องค์หญิงอวี้เหอเป็นเจ้าภาพ แน่นอนว่าต้องรอส่งบรรดาสตรีชั้นสูงทั้งหมดก่อน จึงค่อยขึ้นราชรถกลับวังหลวง
ผ่านป่าดอกท้อ ท้องฟ้ามืดลงแล้ว แสงอาทิตย์อัสดงสีเหลืองทองส่องผ่านยอดไม้สะท้อนลงที่เรือนร่างของสตรีชั้นสูง ทำให้เกิดแสงและเงาจางๆ ไม่ได้งดงามเหมือนตอนเช้าตรู่แล้ว คล้ายความลึกลับบางอย่างสะกิดหัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นครั้งคราว
รอยยิ้มขององค์หญิงอวี้เหอ แปลกพิกลยิ่งนัก หากจะพูดว่าองค์หญิงไม่มีแผนสำรอง ตีให้ตาย นางก็ไม่มีวันเชื่อ
บรรดาสตรีชั้นสูงต่างอิดโรยกันแล้ว ไม่ได้พูดคุยหัวเราะเฮฮาเหมือนตอนมา เดินออกไปจากสวนดอกท้อด้วยความเงียบ มั่วเชียนเสวี่ยเดินท่ามกลางพวกนาง ท่านหญิงซูซูคล้องแขนนาง มีสตรีชั้นสูงสองสามคนเดินมาทักทายเป็นครั้งคราว มั่วเชียนเสวี่ยล้วนก้มหน้าลงเป็นการทักทายกลับ กิริยาของนางอ่อนน้อมยิ่งนัก
รถม้าหลายสิบคันจอดเรียงรายเป็นแถวยาวสองแถว ต่างรอนายหญิงออกมาจากสวนดอกไม้
ฐานันดรศักดิ์ของท่านหญิงซูซูสูงส่ง นอกจากราชรถขององค์หญิงแล้ว จะมีรถม้าใดกล้าจอดด้านหน้าราชรถของนาง
ด้วยเหตุนี้ มั่วเชียนเสวี่ยและท่านหญิงซูซูที่เพิ่งเดินออกมา หมัวมัวของท่านหญิงซูซูก็เชิญท่านหญิงซูซูขึ้นไปบนรถม้า มั่วเหนียงก็เดินมาหานางเช่นเดียวกัน ทั้งสองโบกมือให้กัน จากนั้นท่านหญิงซูซูก็ขึ้นรถม้า
มั่วเหนียงเดินมาต้อนรับ ทำความเคารพ พูดแสดงความยินดี “ยินดีด้วยเจ้าค่ะคุณหนูที่ได้รางวัลชนะเลิศ ถูกขนานนามว่าเป็นสตรีอันดับหนึ่งผู้มีความรู้และความสามารถของเทียนฉี”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่สตรีชั้นสูงคนแรกที่เดินออกมา เรื่องที่นางถูกขนานนามว่าเป็นสตรีอันดับหนึ่งผู้มีความรู้และความสามารถนี้ แน่นอนว่าย่อมแพร่สะพัดไปนานแล้ว
ทว่า ข่าวสารที่มั่วเหนียงได้รับไม่ได้มาจากใครอื่น แต่มาจากผู้ติดตามของบัณฑิตจย่า
เมื่อครู่ ผู้ติดตามของบัณฑิตจย่าร้องเรียกหารถม้าของตระกูลมั่วแห่งจวนกั๋วกงเสียงดัง จากนั้นฝากมั่วเหนียงบอกมั่วเชียนเสวี่ย ขอแสดงความยินดีกับคุณหนูของนางที่ได้รับการขนานนามนี้ ในเวลาเดียวกันก็ยื่นเทียบเชิญจากบัณฑิตจย่าซึ่งเชิญมั่วเชียนเสวี่ยไปสอนในสำนักศึกษา
ไม่เคยมีสตรีคนใดเคยได้รับคำเชิญด้วยตนเองจากบัณฑิตจย่าแห่งสำนักศึกษาของราชวงศ์มาก่อน มั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนแรก นี่คือเกียรติภูมิอันใหญ่หลวง ทำให้นางมีเกียรติต่อหน้าสตรี
มั่วเชียนเสวี่ยพยุงมั่วเหนียงขึ้นมา “หมัวมัวไม่ต้องเกรงใจ ลุกขึ้นก่อนเถอะ เชียนเสวี่ยเหนื่อยแล้ว มีเรื่องอะไรพวกเราขึ้นไปคุยกันบนรถม้าเถอะ”
เห็นคุณหนูไม่ได้ดีใจอย่างที่ตนคิด แต่กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม มั่วเหนียงรู้สึกว่าเรื่องค่อนข้างร้ายแรง จึงไม่ได้พูดอะไรมาก รีบลุกขึ้น แล้วพยุงมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นไปบนรถม้าของจวนกั๋วกง
รถม้าของท่านหญิงซูซูลงจากหุบเขาก่อนแล้ว คุณหนูคนอื่นๆ ที่ออกมาก่อนก็ขึ้นรถม้าแล้วออกเดินทางกันก่อนแล้ว
หลังจากพยุงมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นรถม้า มั่วเหนียงและชูอีก็ตามขึ้นไป อาอู่สะบัดแส้ จากนั้นรถม้าก็เริ่มขับเคลื่อน
เมื่อขึ้นไปบนรถม้า ประโยคแรกที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดขึ้น “ฮองเฮาคิดจะสังหารข้าอีกแล้ว”
ด้านในรถม้าไม่มีคนนอก มั่วเหนียงรักมั่วเชียนเสวี่ยราวกับลูกของตนเอง ในสายตาของชูอีก็มีมั่วเชียนเสวี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น ขณะรถม้าขับเคลื่อนก็ไม่มีผู้ใดมาแอบฟัง มั่วเชียนเสวี่ยจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวแต่อย่างใด
ชูอีคล้ายตระหนักถึงเรื่องนี้ ทางด้านมั่วเหนียงสีหน้าเคร่งขรึมทันที
“วันนี้ตอนอยู่ในสวนดอกท้อ…” มั่วเชียนเสวี่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนเถาจิ่งหนึ่งรอบ
เรื่องบางเรื่อง จุดยืนบางจุดยืน คนข้างกายควรจะรู้ให้แน่ชัด
หลังจากพูดจบ มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยถามมั่วเหนียง “ฮองเฮาและท่านแม่สนิทสนมกันเสมือนพี่น้องจริงๆ หรือ”
เมื่อคราวก่อนมั่วเหนียงเคยบอกกับมั่วเชียนเสวี่ย ตอนที่เฟิงชิงอวี่ยังมีชีวิต เคยพานางเข้าไปในวังหลวงจริงๆ เคยเจอฮองเฮาสองครั้ง ไม่เคยได้ยินมารดาของนางบอกว่าฮองเฮามีสิ่งใดไม่ดี แต่ว่า มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่เชื่อ ความจริงตรงหน้าทำให้นางไม่อาจเชื่อ
หากไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด นางยากที่จะจัดการ
ได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยถามถึงเรื่องของฮองเฮาอีกครั้ง มั่วเหนียงคล้ายจมอยู่ในความทรงจำ “เมื่อก่อนฮองเฮาและฮูหยินสนิทสนมกันราวกับพี่น้องสายเลือดเดียวกันจริงๆ เจ้าค่ะ แค่ว่า…”
“แค่ว่าอะไร”
คล้ายมั่วเหนียงทุ่มสุดตัว “ฮูหยินและฮองเฮาพบเจอท่านกั๋วกงและฝ่าบาทพร้อมกัน ตอนนั้นท่านกั๋วกงเป็นเพียงทหารขั้นห้าธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ฝ่าบาท…ตกหลุมรักฮูหยินกั๋วกงตั้งแต่แรกเจอ และคล้ายว่าฮองเฮาก็ตกหลุมรักท่านกั๋วกงตั้งแต่แรกเจอเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ แต่ว่าท่านกั๋วกงไม่เคยชายตามองฮองเฮา ส่วนฝ่าบาท ฝ่าบาท…”
“ฝ่าบาททำไม”
“ฝ่าบาทชมชอบฮูหยิน ทั้งยังเคยลอบทาบทามกับท่านผู้เฒ่าเฟิง สัญญาว่าหากวันหน้าฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ จะแต่งตั้งฮูหยินเป็นกุ้ยเฟย นายท่านรักและเอ็นดูฮูหยินมาโดยตลอด ตอนนั้นฝ่าบาทก็ไม่ได้สู่ขออย่างจริงจัง เพียงให้คำสัญญาลับๆ เท่านั้น ไม่ได้นำออกมาพูดอย่างโจ่งแจ้ง นายท่านไม่อาจทำใจส่งฮูหยินเข้าวังหลวง ภายใต้ความลังเล จึงให้ฮูหยินแต่งงานกับท่านกั๋วกง…”
มั่วเหนียงเล่าถึงเรื่องในอดีต มีบางส่วนที่เป็นความจริง มีบางส่วนที่เป็นการคาดเดาของนาง แต่ถึงอย่างไรล้วนเป็นเรื่องบุญคุณและความแค้น
นางยังพูดไม่จบ รถม้าจอดกะทันหัน
มั่วเชียนเสวี่ยเปิดม่าน เห็นบุรุษคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายบัณฑิต ยื่นมือออกมาขวางรถม้า
ขับรถม้าลงมาจากหุบเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนดอกท้อแล้ว เพิ่งออกมาจากเขตลาดตระเวนของป่าสงวน ไม่อาจขับรถม้าเร็วได้ ทั้งยังมีทหารเฝ้าป่าสงวนมากมายมองดูอยู่ อาอู่ไม่อาจใช้กำลังขับไล่คนคนนี้ไปได้ ดังนั้นเขาจึงต้องหยุดรถไปโดยปริยาย
คนผู้นี้เลือกสถานที่เก่งจริงๆ!
เมื่อเขาเห็นรถม้าหยุดจอด ก็รีบวิ่งมาที่ข้างรถม้าทันที ร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยรัก “เหนียงจื่อ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ด้านใน เจ้าออกมาเจอข้าที่เป็นสามีเถอะ สามีคิดถึงเจ้าจนทุกข์ทรมานหมดแล้ว”
คนคนนี้แต่งตัวราวกับบัณฑิต หน้าตาดี น้ำเสียงก็ไพเราะ พูดเก่ง ความรู้สึกเอ่อล้น ทำให้คนที่ได้ยินถึงกับน้ำตารินไหล อดไม่ได้ที่จะคิดว่าภรรยาของเขาเป็นผู้ใด เหตุใดจึงใจร้ายกับเขาเช่นนี้
“เจ้าเป็นผู้ใด ผู้ใดเป็นภรรยาของเจ้า สตรีที่อยู่ในรถม้าคือบุตรีของจวนกั๋วกง เจ้ารีบถอยไปเสีย!” อาอู่ฟาดแส้ จนเกิดเสียงดัง อยากจะข่มขู่บัณฑิตที่ไร้เหตุผล
บัณฑิตคนนั้นคล้ายตกใจ แต่ไม่ได้ถอยหนี เขาพูดด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ภรรยาของข้าคือมั่วเชียนเสวี่ยบุตรีสายตรงแห่งจวนกั๋วกง เจ้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ บ้าไปแล้วหรือ”
สีหน้าของอาอู่เย็นชาเป็นทุนเดิม เวลานี้เย็นยะเยือกราวกับเหมันต์ในเดือนสิบสอง ผลักบัณฑิตออก “ขืนเจ้ายังคงพูดจาเหลวไหล ล่วงเกินคุณหนูอีก ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
ในยามปกติ หากมีคนพูดให้ร้ายเช่นนี้อาอู่ฟาดแส้ไปนานแล้ว แต่เวลานี้ต่อหน้าคนชั้นสูงมากมาย หากเขาทำร้ายบัณฑิตแค่เพราะพูดไม่เข้าหู ทำร้ายจนบัณฑิตตาย คนที่จะเดือดร้อนก็คือคุณหนู
บัณฑิตถูกอาอู่ผลักจนล้มลงบนพื้น เขานั่งลงข้างล้อรถม้า พูดด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ “เหนียงจื่อ ตอนนั้นเจ้าตกระกำลำบากที่เมืองเทียนเซียง คนในหมู่บ้านช่วยชีวิตเจ้า ให้เจ้าแต่งงานกับข้าเพื่อแก้เคล็ด เจ้าคือภรรยาที่ถูกต้องของข้า มั่วเหนียงเจอตัวเจ้า เจ้ารับปากแล้วว่าจะพาข้าเข้าเมืองหลวงด้วยกัน แต่เพียงชั่วพริบตาเจ้าก็หนีเข้าเมืองหลวงเอง…เหนียงจื่อ เจ้าอยากจะกลับไปเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แล้วไม่ยอมรับข้าเป็นสามีหรือ…”
มั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่ในรถม้า มองเหตุการณ์ด้านนอก นางไม่โมโหแต่กลับหัวเราะ นี่มันเรื่องอะไร หรือนี่จะเป็นละครฉากใหญ่ที่ฮองเฮาและองค์หญิงอวี้เหอร่วมกันสร้าง
ประเมินพวกนางสูงไปแล้วจริงๆ พวกนางใช้เพียงลูกไม้ตื้นๆ เช่นการใส่ร้ายเท่านั้น ลำบากพวกนางแล้ว ชั่วขณะหนึ่งไปหานักแสดงที่เชี่ยวชาญเช่นนี้มาจากที่ใดนะ…
บรรดาสตรีชั้นสูงออกเดินทางเวลาเดียวกัน แม้ตอนอยู่บนรถม้าจะเสียเวลาไปบ้าง แต่ก็ใช้เวลาต่างกันไม่มาก เวลานี้คนที่นั่งอยู่ในรถม้าซึ่งออกมาก่อนเดินทางไปไกลแล้ว ส่วนที่เหลือล้วนหยุดลง แม้ไม่ได้ส่งเสียง แต่มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดีว่าทุกคนที่อยู่ด้านในรถม้าต่างหูผึ่งแล้ว