คนที่คิดถึงทุกวัน รอคอยมาตลอดได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา จะไม่สะทกสะท้านได้เช่นไร
องครักษ์ตระกูลถงมีลูกน้องที่สืบข่าวคราวในเมืองหลวงโดยเฉพาะเช่นกัน เมื่อเขาไปถึงเมืองอวิ๋นฉี่ก็มีคนมานำทางเขาแล้ว
พอถึงบ้านไร่ของมั่วเชียนเสวี่ย เดิมองครักษ์เหล่านั้นก็จะมารายงานให้ผู้เป็นนายทราบ แต่กลับเจอหวังเทียนซงพอดี
หวังเทียนซงย่อมจำถงจื่อจิ้งได้ และรู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยยอมรับว่าถงจื่อจิ้งเป็นน้องชาย จึงพาเขาเข้ามา เพื่อสร้างความประหลาดใจให้กับมั่วเชียนเสวี่ย
ถงจื่อจิ้งยืนควบคุมหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งในใจ ควบคุมความคิดที่อยากจะรวบนางมาไว้ในอ้อมกอดตรงหน้าประตู พลางยิ้มบางๆ ให้มั่วเชียนเสวี่ย
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยประหลาดใจ ก็จ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง!
เขาคล้ำขึ้น!
และกำยำล่ำสันเล็กน้อย!
ละทิ้งความอ่อนเยาว์ และมีมาดที่ควรจะมีของบุรุษเพิ่มขึ้นมา
เขา ดูเหมือนว่าจะโตขึ้นแล้ว!
ในใจมั่วเชียนเสวี่ยปีติยินดี!
เป็นเขาจริงๆ! ใช่เขาจริงๆ! น้องชายที่ชะตาชีวิตอาภัพของนาง
“จื่อจิ้ง!”
ตอนนี้ ความกระวนกระวายใจเรื่องโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาวถูกพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
นางรีบลุกขึ้น เร่งฝีเท้าเดินไปที่ประตู
จับมือถงจื่อจิ้งเอาไว้แล้วมองซ้าย มองขวา หน่วยตาคล้ายกับเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาทันที
แต่ก็รู้สึกว่านี่คือเรื่องน่ายินดี เป็นเรื่องที่สมควรจะดีใจ จึงกลั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันเอาไว้
“จื่อจิ้ง มาเมืองหลวงทำไมไม่บอกพี่สาวสักคำ มาเมื่อใด ระหว่างทางเหนื่อยไหม มีอันตรายอะไรหรือไม่”
สงบสติอารมณ์ได้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ถามจุกจิกเป็นพรวนด้วยน้ำเสียงร้อนรนที่ไม่วางใจเป็นอย่างมาก กลัวว่าระหว่างทางเขาจะมีอันตรายแม้เพียงน้อยนิด
อย่างไรเสีย ถงจื่อจิ้งก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป สภาพการณ์ครึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ของเขายังคงเด่นชัดในความทรงจำของมั่วเชียนเสวี่ย
นี่นับเป็นครั้งแรกที่ถงจื่อจิ้งออกจากบ้านหลังจากที่หายป่วย อีกทั้งยังเป็นหนทางที่ไกลขนาดนี้ นางจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร
ยังมี ระยะนี้ ผู้เฒ่าถง ตาเฒ่าประหลาดคนนั้นทำให้เขาลำบากใจอีกหรือไม่…
ถงจื่อจิ้ง ไม่รู้สึกรำคาญหรือรังเกียจอะไรที่มั่วเชียนเสวี่ยจู้จี้เพราะใส่ใจเลยสักนิด
เขาเพียงแค่ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและพึงพอใจ
ความรู้สึกเช่นนี้ดีจริงๆ!
ความรู้สึกที่ถูกคนรัก ถูกคนเอาใจใส่นั้นดีมากจริงๆ!
ตอนนี้หน่วยตาของถงจื่อจิ้งแดงระเรื่อ
ปล่อยให้มั่วเชียนเสวี่ยจับมือและพิจารณามองเขาขึ้นๆ ลงๆ
แม้ว่าหน่วยตาเขาจะแดงระเรื่อ แต่ในใจกลับมีความรู้สึกหวานละมุนแผ่ออกมา นัยน์ตา นอกจากหยาดน้ำตาแล้ว ก็มีความห่วงใยและเห็นออกเห็นใจฉายออกมา
เขาย่อมไม่บอกมั่วเชียนเสวี่ยว่า ตอนที่เขาได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนาง เขารีบเร่งเดินทาง โดยไม่พักผ่อนทั้งวันทั้งคืนมาหลายวันถึงจะมาเมืองหลวง
มั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนที่เขาให้ความสำคัญ เขาไม่อยากเพิ่มภาระให้นางแม้แต่น้อย และยิ่งไม่อยากให้นางกังวลและร้อนรนเพราะตนเอง
เช่นนั้น เขาจำเป็นต้องเก็บซ่อนความไม่เป็นธรรม อุปสรรคต่างๆ และความทุกข์ยากที่ตนเองได้รับเก็บซ่อนไว้ในใจ ล้วนไม่เอ่ยถึงมันกับนาง
เสียใจคนเดียวก็พอแล้ว เหตุใดต้องลากอีกคนมาเสียใจด้วยกันอีกเล่า
ถงจื่อจิ้งสงบจิตสงบใจ
“ข้าเบื่อกับการอยู่คนเดียวที่เทียนเซียงแล้ว ทั้งยังไม่มีใครเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้า ข้าก็คิดถึงพี่สาวกับพี่เขย ดังนั้น…ดังนั้นถึงได้มา”
ถงจื่อจิ้งไม่เอ่ยเรื่องที่ไม่สมควรจะเอ่ยเหล่านั้น ไม่เอ่ยวาจาที่ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเป็นห่วง
คิดถึงพี่สาวเป็นเรื่องจริง คิดถึงพี่เขยเป็นเรื่องโกหก!
พี่สาวอยากจะอยู่กับใคร คนนั้นก็เป็นพี่เขยของเขา
ถงจื่อจิ้งเอ่ยอันใด มั่วเชียนเสวี่ยก็เชื่ออย่างนั้น
ไม่ใช่ว่านางเชื่อถงจื่อจิ้งอย่างตาบอด แต่ช่วงเวลาที่นางรู้จักถงจื่อจิ้งยังหยุดอยู่ในตอนที่เขาบริสุทธิ์ราบกับเด็กน้อย ดังนั้น สัญชาตญาณจึงคิดว่าถงจื่อจิ้งไม่มีทางปิดบังนาง
“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อมาเมืองหลวงแล้ว ก็พักอยู่ที่บ้านไร่พี่สาว พักถึงตอนที่เบื่อแล้วค่อยพอ!”
ถงจื่อจิ้งยิ้มดีใจ อยู่ข้างกายพี่สาวตลอดชีวิต เขาก็ไม่มีทางเบื่อ!
ภายใต้การถามไถ่อย่างละเอียดของมั่วเชียนเสวี่ย ตอนที่รู้ว่าคนที่เดินทางมากับถงจื่อจิ้งยังมีองครักษ์ตระกูลถงกับอาจารย์หลี่ ก็รีบให้ถงจื่อจิ้งพานางไปคารวะอาจารย์หลี่
อย่างไรเสีย ตอนนี้นางก็เป็นพี่สาวของถงจื่อจิ้ง อีกทั้งนางก็รักและปกป้องถงจื่อจิ้ง เพราะเห็นเขาน้องชายอย่างใจจริง เช่นนั้นนางย่อมต้องไปคารวะอาจารย์ของน้องชาย
สุภาษิตกล่าวไว้ว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาไปตลอดชีวิต แม้ว่าจะนำมาเปรียบกับถงจื่อจิ้งและอาจารย์หลี่แล้วจะดูไร้แก่นสาร แต่ความหมายกลับเป็นประมาณนี้
อาจารย์หลี่ยังคงมีนิสัยไม่ถือดีอวดเก่งเหมือนในตอนแรกสุด เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยก็ลุกขึ้นทำความเคารพ
มั่วเชียนเสวี่ยกำชับให้ชูอีเตรียมสถานที่พักให้กับอาจารย์หลี่ และเหล่าทหารตระกูลถง จากนั้นก็พาถงจื่อจิ้งไปกินข้าวก่อน
จากการสนทนากับอาจารย์หลี่ นางถึงได้รู้ว่า พวกเขาเร่งเดินทางมาตลอด อาหารกลางวันในวันนี้ยังไม่ได้กิน
ความจริงก็ไม่อาจกล่าวว่าไม่ได้กิน แต่ตอนที่ทุกคนเตรียมจะกินมื้อกลางวันบนเรือ ถงจื่อจิ้งกลับมองไปยังทิศทางของเมืองหลวงที่อยู่ไกลๆ บริเวณหัวเรือ
ทุกคนล้วนรู้นิสัยดื้อดึงของถงจื่อจิ้ง โน้มน้าวเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจไม่เอ่ยเสียเลย
ผู้เป็นนายไม่กิน พวกเขาที่เป็นข้ารับใช้จะกินได้เช่นไร
ทำได้เพียงแค่หิว!
“จื่อจิ้ง กองทัพต้องเดินด้วยท้อง! แม้ว่าจะตื่นเต้นเพราะได้เดินทางไกลออกจากบ้าน? ทำไมกระทั่งข้าวกลางวันก็ไม่รู้จักกินเล่า” มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสงสาร แต่ในใจกลับมีความรู้สึกชื่นใจมากกว่า
ในที่สุดถงจื่อจิ้งก็ออกจากพันธนาการในอดีตได้ สามารถออกจากบ้าน อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยคีบอาหารให้ถงจื่อจิ้ง พลางเอ่ยจ้อไม่หยุดราวกับยายแก่ และยิ้มเจิดจ้ามาก
ถงจื่อจิ้งที่ยื่นชามออกไปรับอาหารที่มั่วเชียนเสวี่ยคีบมาให้ นัยน์ตาแดงระเรื่อ เขาก้มหน้ากิน เพื่ออำพรางเอาไว้
ราวกับมีผลึกหินใสอยู่ในชาม และกลืนลงไปพร้อมกับข้าว
บางทีนี่อาจจะเป็นข้าวที่กินแล้วหอมหวานที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา
หลังจากกินอาหารกลางวันเรียบร้อย เดิมมั่วเชียนเสวี่ยอยากจะให้ถงจื่อจิ้งกลับไปพักผ่อนที่ห้อง แต่จนปัญญาที่ถงจื่อจิ้งไม่ยินยอม และติดตามอยู่ด้านหลังนางทั้งอย่างนี้
มั่วเชียนเสวี่ยไปยังลานด้านหน้า ถงจื่อจิ้งก็ตามไปที่ลานด้านหน้าด้วย มั่วเชียนเสวี่ยไปที่ลานด้านหลัง ถงจื่อจิ้งก็ตามไปด้วยเช่นกัน
สุดท้ายมั่วเชียนเสวี่ยก็หมดหนทาง ทำได้เพียงแค่พาถงจื่อจิ้งเดินรอบบ้านไร่ไปรอบหนึ่ง
สำหรับเรื่องโรงเรือนเพาะปลูกพืชนั้น…
หลังจากที่ถงจื่อจิ้งมาถึง มั่วเชียนเสวี่ยก็ลืมเสียสนิท ตอนที่ถงจื่อจิ้งเอ่ยประโยคนั้นตอนเข้ามาในห้อง นางตะลึงเกินไป จึงไม่ทันได้ใส่ใจ
ยังคงเป็นถงจื่อจิ้งที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้คิดถึงเรื่องโรงเรือนเพาะปลูกพืช
“เฮ้อ ไม่มีวิธีแล้ว ตอนนี้หาของที่ทนหนาวต้านลม และไม่กันแดดไม่ได้ แม้ว่าข้าจะมีใจคิดจะสร้างโรงเรือนเพาะปลูกพืช ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยท้อใจ