หัวหน้าหน่วยนายนั้นตะลึงไป “ที่ไหนเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่ลดเสียงต่ำพูด “ที่ฐานปฏิบัติการหน้า อยู่ห่างจากเราเกือบสี่กิโลเมตร สวมเครื่องแบบนี้นอกจากจะกินจนอิ่มได้แล้ว ยังจะเอาอาหารกลับมาได้ด้วย”
พอหัวหน้าหน่วยผู้นั้นได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่พูดว่าตนเองสามารถไปกินอาหารที่ฐานปฏิบัติการหน้าได้ เขาก็เกิดความลังเลพักหนึ่ง ถ้าคนที่ฐานปฏิบัติการหน้ารู้ตัวตนจริงเขาล่ะ
เขามองกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ ใจคิด แต่ตัวอย่างคนที่ทำสำเร็จแล้วก็อยู่ตรงหน้าฉันไม่ใช่เหรอไง ถ้ากลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่กินจนอิ่มได้ คนอื่นๆ ที่ใส่เครื่องแบบกองพันเทพยนต์ก็น่าจะทำได้เหมือนกัน
หัวหน้าหน่วยพูดจากใจจริงว่า “ขอบคุณมากนะสหาย!”
[ได้รับเหรียญคำขอบคุณจากหวังติ้งกั๋ว +1!]
[ภารกิจสำเร็จ รางวัล คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐาน]
พอเริ่นเสี่ยวซู่ได้รับแจ้งว่านอกจากภารกิจสำเร็จแล้วยังจะได้เหรียญคำขอบคุณด้วย ก็เกิดความคิดวาบขึ้นมาในหัว
หัวหน้าหน่วยผู้นั้นกำลังพาคนของตัวเองไปเอาอาหาร แต่ก็โดนเริ่นเสี่ยวซู่ขวางไว้
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเครียด “พวกนายจะไม่ขอบคุณฉันเหรอไง”
ตอนแรกหัวหน้าหน่วยนิ่งอึ้ง แต่ก็รีบสั่งให้คนของตัวเองกล่าวขอบคุณเริ่นเสี่ยวซู่ ทหารกองกำลังพวกนี้กำลังหิวท้องกิ่ว ข้อมูลที่เริ่นเสี่ยวซู่ให้มาช่วยให้พวกเขามีชีวิตรอดจริงๆ คำขอบคุณส่วนใหญ่จึงมาจากใจจริง
จากใจจริงจนไม่อาจมาจากใจจริงมากกว่านี้ได้แล้ว!
เริ่นเสี่ยวซู่ได้เหรียญคำขอบคุณมาอีกสิบแปดเหรียญในชั่วพริบตา!
ว่ากันตามตรง เขามีเหรียญคำขอบคุณทั้งหมดสี่ร้อยเหรียญแล้วตอนนี้ ถ้าเขาทำให้คนอื่นๆ ที่แคมป์มาขอบคุณเขาด้วย ปลดล็อคอาวุธใหม่เพียงแค่เอื้อม!
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหลี่ชิงเจิ้ง “พวกนายกลับไปที่เต็นท์กันก่อนเลย ฉันมีเรื่องต้องไปทำ”
หลี่ชิงเจิ้งถาม “หัวหน้าหน่วยจะทำอะไรน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างเที่ยงธรรมว่า “พวกเราอิ่มกันแล้ว แต่คนในกองพันเหล็กที่สองเรามากมายยังหิวอยู่ พวกเราไม่อาจเห็นแก่ตัวได้ พวกเขาต้องรู้เรื่องนี้!”
หลี่ชิงเจิ้งได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่พูดแล้วก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจเทียบเริ่นเสี่ยวซู่ผู้สูงศักดิ์ได้เลย!
หลี่ชิงเจิ้งพูดออก “งั้นพวกเราแยกกันกระจายข่าวสาร ทุกคนได้ใจรู้เรื่องไว้ขึ้นหน่อย”
สีหน้าเริ่นเสี่ยวซู่กลับกลาย “ไม่ต้อง พวกนายเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว รีบๆ ไปพักเลย! รีบเข้านอนได้แล้ว อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยกว่านี้เลย!”
ทหารในหน่วยประทับใจจนน้ำตารื้นขึ้นมา ก่อนหน้าพวกเขาไม่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่จะเป็นห่วงเป็นใยพวกตนขนาดนี้เลย หลี่ชิงเจิ้งคิดว่าที่ตนเองถูกลดขั้นมาเป็นรองหัวหน้าหน่วยนั้นเพราะตนเองไม่รู้ความเท่าเริ่นเสี่ยวซู่เลย
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่โน้มน้าวให้พวกหลี่ชิงเจิ้งรีบไปพัก เขาก็วนไปตามเต็นท์หน่วยอื่น เต็นท์ที่ทางกองพลาธิการให้มาใหญ่พอจะให้ทั้งหน่วยนอนข้างใน
เริ่นเสี่ยวซู่วนแจ้งสารไปยังทหารกองกำลังส่วนตัวที่เหลืออย่างใจเย็น ตอนแรกทุกคนยังไม่เชื่อถืออยู่บ้าง แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่แสดงหมั่นโถวที่พกมา พวกเขาก็เชื่อทันที!
หน่วยรบที่ได้รับข้อมูลมาจากเริ่นเสี่ยวซู่ต่างคิดว่าเขาช่างเป็นคนดีจริงๆ…ถึงพวกเขาจะรู้สึกแหม่งๆ อยู่บ้างที่เริ่นเสี่ยวซู่เซ้าซี้ให้เอ่ยคำขอบคุณก็เถอะ
เริ่นเสี่ยวซู่ลองนับเหรียญคำขอบคุณดู ก็พบว่าเพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็มีเก้าร้อยกว่าเหรียญแล้ว ผลเก็บเกี่ยวนี้เยอะกว่าที่เคยมาก!
ช่างจริงแท้ที่ว่าเมื่อผู้คนหิวโซ อารมณ์ความรู้สึกที่มีต่ออาหารนั้นจะมาจากใจจริงเป็นหนักหนา…
เริ่นเสี่ยวซู่ยกผ้าใบเต็นท์หลังถัดไปแล้วถาม “หิวกันไหม ฉันรู้ที่ดีๆ…”
ทหารนาโนแมชชีนห้านายมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างเงียบงัน เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มตอบอย่างใจเย็น “ฮ่าๆ ขอโทษที่รบกวน”
เขาประมาทเกินไปแล้ว!
ทุกเต็นท์หน้าตาเหมือนกันหมด เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเต็นท์ใครเป็นของใคร
ทหารนาโนแมชชีนพุ่งออกมาจากเต็นท์และคำรามว่า “หยุดนะ! นี่มันอะไรกัน!”
แต่พูดไปแล้ว เขาก็เห็นว่าผ้าใบเต็นท์มากมายข้างนอกเปิดออก ไม่ปรากฏคนข้างใน
ทหารนาโนแมชชีนผู้นั้นรีบไปตรวจรอบแคมป์และก็พบว่าคนหายไปครึ่งหนึ่ง!
ตอนนั้นเองก็มีทหารกองกำลังส่วนตัวกลุ่มหนึ่งเพิ่งกลับมาจากการรับประทานอาหารที่ศูนย์ปฏิบัติการหน้า ทหารบางนายถึงกับเอาไม้จิ้มฟันเขี่ยฟันอยู่ด้วย นอกจากนั้นมองแวบเดียวก็เห็นว่าพวกเขาขนของมาไม่น้อยเลย
ทว่าพอพวกเขาเห็นทหารนาโนแมชชีนเดินมาก็ล้วนแข็งค้างไป ทหารนาโนแมชชีนจากกองพันเทพยนต์ถามเสียงเย็น “หายไปไหนกันมา”
หนึ่งในนั้นตอบเสียงสั่น “พวกเราไปกินอาหารที่ฐานปฏิบัติการหน้าครับ”
คำตอบนั้นทำเอาทหารนาโนแชชีนตะลึง “แค่ไปกินอาหารน่ะนะ”
และแล้วก็มีคนกลับมาจากฐานปฏิบัติการเยอะขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็โดนลงโทษให้ยืนแถวตรงที่แคมป์
ทหารนาโนแมชชีนย่างไปรอบพวกเขาพร้อมแค่นเสียง “รู้หรือเปล่าว่าออกจากค่ายไปโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นความผิดอะไร”
เขาตบหมั่นโถวที่ทหารกองกำลังส่วนตัวอุ้มไว้อยู่จนหล่นลงกับพื้น จากนั้นก็เหยียบลงบนหมั่นโถว “นาย นาย นาย!”
ทหารนาโนแมชชีนชี้ไปยังทหารกองกำลังส่วนตัวสามนาย “กินหมั่นโถวที่พื้น!”
ทหารที่โดนสั่งแยกออกมาไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไร พวกเขาก้มลงหยิบหมั่นโถวที่โดนเหยียบจนแบนมายัดเข้าปากทันที
ทหารนาโนแมชชีนมองพวกเขา “ใครบอกให้พวกนายไปกินอาหารที่ศูนย์ปฏิบัติการหน้าได้”
พูดจบ เขาก็ต้องตะลึงที่เห็นว่าสายตาเกือบทุกคนหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ แถมบางคนถึงกับชี้ไปที่เขาด้วยซ้ำ
ความหมายว่าทหารทุกนายที่ไปกินอาหารที่ฐานปฏิบัติการหน้าล้วนทำตามที่เริ่นเสี่ยวซู่บอกอย่างนั้นหรือ
แบบนี้ก็ง่ายแล้ว แค่ลงโทษเริ่นเสี่ยวซู่คนเดียว ก็เลี่ยงการก่อกบฎได้
ที่จริงนายทหารจากกองพันเทพยนต์ก็รู้สึกหมดหนทางเช่นกัน ถ้ามีแค่คนหรือสองคนละเมิดกฎ พวกเขาคงถูกลงโทษอย่างร้ายแรง แต่ว่านี่มีคนทำผิดกฎมากเกินไป ถ้าลงโทษคนเยอะไปจนเกิดกบฏในค่ายทหารขึ้นมาจะทำอย่างไร ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือลงโทษคนผู้หนึ่งเป็นการเตือนทุกคน
แต่นายทหารแห่งกองพันเทพยนต์มีเรื่องไม่เข้าใจ เขามองไปที่เริ่นเสี่ยวซู่แล้วถาม “ทำไมนายบอกให้คนอื่นไปกินอาหารที่ฐานปฏิบัติการหน้า”
เริ่นเสี่ยวซู่มองแวบหนึ่ง “ไก่สับตุ๋นน้ำแดงที่ฐานปฏิบัติการหน้าอร่อยเหาะเลย”
นายทหารกองพันเทพยนต์ “…”
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดไป สีหน้าของนายทหารคนหนึ่งของกองพันเทพยนต์ก็เปลี่ยนไป คืนนี้เขาคิดจะใช้เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคำเตือนต่อคนอื่นๆ!
แต่ตอนนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็กระซิบใส่ทหารนาโนแมชชีนคนหนึ่ง “ขอคุยเป็นการส่วนตัวสักนิดได้ไหม”
ทหารนาโนแมชชีนคนนั้นงุนงง พาเริ่นเสี่ยวซู่ไปหลบมุมแห่งหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่แสดงใบแสดงตนทหารกองสืบสวนพิเศษทันที “ฉันสงสัยว่ามีสายลับของสมาคมตระกูลชิ่งอยู่ค่ายทหารเรา พวกนายต้องร่วมกับฉันหาตัวคนผู้นั้น แล้วก็ฉันไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เรื่องนี้ห้ามให้คนอื่นรู้นอกจากเราสองคน”
ทหารนาโนแมชชีน “…”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าไหนๆ หูชัวกับหลี่เสินถานวางแผนการใหญ่อะไรบางอย่างอยู่แล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้พวกเขาคงไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าพวกจะว่าอะไรล่ะก็ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังจะทำอยู่ดี ปล่อยให้พวกเขารับผิดชอบไปนั่นแหละ
ค่ำคืนที่สถานการณ์พลิกผันไปมาเช่นนี้ทำเอาทหารนาโนแมชชีนรู้สึกโดนถาโถมจนรับไม่ไหว เขาคิดว่าตนเองต้องกลับไปคิดใคร่ครวญอะไรๆ ให้ดีก่อน…
ร้อยเอกจากกองสืบสวนพิเศษบอกให้ทุกคนไปกินอาหารที่ฐานปฏิบัติการหน้าเพื่อหาสายลับจากสมาคมตระกูลชิ่ง?
แม่*ไม่เห็นจะเข้าท่าเข้าทางตรงไหนเลย!
กองสืบสวนพิเศษเป็นหน่วยงานที่กองพันเทพยนต์หวาดกลัว เพราะแม้แต่กองพันเทพยนต์เองก็ไม่กล้ากล่าวอ้างว่าพวกตนไม่มีสายลับแฝงตัวอยู่ในกองพัน
อีกทั้งการจารกรรมก็เป็นหนึ่งอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดในช่วงสงครามด้วย