แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่ลืมกำชับชูอีให้ดูแลชุนเยี่ยนมากหน่อย อย่างไรนางก็ตั้งครรภ์อยู่
มั่วเชียนเสวี่ยเอาใจใส่อีกฝ่ายตามวัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน แต่ในโสตของชุนเยี่ยน กลับเป็นความอบอุ่นซึ่งไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว
แต่ก่อน นางเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเป็นผู้มีพระคุณของหมู่บ้านหวังจยาของพวกนาง เห็นเป็นเถ้าแก่เนี๊ยะของร้าน เห็นเป็นนายจ้าง
ตอนนี้ ในใจของนาง คุณหนูใหญ่เป็นคนดีที่สุดในใต้หล้า
……
จวนหนิง
หนิงเซ่าชิงจัดการภารกิจตามหน้าที่ แต่ก็กำชับเหล่าองครักษ์ลับว่า ไม่ว่าเวลาใด เมื่อมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมั่วเชียนเสวี่ยล้วนต้องรายงาน
หลังจากได้ยินองครักษ์ลับรายงานเรื่องนี้แล้ว ก็นิ่งอึ้งไป แต่สุดท้ายก็ยิ้มอย่างจนปัญญา
แม้รอยยิ้มจะเจือไปด้วยความจนปัญญา แต่กลับรู้สึกดีใจแทนมั่วเชียนเสวี่ยจากใจจริง
แต่ลองคิดดูแล้ว ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเล็กน้อย
ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงว่าต้องช่วยเชียนเสวี่ยเตรียมสิ่งของเหล่านี้นะ
อย่ามองว่าของพวกนั้นจุกจิก ยุ่งเหยิงมาก แต่กลับแสดงให้เห็นถึงน้ำใจที่จย่าฮูหยินมีต่อมั่วเชียนเสวี่ย นั่นล้วนเป็นความจริงใจ!
ผู้อื่นให้เขา เขาจะตอบแทนคืน
ดีต่อมั่วเชียนเสวี่ย ดีกว่าดีต่อเขา ยิ่งทำให้หัวใจอุ่นร้อน
“สั่งการลงไป ในภายหน้าให้คนดูแลจวนจย่าหน่อย เรื่องใดๆ ล้วนต้องถอยให้สามส่วน”
“ขอรับ”
องครักษ์ลับรับคำสั่งแล้วถอยออกไป แต่ในใจกลับอิจฉาโชคชะตาของจวนจย่าในภายภาคหน้า
เดิมตระกูลจย่าเป็นตระกูลใหญ่ ทั้งยังมีชื่อเสียง มีผลงานยิ่งใหญ่ และเป็นที่นับถือในแวดวงวิชาการ
ตอนนี้สามารถได้รับการปฏิบัติอย่างใจกว้างจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ เช่นนี้ก็มากพอที่จะกล่าวได้ว่า ในภายหลังจวนจย่าจะไม่มีใครเทียบได้เมื่ออยู่ในเมืองหลวง!
ส่วนจย่าฮูหยินกลับไม่เคยคิดเลยว่า กุศลกรรมที่นางเอาใจบุตรีบุญธรรมเช่นนี้ ถึงกับทำให้เหล่าบุตรหลานของนางราบรื่นไปตลอดชีวิต มีบุพเพโชคชะตาดีงาม
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในภายหลัง พวกเราจะไม่เอ่ยถึงมันชั่วคราว
เมื่อถึงยามบ่าย สิ่งของที่จย่าฮูหยินนำมาไว้ที่บ้านไร่พวกนั้น ก็ถูกจัดการเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วภายใต้การร่วมมืออย่างสุดความสามารถของชูอีกับชุนเยี่ยน
มั่วเชียนเสวี่ยไปห้องครัว ดูว่าจะทำอะไรให้แม่บุญธรรมของนางกิน หลังจากกลับมาเห็นลานที่โล่งกว้าง ก็โล่งใจเงียบๆ
และในตอนนี้ จย่าฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ในห้องก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
จย่าฮูหยินเห็นดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก ก็ตั้งใจอำลาแล้วจากไป
อย่างไรเสีย ที่นี่ก็เป็นบ้านไร่บริเวณชานเมืองนอกเมืองหลวง จะกลับไปที่เมืองหลวง ต้องรีบทำเวลาเดินทางช่วงหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยหมายมั่นปั้นมือแต่แรกแล้วว่าจะให้จย่าฮูหยินพักที่บ้านไร่ ดังนั้นจึงออดอ้อนด้วยวิธีต่างๆ นาๆ สุดท้ายก็ทำให้จย่าฮูหยินใจอ่อนจนยอมพักที่นี่
จย่าฮูหยินพักที่นี่ แต่เหล่าข้ารับใช้ที่นางพามาด้วยพวกนั้นพักบ้านไร่นี้ไม่ได้ ดังนั้นมั่วเชียนเสวี่ยจึงติดต่อหวังเทียนซง ให้หวังเทียนซงหารถม้าส่งคนเหล่านี้กลับไปที่จวนจย่า
ตอนกลางคืนมั่วเชียนเสวี่ยอุ้มหมอนไปห้องจย่าฮูหยิน
มารดาและบุตรีสองคนนอนอยู่บนเตียงหลังเดียวกัน
มั่วเชียนเสวี่ยได้สัมผัสความรักของมารดาที่ไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานาน
เหมือนได้กลับไปตอนเป็นเด็ก รู้สึกผ่อนคลายเมื่อมารดาของนางอยู่ข้างกาย
“เชียนเสวี่ย หลังจากเจ้าแต่งเข้าตระกูลหนิงไปแล้ว ต้องระแวดระวังในทุกๆ เรื่อง…”
“ท่านแม่บุญธรรม ท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ เซ่าชิงปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ…”
“แม้ว่าจะจริงใจ แต่ก็ต้องควบคุมเรือนหลังเอาไว้ให้ดี บางครั้งความรู้สึกของบุรุษก็จะได้รับผลกระทบจากทางนั้นทางนี้เช่นกัน…”
สนทนากันยืดยาวจนถึงดึกดื่น สุดท้ายก็เป็นเพราะจย่าฮูหยินอายุมากแล้ว ทนต่อความง่วงงุนไม่ไหว นอนหลับไปก่อน
เนื้อหาการสนทนาของทั้งสองคน ย่อมเริ่มจากหัวข้อหลักว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะใช้ชีวิตอย่างไรหลังจากที่แต่งเข้าตระกูลหนิงไปแล้วและขยายออกไปเรื่อย
ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่มีความง่วงงุนเลยสักนิด
มุมปากยังคงประดับรอยยิ้มจางๆ ขณะมองจย่าฮูหยินที่นอนหลับอย่างสงบอยู่ข้างๆ ในใจก็อบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
นางเป็นคนชอบเอาชนะตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นกับบิดามารดาในยุคปัจจุบันก็ไม่นับว่าใกล้ชิดมาก แต่มาถึงต่างโลกนี้ดียิ่งกว่า เป็นเด็กที่ไร้บิดามารดาคนหนึ่ง แม้ว่าอยากจะใกล้ชิดด้วยก็ไม่มีหนทาง
แต่ทว่าสวรรค์กลับสงสารเวทนานาง รู้ว่านางขาดความรักของมารดา จึงได้ส่งจย่าฮูหยินมาอยู่ข้างกายนาง
จย่าฮูหยินปฏิบัติต่อนางอย่างดีด้วยความจริงใจ
ไม่เอ่ยถึงว่าครั้งนี้มาเยี่ยมนาง แค่เอ่ยถึงเรื่องที่นางปักปิ่นในวันนั้น เดิมนางล้วนเชิญบุตรีอนุภรรยาสามคนของจวนจย่าด้วย แต่กลับมาแค่สตรีที่หมั้นหมายแล้วเท่านั้น
อีกสองคนที่คิดจะเป็นสินเดิมติดตามนางไปตอนแต่งงานไม่ได้มาเพราะป่วย
มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้เสียที่ไหนกัน!
จะต้องเป็นเพราะท่านแม่บุญธรรมเห็นนางไม่ยินยอม จึงช่วยจัดการให้นางแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยอมยิ้มน้อยๆ สุดท้ายก็ค่อยๆ หลับตาลง
เช้าวันรุ่งขึ้น เอ่ยเช่นไรจย่าฮูหยินก็ไม่ยอมพักต่อแล้ว นางเอ่ยเพียงแค่ว่า ได้เห็นว่าตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยสบายดีมาก นางก็วางใจแล้ว
อย่างไรเสีย นางก็เป็นนายหญิงของจวน เรื่องกองพะเนินภายในจวนล้วนรอให้นางกลับไปจัดการ
เห็นได้ชัดว่ามั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจเหตุผลนี้ เมื่อเห็นว่ารั้งจย่าฮูหยินไม่อยู่แล้วจริงๆ ก็ตามใจนาง ให้หวังเทียนซงเตรียมรถม้า พวกคนในบ้านไร่ก็ไว้ใจได้ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อจย่าฮูหยินจริงๆ ดังนั้นจึงไปจย่าฮูหยินกลับเมืองหลวงด้วยตนเอง
เดิมจย่าฮูหยินไม่ต้องการให้นางไปส่ง แต่นางบอกว่านางจะเข้าไปดูเรื่องที่ต้องจัดการเกี่ยวกับจวนกั๋วกงในเมืองหลวงพอดี จย่าฮูหยินจึงไม่ห้ามปรามนางอีก
หลังจากนางส่งจย่าฮูหยินกลับจวนจย่าแล้ว เมื่อไม่มีเรื่องอันใดอีกก็ไปที่จวนกั๋วกง
ตอนนั้นฮ่องเต้ถูกมั่วเชียนเสวี่ยใช้การข่มขู่ต่างๆ บีบบังคับให้นำเงินจากคลังหลวงมาสร้างจวนกั๋วกงขึ้นใหม่
เช่นนี้ตำแหน่งของฮ่องเต้ที่อยู่ในใจประชาชนก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก!
สตรีกำพร้าที่น่าสงสารนางหนึ่ง ฮ่องเต้ยังสามารถให้ความเอ็นดูถึงปานนี้ ย่อมเป็นฮ่องเต้ที่ดี
สำหรับเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้คัดค้านอันใดหนิงเซ่าชิง และไม่ได้ขัดขวางเช่นกัน
แน่นอนว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เล่าข้อเสนอ ‘พระสนมเสวี่ย’ ในวันนั้นของฮ่องเต้ออกมาสักคำ และยิ่งไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตนเองเกือบจะถูกขันทีน่าตายผู้นั้นบีบคอตาย
หากว่าเอ่ยออกไปจริงๆ ด้วยนิสัยของหนิงเซ่าชิง เกรงว่าชีวิตคงไม่ได้ดำเนินไปอย่างสงบสุขแน่นอน
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่ว่าไม่อยากหาเรื่องฮ่องเต้เฒ่านั่น เพียงแต่ไม่อยากให้หนิงเซ่าชิงเสี่ยงอันตราย
ไม่ว่าในเรื่องนี้ ฮ่องเต้จะได้รับชื่อเสียงดีงามอย่างไร สำหรับพวกเขาก็ไม่ได้มีการคุกคามใดๆ กลับกัน ขอเพียงแค่บูรณะจวนกั๋วกงให้เรียบร้อย มั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่มีทางไปหาเรื่องฮ่องเต้แม้แต่น้อย
ผู้อื่นเป็นถึงฮ่องเต้ ผู้ปกครองแว่นแคว้น ถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ทั้งยังเสียเงินจำนวนมาก ได้รับชื่อเสียงบ้าง ก็สมควรเช่นกัน
การที่นางสร้างจวนกั๋วกงขึ้นมานั้นไม่ใช่เพื่อตนเอง!
แต่เพราะบิดามารดาของนาง!
แม้ว่าโดยเนื้อแท้มั่วกั๋วกงกับกั๋วกงฮูหยินจะไม่ใช่บิดามารดาของนาง แม้ว่าทั้งสองท่านจะสิ้นชีพไปก่อนหลังตามลำดับ แต่ในดินแดนสุขาวดีแห่งนี้ มั่วเชียนเสวี่ยกลับหวังว่าจะรักษามันเอาไว้ได้ภายในขอบเขตความสามารถของนาง