ทั้งสองคนจูงมือกันเข้าไปให้ห้องโถง จย่าฮูหยินบ่นด้วยความเป็นห่วงมาตลอดทาง เป็นห่วงถึงการใช้ชีวิตในหลายวันนี้ของมั่วเชียนเสวี่ย กลัวว่านางจะได้รับความไม่เป็นธรรมแม้เพียงน้อยนิด
“ท่านแม่บุญธรรมวางใจได้เจ้าค่ะ เชียนเสวี่ยไม่เป็นอะไร ไม่เชื่อ ท่านดูสิเจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยกลัวจย่าฮูหยินไม่เชื่อ จึงรีบลุกขึ้นหมุนตัวตรงหน้าจย่าฮูหยินรอบหนึ่ง ส่วนจย่าฮูหยินก็มองดูด้วยความจริงจังจริงๆ
หลังจากเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่เป็นอะไรจริงๆ หัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลก่อนมาของจย่าฮูหยินก็ผ่อนคลายลง จ้องมองนางด้วยแววตาอ่อนโยน และพยักหน้า
เพียงแต่ แม้ว่าวางใจแล้ว แต่ปากก็ยังอดตำหนิราวกับสงสารไม่ได้ว่า “คุ้นชินกับการพักอยู่ที่บ้านไร่ที่นี่หรือไม่ แม่บอกให้เจ้าไปพักที่จวนจย่า เจ้าก็ไม่ยอม จู่ๆ ก็มาพักที่บ้านไร่นี่ มีของบางอย่างที่จะต้องเตรียมไม่เรียบร้อยแน่นอน ดูสิ แม่เอามาส่งให้เจ้าแล้ว!”
เอ่ยแล้ว จย่าฮูหยินก็จูงมือมั่วเชียนเสวี่ยไปชมสิ่งของมากมายที่นางนำมาให้
แนะนำสิ่งของไป พลางบอกถึงประโยชน์ใช้สอยของสิ่งเหล่านี้
ชิ้นใหญ่คือเตียงนอน ชิ้นเล็กคือไข่มุกต่างหู ของกิน ของใช้ อาภรณ์สวมใส่ จย่าฮูหยินล้วนเตรียมมาครบโดยไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นสิ่งของเหล่านี้แล้ว ก็เกิดความรู้สึกตื้นตันใจอย่างไม่ต้องสงสัย…ท่านแม่บุญธรรม ท่านแน่ใจหรือไม่ว่าคลังเก็บของจวนจย่าไม่ได้ถูกท่านนำของออกมาจนว่างเปล่า
รนจนจย่าฮูหยินแนะนำสิ่งของเหล่านี้จนหมด ก็เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามหลังจากนี้แล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาบ่าย แสงอาทิตย์กำลังแรง
ใช้มือบังเอาไว้ “ท่านแม่บุญธรรม พวกเราเข้าไปคุยกันด้านในเถอะเจ้าค่ะ แสงอาทิตย์แรงเช่นนี้ จะเผาเอาได้นะเจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยประคองจย่าฮูหยินเข้าไปในห้องโถงอย่างเอาใจใส่ คิดถึงจย่าฮูหยินที่ยุ่งวุ่นวายกับการจัดการของพวกนี้แต่เช้า ทั้งยังรีบร้อนนำมาให้นาง ตอนนี้ต้องยังไม่ได้กินมื้อกลางวันแน่นอน
ดังนั้น จึงหันกลับไปสั่งชูอีกับสืออู่ให้ไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมมื้อกลางวันให้กับจย่าฮูหยิน
ทั้งยังกำชับให้พวกนางทำอาหารรสชาติอ่อนอย่างชัดเจน
ไม่ใช่ว่ามั่วเชียนเสวี่ยขี้เหนียว แต่นางรู้ว่า เมื่อถึงเวลากลางวัน ร่างกายก็แย่ลงเรื่อยๆ กินปลากินเนื้อย่อมดี แต่กลับไม่เหมาะสมกับคนชรา
ก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะเป็นบุตรีบุญธรรมของจย่าฮูหยิน แต่เรื่องของจวนจย่า ถึงมือนางจะยาวแต่ก็ไม่สามารถยื่นเข้าไปยุ่มย่ามได้
แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้จย่าฮูหยินมาที่บ้านไร่นาง นางจะต้องบำรุงจย่าฮูหยินให้ดี
สำหรับเรื่องนี้ จย่าฮูหยินไม่ได้คัดค้านอะไร
นางก็มักจะให้ท่านหมอตรวจบ่อยๆ ท่านหมอก็บอกว่าให้นางกับนายท่านกินอาหารรสอ่อนให้มาก
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า มั่วเชียนเสวี่ยจะละเอียดรอบคอบขนาดนี้ ในใจจึงยิ่งชอบมั่วเชียนเสวี่ยมากขึ้น
ทั้งสองคนสนทนาเรื่องส่วนตัวกันอยู่พักหนึ่ง อาหารกลางวันก็เสร็จแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยสั่งให้คนยกอาหารทั้งหมดไปที่ศาลาริมน้ำด้านนอก ที่นั่นเย็นสบาย อากาศก็ดี ย่อมเป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงาม ซึ่งทำให้จิตใจเบิกบาน สบายอกสบายใจที่ดีที่สุดขณะกินข้าว
บ้านไร่บริเวณชานเมืองหลังนี้ดี พื้นที่กว้าง อากาศดี
เมืองหลวงในตอนนี้ นอกจากเต้าหู้ที่มั่วเชียนเสวี่ยทำให้ซูชีตอนอยู่ที่หมู่บ้านหวังจยาแล้ว ซีอิ๊วกับน้ำส้มสายชูยังไม่ได้แพร่กระจายไปเยอะ มีเพียงแค่ภัตตาคารใหญ่ๆ ที่ให้จัดส่ง
แม้ว่าจะเป็นจวนจย่าที่ร่ำรวยและมีอำนาจ ก็ไม่มีช่องทางที่จะได้รับเครื่องปรุงเหล่านี้ได้เช่นกัน
แต่เมื่อได้กินอาหารที่ใช้ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูที่ผลิตขึ้นมาในบ้านไร่ จย่าฮูหยินก็ชมไม่ขาดปาก!
โดยเฉพาะผักดองที่ผัดด้วยน้ำส้มสายชูสองสามอย่าง
คนที่อายุมาก เดิมก็ไม่ค่อยมีความอยากอะไร ทั้งยังเร่งเดินทาง ฮูหยินจย่าที่เดิมนึกว่ากินข้าวไม่ลง ก็กินมากขึ้นเล็กน้อย เพราะผักดองสองสามอย่างนี้
ในภายหลังเมื่อได้สนทนากัน จย่าฮูหยินก็ได้ยินมาว่าซีอิ๊วกับน้ำส้มสายชูนี้ มั่วเชียนเสวี่ยล้วนเป็นคนผลิตออกมา จึงตกตะลึงและนับถืออย่างยิ่ง!
สำหรับเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ได้รู้สึกทะนงตนแต่อย่างใด
ในเมื่อแม่บุญธรรมชอบ รอตอนนางกลับไป ก็ให้นางนำกลับไปด้วย
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยที่ชนะก็ไม่ได้ทะนงตน พ่ายแพ้ก็ไม่ท้อแท้ใจแล้ว จย่าฮูหยินก็พอใจมากยิ่งขึ้น
เด็กสาวที่ดีเช่นนี้เป็นบุตรีบุญธรรมของนาง อย่างไรก็ล้วนเป็นนางที่มีหน้ามีตา
กินอาหารกลางวันเสร็จ อย่างไรจย่าฮูหยินก็อายุมากแล้ว อีกทั้งยังตื่นแต่เช้าตรู่เร่งเดินทางมาส่งของให้มั่วเชียนเสวี่ย ดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกเพลียมาก
มั่วเชียนเสวี่ยให้ข้ารับใช้เก็บกวาดห้องให้จย่าฮูหยินพักผ่อนในช่วงบ่าย
ตอนที่จย่าฮูหยินหลับในช่วงบ่าย มั่วเชียนเสวี่ยมองสิ่งของที่จย่าฮูหยินนำมาให้แล้วก็รู้สึกลำบากใจ
ของพวกนี้มากเกินไปแล้ว ทั้งยังผสมปนเป อะไรก็มี ชั่วขณะหนึ่งนางจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
มั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่ตรงนี้ด้วยความระทมทุกข์เล็กน้อย
ตอนนี้ ชุนเยี่ยนที่เข้ามารายงานเรื่องต้นผลไม้บนเขากับนางเพิ่งจะเงยหน้าขึ้น
มั่วเชียนเสวี่ยตาพลันทอประกายราวกับหมาป่าเห็นลูกแกะ!
ชุนเยี่ยนที่อยู่เฉยๆ ก็รู้สึกขนลุกบริเวณแผ่นหลัง!
ถามอย่างกระสับกระส่ายว่า “คุณหนูใหญ่ มีอันใดหรือเจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่สนใจนาง เพียงแต่ดึงนางมาด้านหน้า “ชุนเยี่ยน เจ้ามาได้เวลาพอดีเลย! รีบช่วยข้าดูเร็วเข้าว่าของพวกนี้จะจัดเก็บรวมกันอย่างไร”
แม้ว่านางจะมีความสามารถ แต่ว่าของเยอะเกินไป จึงแสดงความสามารถนั้นไม่ออกจริงๆ! อีกอย่าง บ้านไร่บนภูเขาแห่งนี้ของนางที่ใดมีที่วาง ที่ใจเหมาะสมจะวางของ ชั่วครู่หนึ่งนั้นไม่รู้แน่ชัดจริงๆ
ความจริงตอนแรกชุนเยี่ยนก็ถูกของมากมายขนาดนี้ทำให้ตกใจสะดุ้งเช่นกัน!
แต่กลับดีใจอย่างยิ่ง
เรื่องของมั่วเชียนเสวี่ยในหมู่บ้านหวังจยา นางก็รู้ คุณหนูใหญ่ที่บิดามารดากลับลาลับไปแล้วทั้งคู่ จากนั้นก็มีผู้คนคิดจะทำร้ายนาง คราวนี้กระทั่งจวนก็ยังถูกเพลิงไหม้จนไม่เหลือเช่นนี้
มีแม่บุญธรรมที่รักและทะนุถนอมนางขนาดนี้คนหนึ่ง ชีวิตในภายหลังของคุณหนูใหญ่ก็น่าจะสบายขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ ในเมื่อคุณหนูใหญ่เอ่ยเช่นนี้ ชุนเยี่ยนก็จะลองจัดการดูสักครา” ชุนเยี่ยนรับคำอย่างมิอาจปฏิเสธได้
ตอนที่นางอยู่หมู่บ้านหวังจยา ก็เป็นผู้ดูแลมือดี เรื่องในร้านผลิตเต้าหู้ของหมู่บ้านหวังจยา ในภายหลังนางก็เป็นหัวหน้า
แม้ว่าจย่าฮูหยินจะส่งของมาเยอะ แต่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ย่อมไม่ยากเกินความสามารถของนาง เพียงแต่เปลืองแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง
“คุณหนูใหญ่ให้แม่นางชูอีนำเครื่องประดับพวกนั้น และสมุนไพรบำรุงร่างกายบันทึกเข้าคลังก็พอ ที่เหลือก็มอบหมายให้ข้าจัดการได้เลยเจ้าค่ะ”
ชุนเยี่ยนมีฐานะเป็นชาวไร่ชาวสวน แม้จะลงนามในสัญญาขายตัวมาที่นี่ แต่กลับไม่ได้เป็นบ่าวไปทั่ว
แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจเรื่องพวกนี้
เดิมนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้พวกเขาขายตัว แต่เพราะเรื่องของพ่อบ้านเฟิง ทำให้นางมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่านั้นเอง
แม้ว่านางจะให้พวกเขาลงนามในสัญญาขายตัว แต่สัญญาที่มีการเอ่ยถึงระยะเวลาที่กำหนดแบบนั้น สองฝ่ายมีความสัมพันธ์เป็นนายและบ่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่กลับไม่จำเป็นต้องไปขึ้นทะเบียนที่จวนราชการ เปลี่ยนให้เป็นทาสแบบนั้น
มีคำพูดนี้ของชุนเยี่ยน มั้วเชียนเสวี่ยก็โล่งใจ หลังจากกำชับชูอีให้คอยช่วยเหลือแล้ว ก็ไปทำเรื่องของตนเองต่อ