกเขาได้กินเนื้อทุกวัน แต่ก็ต้องหวาดกลัวอยู่ที่วี่วันไม่สร่าง ไม่รู้วันไหนพวกหมาป่าจะอารมณ์เสีย และเข้ามาคาบพวกเขาไปแทน

เริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสร้งทำเป็นกลัว หลังจากกวาดตาสำรวจ เขาก็พบว่าไม่ได้มีหมาป่ามากอย่างที่คิด คิดว่าที่เคลื่อนไหวอยู่นี่น่าเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

พอกลับเข้าบ้าน เริ่นเสี่ยวซู่ก็กล่าวกับเฉินอู๋ตี๋ “อู๋ตี๋ นายปกป้องทุกคนให้ฉันก่อน ห้ามให้ใครเข้าบ้านก่อนฉันกลับมา ถ้ามีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็บอกพวกเขาไปว่าฉันท้องเสียต้องไปปลดทุกข์ละกัน”

เพราะกลุ่มพวกเขามีสิบคน เท่ากับว่าหนึ่งในสามของหน่วยคือคนของเริ่นเสี่ยวซู่เอง ดังนั้นพวกเขาถึงส่งมาให้อยู่ที่พักแถวเดียวกัน เริ่นเสี่ยวซู่ยืนกรานแต่แรกว่าอย่างไรพวกตนก็จะอยู่กันแบบนี้ เขาจะออกไปจัดการอะไรๆ คนเดียวสะดวกกว่า ให้รอบๆ มีแต่คนไว้ใจได้เขาถึงจะลงมืออย่างปลอดโปร่ง

พวกนักเรียนเองก็เคยชินกับการที่หัวหน้าห้องทำอะไรๆ คนเดียวแล้ว ถึงหลี่ชิงเจิ้งจะเรียกตัวเองเป็นจ้าวหมาป่าแห่งเขาคุนซาน ทว่าสำหรับพวกเขาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ต่างหากที่เป็นจ้าวหมาป่าที่แท้จริง…

เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดออกจากหน้าต่างและวิ่งไปยังตีนเขา ที่ออกมาไม่ได้เป็นเป้าหมายชัดเจน แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร และก็กะจะหาทางฉกนาโนแมชชีนมาสักหน่อยด้วย…

ในโลกแบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมสนใจอะไรก็ตามที่นำมาเพิ่มพลังของตนเองได้ จะเป็นเรื่องความเชื่องมงายอะไรก็เอาเถอะ

หลังจากได้นาโนแมชชีนมาหน่อยหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่ก็อดลองเรียกมาออกทดสอบตอนอยู่หอสังเกตการณ์บนยอดเขาไม่ได้ ตอนที่ลอง เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าแม้เขาจะไม่ได้ใช้นาโนแมชชีนเพิ่มมวลกล้ามเนื้อหรือพัฒนาโครงกระดูก แต่แค่เอาออกมาใช้ภายนอกเป็นเกราะก็ทรงพลังมากแล้ว ถ้าเขาสามารถทำเกราะคลุมทั้งร่างได้เขาคงได้กลายมาเป็นผู้ไร้เทียมทานจริงๆ

อะไรกันล่ะที่แรกเริ่มเดิมทีผู้มีพลังพิเศษกลัวเป็นหนักหนา ไม่ใช่ภัยจากผู้มีพลังพิเศษกันเอง แต่เป็นอาวุธปืนของอารยธรรมแห่งมนุษย์ต่างหาก! ไม่ว่าผู้มีพลังพิเศษจะทรงพลังแค่ไหน โดนยิงสักหลายนัดก็ไม่รอดอยู่ดี

ระหว่างที่รถบรรทุกทหารขับลงภูเขาไปนั้น เหล่าทหารก็คุยเฮฮากัน หัวหน้านายทหารไม่ได้นั่งข้างหลังกับพวกเขาด้วย พวกเขาเลยพูดอย่างปากไม่มีหูรูดได้

“สัปดาห์หน้าฉันกลับป้อมปราการละ อยากรู้ชะมัดว่าอีหนูที่ฉันซุกไว้คิดถึงฉันหรือยัง” ทหารนายหนึ่งเอนหลังพิงเบาะหัวเราะลั่น ชีวิตของทหารกองกำลังส่วนตัวย่ำแย่น่าเวทนา แต่ทหารสมาคมตระกูลหลี่นั้นได้รับการปฏิบัติดีมากมาตลอด

ทหารคนใดที่ไม่ได้เข้ากะก็จะอาศัยอยู่ในป้อมปราการ ถ้าคนของกองดูแลความสงบเรียบร้อยหรือกองกำลังส่วนตัวเห็นเขาเมื่อไรก็จะเดินหลบไป

แต่วินัยของสมาคมเคร่งครัดมาก การระรานผู้อื่นเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

“ผู้หญิงกับสุราเป็นข้อห้ามของทหารนายก็รู้ ระวังอย่าให้คนอื่นรู้เรื่องเธอล่ะ” ทหารนายหนึ่งเตือนเขา

“พวกเราจะกลัวอะไร” ทหารนายนั้นแค่นเสียง “ขนาดนายทหารของสมาคมยังทำเรื่องแบบนั้นเลย อย่างกับพวกเขาจะมาสนในเรื่องพวกเรางั้นแหละ”

ไม่ว่าจะองค์กรไหนๆ เบื้องบนเป็นเช่นไร เบื้องล่างก็ปฏิบัติตามนั้น ถ้าเบื้องบนเคร่งศาสนา เบื้องล่างเองก็ต้องเคร่งศาสนาไม่ต่างกัน ต่อให้ไม่ศรัทธา ก็ต้องแสร้งทำเป็นศรัทธา

ถ้าเบื้องบนรู้จักสำรวมตน เบื้องล่างย่อมรู้จักสำรวมตาม

ลูกหลานของตระกูลหลี่จำนวนมากถูกเกณฑ์เข้ามาในกองทัพ สองปีมานี้ความวุ่นวายแพร่ไปทั่วกองทัพตระกูลหลี่

สมาคมตระกูลหลี่ก็ขยายกองกำลังไวเกินไป ท้ายสุดรากฐานจึงสั่นคลอนไม่มั่นคง

พวกเขาคุยกันไป ไม่รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังมาถึง

แต่หมาป่าไม่ได้โจมตีในพลัน พวกมันท่องในแดงรกร้างตามรถไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเริ่นเสี่ยวซู่เท่านั้นที่รู้ว่าหมาป่าเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ใจเย็นที่สุดแล้วในแดนรกร้างนี้

พวกหมาป่าตามกองกำลังสมาคมตระกูลหลี่ไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตามรอยหมาป่าไปต่อ พวกทหารของสมาคมตระกูลหลี่เคลื่อนตัวช้าๆ ไปหลายสิบกิโลเมตรจนมาถึงป้อมสังเกตการณ์ถัดไป

ตอนนี้เองขณะที่รถบรรทุกทหารกำลังเข้าไปในป้อมสังเกตการณ์ บรรดาหมาป่าก็เปิดการจู่โจมราวสายฟ้าฟาด!

เริ่นเสี่ยวซู่แอบส่องพวกเขาจากไกลๆ มองดูทหารของสมาคมตระกูลหลี่ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว เพียงสามวินาทีก็ตั้งขบวนป้องกันชั้นดีได้แล้ว ทั่วทั้งป้อมสังเกตการณ์มีเสียงปืนดังสนั่น ทหารจากกองกำลังส่วนตัวกำลังนิ่งอึ้งงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น!

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังมองการจู่โจมราวกับคนนอก ตอนลงมือนั้น หมาป่ากลุ่มหนึ่งทำตัวเป็นทัพหน้าคอยล่อให้ทหารยิง จากนั้นมันก็จะเคลื่อนตัวอย่างว่องไวหลบกระสุน ขณะเดียวกันหมาป่าอีกกลุ่มก็อ้อมหลังขณะทุกคนกำลังเสียสมาธิ

ระหว่างนี้ราชาหมาป่าก็พบตัวเริ่นเสี่ยวซู่แล้วเช่นกัน แต่มันดูจะไม่สนใจอะไรเขานัก เพียงออกล่าต่อไป ปกติแล้วถ้าพวกหมาป่าเจอตัวแปรภายนอกคงเลิกการไล่ล่าไปแล้ว

ทหารของสมาคมตระกูลหลี่เพียงมาสืบสวนเรื่องนายทหารที่หายไปทั้งสองนาย ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอศึกหนักเช่นนี้ได้ ถึงพวกเขาจะชำนาญการรบมาก แต่หมาป่าก็ได้เปรียบทั้งขึ้นทั้งร่อง ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือจำนวนก็ตาม

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่แปลกใจเลยที่เห็นหมาป่าโดนยิงแล้วแปปเดียวก็ลุกขึ้นมาได้ใหม่ ร่างกายพวกมันเยี่ยมยอดเกินไป

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset