ทันใดนั้นหูชัวก็รำพึงรำพัน คนโบราณมีคำกล่าว ‘ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง’[1] และเริ่นเสี่ยวซู่ก็เหมือนจะเป็นหินก้อนใหญ่เลยด้วย…
หูชัวอดถามไม่ได้ “ต่อให้มีความรู้ไม่มาก ก็ยังสามารถใช้ชีวิตมีความสุขได้ ทำไมถึงกระหายความรู้ขนาดนั้นล่ะ อยากเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของป้อมปราการเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก่อนตอบ “ไม่ได้คิดจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยครับ ผมแค่อยากรู้ความเป็นจริงของโลก”
หูชัวได้รับคำตอบเช่นนี้ก็ชะงักไป เขาตกอยู่ในภวังค์ก่อนตอบพร้อมถอนหายใจ “ต่อไปถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามฉันแล้วกัน”
ชีวิตประจำวันก่อนหน้าของหูชัวคือตื่นหกโมงเช้ามารำมวยไทเก๊กจนถึงเจ็ดโมงค่อยรับประทานอาหารเช้า จากนั้นก็จะอาบแดด พูดคุย กินข้าวเที่ยง กินข้าวเย็น สุดท้ายฟ้ามืดก็เข้านอน
ตอนนี้ตื่นหกโมงเช้ามารำมวย เจ็ดโมงรับประทานข้าวเช้า จากนั้นก็เริ่มสอน กินข้าวเที่ยง กลับมาสอน และโดนเริ่นเสี่ยวซู่จี้ถามจนกินข้าวเย็นไม่ลง และตอนกลางคืนก็หลับไม่ลงเช่นกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยตลอดว่าชายชราผู้นี้มาที่ป้อมปราการทำไม
ช่วงก่อนหน้านี้มีทหารจากสมาคมตระกูลหลี่กลุ่มหนึ่งมาสืบสวนเรื่องหมาป่าโจมตีที่ป้อมสังเกตการณ์ พวกเขาถามว่าแถวนี้มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า แต่พอเยื้องย่างเข้ามาในป้อมสังเกตการณ์ได้ก้าวเดียวก็โดนไล่ตะเพิดออกไป
ดูเหมือนว่านายทหารทุกคนจะรู้ว่าหูชัวเป็นใคร จึงได้แต่จากไปโดยไม่ถามอะไรอีก แถมพอพวกเขาเห็นว่าหูชัวอยู่นี่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกอะไรด้วย
นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจอยู่หน่อยๆ สรุปแล้วตาแก่นี่เป็นใครกันแน่!
ตกดึกคืนนั้นเขาไปหาราชาหมาป่าเพื่อบอกให้มันไปตั้งรกรากในหลังเขาลึก เป็นไปได้ว่าสมาคมตระกูลหลี่จะส่งกองกำลังมาปราบพวกมัน
ระหว่างนี้เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะถามหูชัวว่าป้อมปราการ 88 อยู่ทางไหน เขาย่อมรู้อยู่แล้ว แต่เริ่นเสี่ยวซู่กลัวว่า ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างสมาคมตระกูลหลี่และตระกูลหยาง ถ้าถามไปหูชัวจะหาว่าเขาเป็นไส้ศึกเอาได้
ถึงพวกเขาจะสนิทกันไม่เลวแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับหูชัวจะเติบโตไปจนถึงขั้นเชื่อมั่นในอีกฝ่ายได้หรอก
เห็นว่าวันตรุษจีนใกล้เข้ามาแล้ว หลี่ชิงเจิ้งจึงดึงเริ่นเสี่ยวซู่หลบมุมมากระซิบบอก “เกลือใกล้หมดแล้ว พวกเราต้องลงเขาหน่อยแล้วล่ะ แถมต้องซื้อของฉลองตรุษจีนด้วย”
คนในป้อมสังเกตการณ์อื่นๆ ยากจนจัดจนไม่มีอะไรจะกินด้วยซ้ำ เสบียงที่ส่งไปหาพวกเขาก็น้อยลงเรื่อยๆ ส่วนพวกเริ่นเสี่ยวซู่ในป้อมสังเกตการณ์นี้กลับดูชื่นบาน ตอนนี้กินเนื้อทุกวันจนถึงกับรู้สึกเอียนแล้ว อยากได้พวกผักมากินบ้าง
ข้างหลังป้อมสังเกตการณ์มีที่ดินผืนน้อยให้ปลูกผักอยู่ แค่ถ้าอยากจะปลูกผักท่ามกลางอากาศแบบนี้ คงต้องทำเรือนกระจกพลาสติก แต่ประเด็นคือพวกเขาไม่มีวัสดุมาทำเรือนกระจกนี่สิ
ดังนั้นหลี่ชิงเจิ้งจึงคุยกับเริ่นเสี่ยวซู่เรื่องจะลงเขาไป
เริ่นเสี่ยวซู่เองก็คิดไม่ต่างจากเขา ตนรอวันนี้มานานแล้ว
แต่ก่อนจะออกจากป้อมสังเกตการณ์ เขาสั่งเฉินอู๋ตี๋เฝ้าจับตากันหูชัวออกจากป้อมสังเกตการณ์ ถ้าเขาออกไปจากที่นี่ เฉินอู๋ตี๋ต้องตามไปและดูว่าเขาวางแผนอะไรไว้
พอหูชัวได้ยินว่าวันนี้เริ่นเสี่ยวซู่กับหลี่ชิงเจิ้งจะลงไปที่เมืองน้อย แถมน่าจะค้างที่นั่นคืนหนึ่งด้วย น้ำตาเขาก็แทบไหลพราก
พูดตามตรง หูชัวอายุอานามขนาดนี้แล้วยากจะเกิดอาการสะเทือนอารมณ์ อย่างไรก็ผ่านโลกมามาก มีอะไรบ้างล่ะที่เขาไม่เคยเห็น
แต่วันนี้อารมณ์เขาตีตื้นขึ้นมาจริงๆ หูชัวกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ซื้อของสำหรับตรุษจีนมาเยอะๆ นะ ไม่ต้องรีบกลับมาหรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเช่นนั้นก็แปลกใจเล็กน้อย ทุกคนเคยชินกับการมีชายชราอยู่ในป้อมสังเกตการณ์แล้ว แม้แต่หูชัวก็คุ้นเคยไปกับที่นี่แล้วเหมือนกัน
การเปลี่ยนแปลงพวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรนะ…
เดินทางจากป้อมสังเกตการณ์ลงไปเมืองน้อยใช้เวลากว่าสามชั่วโมง ระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกล โรงงานใกล้ๆ ยังคงทำการจนดึกดื่น รถถังขนาดใหญ่ของสมาคมตระกูลหลี่เดินหน้าเต็มกำลัง ไม่มีใครรู้ว่ารถถังกำลังมุ่งหน้าไปไหน
ระหว่างเดินทางนี้เริ่นเสี่ยวซู่กับหลี่ชิงเจิ้งก็เห็นรถบรรทุกขนของขับไปขับมาระหว่างป้อมปราการกับบรรดาโรงงานอยู่บ่อยๆ ทุกอย่างดูคึกคักอึกทึก
รถขัดข้องกลางคันไปรอบหนึ่ง แต่หลี่ชิงเจิ้งซ่อมรถเก่งมาก เขายกฝาหน้าขึ้นแล้วขยับนู่นนี่อยู่พักหนึ่ง รถบรรทุกทหารคันเก่าก็กลับมาวิ่งฉิวอีกครั้ง
เริ่นเสี่ยวซู่กับพวกเหยียนลิ่วหยวนไม่เจอหน้ากันสิบกว่าวันแล้ว ตอนนี้เขาอยากไปพบหน้าเหยียนลิ่วหยวน หวังฟู่กุ้ย และคนอื่นๆ ในเมืองน้อยเร็วๆ จะได้รู้ว่าสถานการณ์ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า
หลี่ชิงเจิ้งดูตื่นเต้นกว่าอีก ราวกับเขาเป็นนักโทษผู้ถูกเนรเทศที่ในที่สุดก็ได้กลับมายังนครอันรุ่งเรืองอย่างไรอย่างนั้น ปากพึมพำว่าพอขายเนื้อเสร็จคืนนี้จะไปพบปะเพื่อนฝูงในเมืองน้อยเสียหน่อย
พอมาถึงเมืองน้อย เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นผู้อพยพบางส่วนกำลังกลับบ้านหลังซื้อหนังหมูมันหมูจากร้านขายเนื้อ พอเห็นพวกเด็กได้รับขนมหวานจากผู้ใหญ่ ก็สัมผัสได้ว่าเทศกาลใกล้เข้ามาแล้ว
ในแดนรกร้างนี้ ต่อให้เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แม้ทุกวันต้องทำงานหนัก ในช่วงเทศกาลก็ยังขวนขวายหาเสื้อผ้าใหม่มาใส่ ซื้อขนมกำมือหนึ่ง และห่อเกี๊ยวอร่อยๆ
ถึงโลกจะเคยถูกทำลายมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่าคนบนแดนรกร้างจะไม่มีสิทธิ์จะมีความสุข
ในบรรดาสิ่งมีชีวิต มนุษย์เก่งที่สุดในการหาความสุขท่ามกลางความทุกข์ เพราะมนุษย์เป็นสายพันธุ์ที่เข้มแข็งและดื้อรั้น
คนที่พยากรณ์ว่าหลังยุคภัยพิบัติมนุษย์จะตกอยู่ในโลกอันหนาวเหน็บและโหดร้ายโดยสมบูรณ์นั้น คงไม่เข้าใจว่าอะไรคือความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
แต่แน่ล่ะ ช่วงกลางคืนในเมืองน้อยนั้นยังไม่ปลอดภัยเช่นเคย มันมีตลอด คนที่คิดจะช่วงชิงของจากน้ำแรงผู้อื่น แต่เรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกับการมีความสุข
เมื่อมาถึงทางเข้าเมืองน้อย เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นเหยียนลิ่วหยวนนั่งยองๆ เหม่ออยู่ที่ทางเข้า เขารีบชะโงกหัวออกจากรถแล้วตะโกนเรียก “ลิ่วหยวน! มานั่งอะไรอยู่แถวนี้!”
พอเหยียนลิ่วหยวนเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ ดวงตาเขาก็ทอประกายวิบวับ “พี่กลับมาแล้ว ฮ่าๆ สมแล้วที่เช้านี้มีนกกางเขน[2]มาเกาะที่ลานบ้าน ผมมีลางว่าพี่จะกลับมา เลยมารออยู่ที่นี่ไง”
แต่เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าที่เขาพูดมาไม่ใช่เรื่องจริง นกกางเขนกระผีสิ เรื่องบังเอิญขนาดนั้นมีจริงที่ไหนกัน!
หลังจากเขาต้องไปประจำการณ์ที่ป้อมสังเกตการณ์ เหยียนลิ่วหยวนคงมารออยู่ที่นี่ทุกวัน วันนี้ถึงได้มีเรื่อง ‘บังเอิญ’
เริ่นเสี่ยวซู่เปิดประตูดึงเหยียนลิ่วหยวนมานั่งที่นั่งผู้โดยสาร ที่นั่งในรถบรรทุกกว้างมาก นั่งสามคนไม่มีปัญหา
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “อยู่กินเป็นไงกันบ้าง”
ตาเหยียนลิ่วหยวนเป็นประกาย “พวกเราซื้อบ้านอิฐใกล้ๆ ประตูป้อมปราการมาสองหลัง พวกเราอยู่กันที่นั่นน่ะ ลุงฟู่กุ้ยเปิดกิจการร้านขายของชำอีกรอบ เขาหาเส้นสายในป้อมปราการได้แล้ว และก็ตีสนิทกับผู้ดูแลของเมืองน้อยแล้วด้วย”
“เหล่าหวังมีพรสวรรค์จริงๆ” เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวชื่นชมจากใจจริง ไม่ว่าหวังฟู่กุ้ยไปไหน ก็สนิทกับคนในวงในได้ตลอด ชีวิตพวกเขาเลยสบายขึ้นมาก
[1] ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง (搬起石头砸自己的脚) แปลว่าหาเรื่องใส่ตัว อุปมาว่าคิดยกหินทำร้ายผู้อื่น แต่หินนั้นสนองคืนด้วยการตกใส่เท้า
[2] 喜鹊 นกกางเขน เป็นสัญลักษณ์ของการบอกข่าวดีในความเชื่อจีน