ยักษ์ที่ปากชุ่มเลือดและมีดวงตาแนวตั้งนั้นเป็นเพียงภาพมายา แก่นแท้ของมันคืออารมณ์อันแรงกล้าที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
แรกเริ่มเกิดจากอารมณ์เข้มข้นซึ่งแผ่ซ่านเข้าสู่จิตใต้สำนึก จากนั้นก็แผ่ขยายจากเกาะวิญญาณของตัวเองไปยัง ‘มหาสมุทร’ มายาที่อยู่โดยรอบและปักหลักกลายเป็นตราประทับ – ไม่ใช่ทุกอารมณ์หรือสติที่จะกลายเป็นตราประทับ ส่วนใหญ่ถูกทำลายไปตามกาลเวลา หรือไม่ก็ถูกชะล้างด้วย ‘น้ำทะเล’ มีเพียงอารมณ์ที่รุนแรงหรือเกิดซ้ำๆ เท่านั้นจึงจะอยู่รอด
และเมื่อความคิดดังกล่าวกลายเป็นตราประทับ นั่นหมายถึงการเป็น ‘หยดน้ำ’ ในทะเลจิตใต้สำนึกรวม สิ่งนี้สามารถส่งผลอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันรอบๆ ตัวจนกระทั่งกลายเป็น ‘ความคิดร่วม’ เมื่อนานวันเข้าก็แปรสภาพกลายเป็น ‘ความทรงจำ’ โบราณที่จารึกไว้ในลมหายใจ
ดังนั้นร่างสัตว์ในตำนานที่คนยักษ์มายาตนนี้เผยออกมาไม่เพียงจะพร่ามัว แต่ยังมีหลายจุดที่ผิดเพี้ยนเพราะถูกแต่งเติมด้วยจิตสำนึกส่วนตัว และตามปรกติแล้ว เลียวนาร์ดกับออเดรย์จะมิอาจจ้องมองได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นจะเกิดความสับสนทางจิตและเกิดอาการสติแตก ทว่าความบ้าคลั่งที่มาพร้อมกับมัน – ความกลัวจนถึงขีดสุดซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดมาจากไหน – เป็นอารมณ์ที่ใกล้เคียงความจริงอย่างมาก ส่งผลให้สามารถแพร่เชื้อเข้าสู่กายาปัญญา วิญญาณดารา หรือแม้กระทั่งร่างวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด!
นี่คืออันตรายโดยทั่วไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวม มิได้ถือกำเนิดจากพลัง ระดับ หรือตัวเอง แต่มาจากอารมณ์ความรู้สึกที่เข้มข้น
แน่นอนว่าถ้าได้เผชิญหน้ากับตราประทับของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงหรือเทพ ย่อมมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นร่างสัตว์ในตำนานโดยตรง และผลลัพธ์ก็จะลงเอยด้วยอาการสติแตกหรือไม่ฟั่นเฟือน กลายเป็นโดยสมบูรณ์ หรือต่อให้รอดมาได้ก็จะถูกอารมณ์ของเทพหรือสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกัดกร่อน ยากที่จะคาดเดาชะตากรรม
สรุปได้ว่าภายในทะเลจิตใต้สำนึกรวม วิธีการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะแตกต่างจากโลกภายนอก ในบางกรณี ยิ่งพยายามทำลายภาพลวงตามากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อจากอารมณ์ที่สั่นคลอนมากเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อไคลน์เห็นยักษ์สีเทาอมฟ้าสูงเจ็ดแปดเมตรปรี่เข้าหา ชายหนุ่มรีบควบคุมอารมณ์เป็นอันดับแรกทันที
จากนั้นก็ใช้ ‘ภาพลวงตา’
เป้าหมายของภาพลวงตาคือเลียวนาร์ดและออเดรย์
ส่งผลให้ในสายตาของผู้วิเศษลำดับ 5ทั้งสองคน คนยักษ์ที่สูงเท่าตึกสองสามชั้นตรงหน้าปราศจากความบ้าคลั่งและเกรี้ยวกราดที่ควรจะมี สิ่งที่เห็นกลายเป็นเพียงคนยักษ์ธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น
ดังนั้นก่อนที่ความรู้สึกอันเข้มข้นจะแล่นเข้าสู่ร่างกาย เลียวนาร์ดและออเดรย์อยู่ในภาวะเยือกเย็นเป็นที่สุด ไม่มีการสั่นไหวของอารมณ์
ทันทีหลังจากนั้น เลียวนาร์ดนำล้วงกระเป๋าและเหยียดแขนขวาไปข้างหน้าพลางอ้าปากเล็กน้อย
เดิมทีในฐานะจอมอาคมวิญญาณ มันต้องการจะใช้วิญญาณดวงแรกอย่าง ‘แบนชี’ ซึ่งผนึกเข้าไปในฟันด้วยความช่วยเหลือจากอาร์ชบิชอป (เป็นสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังซึ่งมีใบหน้างดงาม ร่างกายเน่าเปื่อย มีปีกอินทรีขนาดใหญ่สยายออกจากแผ่นหลังหนึ่งคู่ เก่งกาจด้านการแทรกแซงจิตใต้สำนึกของผู้อื่นและอัดฉีดความกลัวเข้าไป) แต่เพียงไม่นานมันก็นึกขึ้นได้ว่า ปัจจุบันไม่เพียงมันจะอยู่ในร่างวิญญาณดารา แต่ยังมีพรแห่งการชำระล้างของหมอกสีเทา เช่นนั้นแล้วยังจะมีวิญญาณอื่นหลงเหลือใน ‘ร่าง’ ได้อย่างไร
เมื่อไม่มีทางเลือก มันเปลี่ยนไปใช้พลังของ ‘ผู้ปลอบวิญญาณ’ พร้อมกับดวงตาที่ซีดลง
คนยักษ์มายาเริ่มชะลอพฤติกรรมทันที คล้ายกับอารมณ์ของมันบรรเทาลงบางส่วน
ทันใดนั้นออเดรย์ยังกางแขนออกอย่างเยือกเย็นและใช้ปลอบโยน
สายลมที่มองไม่เห็นพัดผ่าน คนยักษ์มายาพลันหยุดนิ่งพร้อมกับลดการแพร่เชื้อไปยังสิ่งรอบข้าง
ระหว่างนั้นไคลน์หยิบไม้กางเขนทองแดงซึ่งเต็มไปด้วยหนามออกมามือ ตามการด้วยเปิดขวดบรรจุเลือดของตัวเองและเทลงบนไม้กางเขนราวสองสามหยด เปล่งเสียงด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม:
“แสง!”
แสงที่ทั้งเจิดจ้า บริสุทธิ์ผุดผิด และไร้ที่ติพลันส่องสว่าง เสื้อกันลมสีดำของไคลน์สะบัดพลิ้วพร้อมกับการถูกแสงกลืนกินของคนยักษ์มายา
แทบไม่มีการต่อต้าน คนยักษ์สีเทาอมฟ้าละลายหายไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในพลังหลักของไม้กางเขนเจิดจรัสคือการลบหรือชำระล้างตราประทับทางวิญญาณที่หลงเหลือ!
นี่คือเหตุผลที่ไคลน์เลือกพกพาสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้
และขณะที่ใช้พลังของไม้กางเขนซึ่งเป็นมรดกจากเทพสุริยันบรรพกาล ไคลน์ตัดสินใจสลายภาพมายาเพื่อให้เลียวนาร์ดและออเดรย์ ‘เห็น’ รูปลักษณ์ที่แท้จริงของคนยักษ์มายา ทั้งสองจะได้มีประสบการณ์ในเรื่องทำนองนี้ติดตัวไว้บ้าง
แม้คนยักษ์มายาจะถูกแสงเจิดจ้าชำระล้างหายไปภายในไม่ถึงเสี้ยววินาที แต่ออเดรย์และเลียวนาร์ดก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะวิงเวียนศีรษะรุนแรง ความหวาดกลัวและกระวนกระวายผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ สติแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับอาการบ้าคลั่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ออเดรย์รีบใช้ปลอบโยนกับตัวเองตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็ช่วยแก้ไขอาการทางจิตของมิสเตอร์สตาร์และมิสเตอร์เวิร์ล
“น่ากลัวมาก… นี่คือคนยักษ์ระดับครึ่งเทพ?” จนกระทั่งแสงสว่างดับไป ‘จัสติส’ ออเดรย์มองไปรอบๆ และกล่าวด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ทันใดนั้น เธอเข้าใจประโยคหนึ่งอย่างลึกซึ้ง
ห้ามจ้องมองเทพ!
แม้แต่ครึ่งเทพระดับนักบุญที่มาเพียงภาพฉายก็ยังมิอาจจ้องมองได้โดยตรง นับประสาอะไรกับเทพแท้จริง?
เลียวนาร์ดที่ได้รับประสบการณ์คล้ายคลึงกันพลันหัวเราะแห้ง
“ผู้วิเศษลำดับ 4 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพในระดับตัวตนอย่างมาก แต่นั่นก็ยังไม่เท่าไร… ไม่น่ากลัวเท่ากับตอนที่ผมเผชิญหน้าสตรีมีครรภ์คนหนึ่ง”
ทำไมพวกนักกวีถึงชอบโอ้อวดนัก? ตอนสู้กับเมกูสนายสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างอิสระ แต่กับเมื่อครู่ ถ้าฉันไม่สร้างภาพลวงตา รับประกันได้เลยว่ามีคนคลุ้มคลั่งแน่นอน… ทว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนไปถ้าเมกูสคลอดทารกในท้องออกมา ลำพังการจ้องมองก็มากพอจะทำให้พวกเราคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาด… ไคลน์รำพันจิกกัดเลียวนาร์ดพลางหวนนึกถึงความทรงจำเก่า
“สตรีมีครรภ์คนนั้นเป็นครึ่งเทพหรือคะ?” ออเดรย์ถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่…” เลียวนาร์ดส่ายหน้า “แต่เธอกำลังตั้งครรภ์ทายาทของเทพมาร”
อย่างนี้นี่เอง… ออเดรย์ไม่ถามซักไซ้เนื่องจากทราบดีว่าการสำรวจยังไม่จบลง ไม่ควรเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ
หญิงสาวมองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในเสื้อกันลมสีดำซึ่งถือไม้กางเขนทองแดงและขวดโลหะ จากนั้นก็ยิ้มและพูด
“ขอบคุณที่ช่วยปิดกั้นการรับรู้ของพวกเรา… เอ่อ… หลังจากนี้พวกเราควรไปไหนต่อ?”
ในฐานะผู้ชมมากประสบการณ์ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลัง ไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะทราบว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งได้รับความช่วยเหลือครั้งใหญ่จาก ‘เดอะเวิร์ล’
ไคลน์ซึ่งพยายามควบคุมจิตใต้สำนึก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ
“ทะเลจิตใต้สำนึกรวมไม่มีพื้นที่ใจกลางหรือ?”
“ไม่มีค่ะ” ออเดรย์ส่ายหน้าขึงขัง “ที่ใดมีสิ่งมีชีวิต ที่นั่นมีทะเลจิตใต้สำนึกรวม… ในทะเลดังกล่าว ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเท่าเทียม แต่รูปแบบของทะเลจิตใต้สำนึกรวมจะแตกต่างออกไปตามสภาพแวดล้อม เราเรียกมันว่า ‘การตั้งรกราก’ … ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คือ ทะเลจิตใต้สำนึกรวมในโลเอ็นจะแตกต่างจากของอินทิส เพราะเกิดจากการ ‘ตั้งรกราก’ อย่างยาวนานของชาวโลเอ็น โดยในทางกลับกัน ทะเลจิตใต้สำนึกรวมจะสร้างอิทธิพลต่อนิสัยของชาวโลเอ็นในละแวกดังกล่าว ส่งผลให้มีอารมณ์หรือบุคลิกที่แตกต่างจากชาวอินทิส”
หลังจากอธิบายจบ ‘จัสติส’ ออเดรย์ขมวดปม
“เมื่อทะเลจิตใต้สำนึกรวมมีธรรมชาติเป็นเช่นนี้ แล้วจะให้มีพื้นที่ใจกลางได้อย่างไร?”
ไคลน์พยักหน้าพลางถามครุ่นคิด:
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง… คุณเองก็แนะนำไม่ได้ใช่ไหมว่าพวกเราควรไปทางไหน?”
อุก… มิสเตอร์เวิร์ลพูดตรงเกินไปแล้ว… หากเป็นสุภาพสตรีหรือสุภาพบุรุษที่มีจิตใจอ่อนแอ หัวใจคงปวดร้าวและเจ็บแปลบ… ออเดรย์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะหันไปเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ปัจจุบันดวงตาคู่นั้นปราศจากความบ้าคลั่งและเย็นชา มีเพียงความสงบนิ่งและลุ่มลึก
หรือว่า… ออเดรย์ฉุกคิดถึงบางสิ่งและเริ่มตระหนักว่ามิสเตอร์เวิลด์จงใจพูดตรงๆ เพื่อให้เธอพยายามเก็บรายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นการถือโอกาสสั่งสมประสบการณ์ที่หาได้ยาก
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างใจเย็นโดยปราศจากความเขินอาย
ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาพลางจ้องไปทาง ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ด
“อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้น… ขอบเขตของผมสิ้นสุดแค่ความฝัน มิใช่ทะเลจิตใต้สำนึกรวมแสนพิสดารเช่นนี้” เลียวนาร์ดรีบโบกมือ
เมื่อเทียบกับมิสจัสติสที่อ่อนประสบการณ์ เลียวนาร์ดซึ่งอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้จังหวะว่าตอนไหนควรฝืนและตอนไหนไม่ควร
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามผมมา” ไคลน์ถอนสายตากลับและเปลี่ยนไปถือไม้กางเขนเจิดจรัสที่กลับมาเป็นสีทองแดงด้วยมือข้างที่ถือขวดโลหะ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่นำเหรียญทองออกมาถือ
กิ๊ง!
ขณะเหรียญทองกำลังร่วงหล่น ชายหนุ่มคว้ามันไว้โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์ แต่กลับเลือกทิศทางที่จะเดินไปได้ทันที
นี่คือวิธีการทำนายของเขา… ออเดรย์ตกตะลึงเล็กๆ
จากด้านข้าง หญิงสาวมองหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งกำลังเผยสีหน้าขึงขังและเยือกเย็น เมื่อผนวกเข้ากับเสื้อกันฝนสีดำ หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง และไม้กางเขนเจิดจรัส เธอพบว่าอีกฝ่ายดูคล้ายกับ ‘ผู้เผยแผ่ศาสนา’ อย่างบอกไม่ถูก
ส่วนเลียวนาร์ดย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เป็นคดีแรกที่มันและไคลน์ร่วมมือกันสืบหาเด็กชายที่ถูกลักพาตัวไป ในตอนนั้นไคลน์เองก็นำทางด้วยพลังทำนายโดยมีเลียวนาร์ดคอยตามหลังอย่างเชื่อใจ
เมื่อเทียบกับความเก้ๆ กังๆ ในตอนนั้น ปัจจุบันเขาชำนาญมากจนดูเหมือนเข้าสู่โลกของผู้วิเศษมานานกว่าสิบปี… แต่ในความเป็นจริงเพิ่งผ่านไปแค่ปีกว่าๆ เท่านั้น… เลียวนาร์ดนำมือล้วงกระเป๋าและเดินตามไคลน์ด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ออเดรย์เหลือบมองเลียวนาร์ดและรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
มิสเตอร์สตาร์และมิสเตอร์เวิร์ลไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักในชีวิตจริง แต่พวกเขาน่าจะเคยเป็นเพื่อนที่สนิทกัน… อา… แต่น่าจะไม่ค่อยได้เจอกันในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา… ขณะครุ่นคิด ออเดรย์มิได้ลดความในการเดินเร็วลง พลางคอยสังเกตรายละเอียดรอบๆ ตัวและคาดคะเนจากสิ่งที่ร่ำเรียนมา ช่วยระบุว่าจุดใดอาจมี ‘กระแสน้ำวน’ หรือ ‘สัตว์ร้าย’ ซึ่งอาจดักซุ่มโจมตี
ด้วยความช่วยเหลือของหญิงสาว ไคลน์นำทางอย่างราบรื่นโดยไม่เผชิญหน้ากับศัตรูตรงๆ เหมือนกับในกรณีของ ‘คนยักษ์มายา’
บางครั้งก็เดินตรง บางครั้งก็หักเลี้ยว จนกระทั่งผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ดวงตาทั้งสามพลันเบิกกว้าง
นั่นเพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ ‘หลุมลึกก้นทะเล’ โดยที่กึ่งกลางหลุมยักษ์มีเมืองขนาดเท่าเกาะ
ฐานของเมืองเป็นสีขาวนวล เรียงรายไปด้วยเสาหินที่งดงามซึ่งสูงหลายร้อยเมตร บ้างตั้งเด่นตระหง่านอย่างโดดเด่น บ้างก็รวมกันเพื่อค้ำจุนพระราชวังโบราณสูงตระหง่านที่โอ่อ่า ฉากตรงหน้าทั้งมหัศจรรย์และเลอค่า ดูแล้วไม่น่าจะใช่สถาปัตยกรรมที่สิ่งที่มีชีวิตทั่วไปสร้างขึ้นได้
แม้ออเดรย์จะไม่รู้จักเมืองนี้ แต่ความคิดหนึ่งกลับผุดขึ้นมาในใจ:
เมืองแห่งปาฏิหาริย์… เลฟซิด…
…………………………