the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 216 อาจารย์แห่งป้อมสังเกตการณ์

นับวันยิ่งใกล้ตรุษจีนขึ้นเรื่อยๆ หูชัวทุกวันรำมวยไทเก๊กย่างเนื้ออย่างมีความสุขอยู่ในป้อมสังเกตการณ์ อย่างกับไม่มีอะไรอย่างอื่นจะทำแล้ว

ปกติคนในวัยเจ็ดสิบน่าจะกินพวกเนื้อย่างยากเพราะฟันไม่แข็งแรงแล้ว แต่ชายชราผู้นี้กินอะไรก็อร่อยไปหมด ไม่มีอะไรรั้งไม่ให้เขาสวาปามอาหารได้เลย

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ท่านไม่คิดกลับบ้านเหรอครับ”

ช่วงที่ผ่านมาราชาหมาป่าส่งเนื้อมาให้หลายรอบ แต่หูชัวไม่คิดจะถามอะไรแม้แต่น้อย สนใจแต่กินอย่างเดียว

หูชัวตอบ “ลูกไม่มี กลับบ้านไปก็เท่านั้น อยู่นี่มีความสุขกว่า”

“ท่านไม่มีลูกเลยเหรอครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ หูชัวครองโสดมาตลอดเลย? เขาเป็นหมันเหรอ?

แต่หูชัวที่มองกองไฟอยู่ตรงหน้าพูดว่า “มีลูกสาวคนหนึ่ง สมัยหนุ่มๆ ฉันฝากเธอกับคนที่ฉันไว้ใจโดยที่ไม่ให้เธอรู้ เธอจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงกับฉันด้วย แต่สุดท้ายเธอก็ยังเจอตอเข้าอยู่ดี กว่าฉันจะรู้เรื่องมันก็สายเกินไปแล้ว ตอนนี้ที่มีก็แค่หลานชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมอยู่กับฉัน”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ แต่ชายชราก็ไม่ได้พูดถึงลูกเขยกับปัญหาที่ลูกสาวเขาต้องเจอ ทว่าจะถามเจาะลึกไปก็ถือว่าเสียมารยาทเกินไป

“ท่านจะฉลองตรุษจีนกับพวกเราที่นี่เหรอครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

หูชัวคิดพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ใช่ว่าฉันทำไม่ได้เสียหน่อย ไหนๆ พวกเธอทุกคนก็ชวนฉันมาอยู่ด้วยแล้ว เลยได้แต่รับน้ำใจทุกคนไง”

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไป ใครอัญเชิญมาไม่ทราบครับ

ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่ระวังชายชราผู้นี้อยู่ทุกวี่วันเผื่อเขาเรียกทหารมาล้างบางป้อมสังเกตการณ์นี้ทิ้ง แต่ผ่านมานานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขามาสืบสวนคดีจริงๆ เหรอ ไหงรู้สึกเหมือนมาพักร้อนอย่างงั้นแหละ!

แถมประเด็นกินดื่มอย่างเดียวไม่เคยจ่ายเงิน!

ถ้าพวกเขาเอาเนื้อสัตว์ป่านั่นไปขายในป้อมปราการคงได้เงินก้อนใหญ่แล้ว

ที่จริงคนใหญ่คนโตในป้อมปราการก็มีเนื้อกิน แต่พวกเขาก็สนใจพวกสัตว์ป่ามากกว่า ใครได้ลองกินเนื้อสัตว์ป่าก็สามารถไปคุยโวกับเพื่อนฝูงได้เต็มที่

เริ่นเสี่ยวซู่มีความรู้สึกว่าชายชราที่มาสืบสวนคดีผู้นี้ดูน่าสงสัยชอบกล

เริ่นเสี่ยวซู่ถามด้วยความสงสัย “สมาคมตระกูลหลี่ส่งท่านมาสืบสวนคดี แต่ไม่เห็นท่านจะเริ่มดำเนินการ สมาคมตระกูลหลี่จะไม่พอใจเอาเหรอครับ”

“อายุป่านี้แล้ว พวกเขาไม่สนใจฉันแล้วล่ะ” หูชัวพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “แถมคนรุ่นใหม่ๆ ในสมาคมตระกูลหลี่ก็มีแต่พวกเด็กเวร หายไปคนสองคนไม่ทำให้อะไรแตกต่างไปจากเดิมหรอก”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดไม่ออก ไม่รู้จะประเมินชายชราอย่างไรดี

ทุกคนค่อยๆ เคยชินกับการมีอีกหนึ่งคนเพิ่มในป้อมสังเกตการณ์ นอกจากนี้พวกเขาก็ค่อยๆ พบว่าหูชัวไม่ยกตนข่มท่านแม้แต่น้อย เข้าหาง่ายมาก

ไม่กี่วันให้หลัง หูชัวพลันรู้สึกละอายกับการอยู่ฟรีกินฟรี เลยออกมาช่วยทำงานบ้าง

พอเขาพูดว่าจะช่วย กลับไม่มีใครปล่อยให้เขาช่วย เขาสูงวัยเกินไป ถ้าเกิดให้ฝืนทำงานใช้แรงหรือล้างจ้านแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นพวกเขาจะทำอย่างไรล่ะ ใครจะเป็นคนคลี่คลายสถานการณ์ล่ะถ้าเกิดอะไรขึ้น

แต่เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าไหนๆ หูชัวก็มีตำแหน่งสูงลิ่วในสมาคมแล้ว เขาคงรวยมากทีเดียว “จะให้ท่านใช้แรงงานคงไม่เหมาะ ทำไมไม่จ่ายเงินเอาล่ะครับ”

หลี่ชิงเจิ้งได้ยินคำพูดของเริ่นเสี่ยวซู่ก็สะดุ้ง ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะกล้าขอเงินจากหูชัว

หูชัวคิดพักหนึ่งแล้วว่า “พวกเธอแปดคนเป็นนักเรียนใช่ไหม ฉันเห็นพวกเธออ่านหนังสือเองอยู่ทุกวันเลย ทำไมไม่ให้ฉันเป็นอาจารย์สอนแทนล่ะ แบบนี้ฉันก็ไม่อยู่ฟรีกินฟรีแล้ว”

เหอะๆ! ไฉนเขารู้สึกว่าชายชราไม่อยากจ่ายเงินต่างหาก!

หลังจากหลี่ชิงเจิ้ง เริ่นเสี่ยวซู่ และคนอื่นๆ ประชุมกันเสร็จ ก็ตกลงแล้วว่าจะให้หูชัวมีอะไรทำเสียหน่อย อีกอย่างเริ่นเสี่ยวซู่อยากเห็นด้วยว่าเขาจะสอนดีแค่ไหน

ช่วงนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังทำตัวไม่ถูก เขารู้ดีว่าจะปล่อยให้พวกนักเรียนเรียนด้วยตัวเองแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ทุกครั้งที่เจอข้อสงสัย ก็ไม่มีใครให้ถามไขข้อข้องใจ บางครั้งพวกนักเรียนก็จะมาถามเขา แต่แม้จะเป็นหัวหน้าห้อง เขากลับไม่รู้เรื่องสักกะนิด

พวกนักเรียนเองก็สงสัยอยู่หน่อยๆ “หัวหน้าห้องสอบปลายภาคได้ตั้งห้าร้อยหกสิบคะแนนไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่เห็นรู้อะไรเลยล่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่เจอคำถามนี้ไปถึงกับตอบอะไรไม่ถูก

แต่ไหนเมื่อหูชัวเริ่มเสนอตัวมาเป็นอาจารย์ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาพูด “ไม่ใช่นักเรียนแปดคน เก้าคนต่างหาก ผมก็เป็นนักเรียนเหมือนกัน และก็อยากเรียนด้วย”

หูชัวตะลึงพรึงเพริด “เธอก็เป็นนักเรียน?”

ตอนที่หูชัวคุยกับทุกคนอยู่นั้น ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย ถึงพวกนักเรียนจะเรียกเริ่นเสี่ยวซู่ว่า ‘หัวหน้าห้อง’ แต่หูชัวกลับนึกว่าหมายถึงหัวหน้าหน่วยของกองกำลังอะไรแบบนั้นเสียอีก

แถมมองอย่างไรเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ยักจะเหมือนนักเรียน…

เขาคิดพักหนึ่งแล้วยิ้มตอบ “ได้สิ งั้นฉันรับสอนทั้งเก้าคนเลย”

หูชัวเป็นคนที่ทำอะไรรวดเร็วว่องไว วันเดียวกันนั้นก็เปิดชั้นเรียนให้เริ่นเสี่ยวซู่และนักเรียนชายทั้งแปด แบบนี้ทุกคนจึงมีเรื่องให้ทำกันแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าหูชัวชอบจะเป็นอาจารย์มากทีเดียว

ตอนพักนั้น พวกนักเรียนก็แอบคุยกัน “ครูหูทำให้บทเรียนง่ายมากเลย พวกเราได้ความรู้เยอะขึ้นมาก เขาสอนวิชาคณิต ฟิสิกส์ เคมีดีกว่าครูคนก่อนหน้าอีก”

“ใช่ ไม่นึกเลยว่าคุณปู่แกจะมีความรู้ขนาดนี้” หวังอวี่ฉือว่า

ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่เองก็คิดว่าตัวอย่างที่หูชัวยกมาในชั้นเรียนนั้นเข้าใจง่ายมาก แถมยังพูดสอนได้เรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องหันไปดูหนังสือเรียนเลย

บทเรียนที่สอนยังอยู่ในประเด็นของหนังสือเรียน แต่กลับเจาะลึกไปกว่าหนังสือเรียนมาก

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาบทเรียนอยู่ดีเพราะรากฐานไม่แน่นพอ เขามักคิดพิจารณาบทเรียนในชั้นอยู่นาน ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ เข้าใจทันที

พอชั้นเรียนจบลง หูชัวก็กล่าวกับนักเรียนว่า “ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามส่วนตัวได้ ยุคสมัยแบบนี้ยากจะเจอคนใฝ่เรียนแบบพวกเธอจริงๆ น่าเสียดายมากที่พวกเธอไม่ได้ไปเรียนสูงๆ ในมหาวิทยาลัยของสมาคมตระกูลหลี่”

พวกนักเรียนคนอื่นๆ เข้าใจบทเรียนเป็นอย่างดีจึงไม่มีคำถามอะไรอีกหลังเรียนเสร็จ พอเลิกชั้นก็เย็นพอดี หูชัวกำลังจะเรียกคนอื่นๆ มาฉลองเนื้อย่างกัน

แต่ก่อนที่หูชัวจะทันเดินออกจากบ้าน เริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าไปรั้งตัวเขาไว้ ถึงพวกนักเรียนคนอื่นๆ ไม่มีคำถาม แต่เขามีมหาศาล

หูชัวมองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วกล่าวชื่นชม “ดังคำโบราณว่า ‘ถ้ารู้ก็บอกรู้ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้’ ทัศนคติใฝ่หาความรู้ช่างมุ่งมั่นมุ่งมาด น่าชื่นชมมาก!“

ทว่าพอเริ่นเสี่ยวซู่เริ่มเอ่ยปาก การถามตอบก็ยิงยาวจนเกือบเที่ยงคืน หูชัวเห็นทุกคนกินเนื้อย่างกันข้างนอก ส่วนตนเองต้องมาไขข้อสงสัยให้เริ่นเสี่ยวซู่จนคอแห้งไปหมด แม้แต่โอกาสจิบน้ำก็ไม่มีด้วยซ้ำ

สุดท้ายเขาก็อดพูดไม่ได้ “คือว่านะเริ่นเสี่ยวซู่เอ้ย ทำไมไม่ให้ฉันจ่ายค่าอาหารแทนล่ะ นักเรียนคนอื่นๆ ฉันสอนให้ได้ แต่ของเธอฉันว่าไปเรียนด้วยตนเองจนตามทันก่อ…”

“ไม่เอา!” เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวเสียงหนักแน่น

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset