หลังจากที่หลงเฉินได้แยกกับถังหว่านเอ๋อแล้วก็ได้ตรวจสอบเส้นทางตามแผนที่อยู่บนแผ่นป้าย จากนั้นก็ออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้หลงเฉินอยู่ขอบริมสุดของแผนที่ หากเป็นไปตามพิกัดแล้วเขาจำเป็นจะต้องข้ามแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่ง อีกทั้งยังต้องผ่านภูเขาสูงอีกหนึ่งลูกเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมาย หากคำนวณตามระยะทางแล้วคงจะใช้เวลาเดินทางไปถึงที่นั่นไม่ถึงเจ็ดวัน ฉะนั้นหลงเฉินยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะสำรวจสถานที่แห่งนี้ก่อน
เมื่อเดินมาได้สักพักใหญ่ หลงเฉินก็ได้พบกับถ้ำแห่งหนึ่ง พลันก็ได้นำความบริสุทธิ์ปลาฉีหลิงออกมาจากแหวนมิติ ความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงนั้นมีขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง ซึ่งผู้คนส่วนมากมักจะมองเป็นชิ้นกระดูกขนาดเล็ก
จากนั้นก็ได้นำโอสถสีดำออกมาเม็ดหนึ่งแล้วบีบลงไปในน้ำที่อยู่ในชามถ้วยเล็ก ก่อนจะคนให้เข้ากันจนกลายเป็นน้ำสีดำทมิฬ
หลงเฉินนำความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงหย่อนลงไปในชาม จากของเหลวสีดำทมิฬก็ได้เกิดฟองฟอดขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน บรรยากาศโดยรอบเกิดเป็นความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมา
หลงเฉินฉีกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะกระตุ้นพลังอันมหาศาลจากความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงได้
หลงเฉินวางฝ่ามือแนบกับหน้าอกของตัวเอง พลังแห่งจิตวิญญาณสายหนึ่งถูกไหลเวียนขึ้นมาไว้ที่กลางอกจนเกิดเป็นพลังหมุนวน ความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงถูกพลังหมุนวนดูดซับเข้าไปอย่างช้าๆ
ผ่านไปเพียงหนึ่งลมหายใจ ความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงก็ถูกดูดซับเข้าไปจนหมดจด หลงเฉินสัมผัสได้ว่าความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงนั้นไร้ซึ่งประกายเฉกเช่นตอนแรก ในท้ายที่สุดก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เหนียวข้นคล้ายกับโคลนตม
สิ่งนี้ถือเป็นการบ่งบอกว่าความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงที่มีอยู่อย่างมหาศาลได้สลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว หลงเฉินหลับตาลงอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสำรวจภายในร่างกายหลังจากที่ได้ดูดซับความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงเข้าไปแล้ว
เขาพบว่าพลังแห่งจิตวิญญาณมีความบริสุทธิ์ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย พลันก็ได้ตัดสินใจนำความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงออกมาจนหมดสิ้นนับสามสิบเม็ด
“กรูกกรูก……”
หลงเฉินนำความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงที่อยู่กำมือใส่ลงไปในชามที่มีน้ำอยู่จนเปล่งประกายของเหลวสีดำขึ้นมา อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างช้าๆ จากนั้นก็ได้กระตุ้นพลังหมุนวนที่อยู่กลางหน้าอกขึ้นมาเพื่อดูดซับพลังอันมหาศาลจากความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงอีกครั้งหนึ่ง
พลังอันมหาศาลเหล่านี้ไม่สามารถใช้ตาเปล่าแยกแยะพลังสภาวะออกมาได้ ต้องใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไปจึงจะสัมผัสได้ หลังจากตรวจสอบดูอีกครั้งบนใบหน้าของหลงเฉินก็ได้ปรากฏรอยยิ้มอย่างพึงพอใจขึ้นมา
เพราะว่าในครั้งนี้เขาได้ใช้ความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงเป็นจำนวนมาก จึงสามารถสัมผัสพลังได้อย่างชัดเจน เมื่อพลังสภาวะอันมหาศาลทั้งสองได้ผสานรวมกันแล้ว พลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินก็ได้คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา
ความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาล แม้ว่าจะไม่ใช่พลังแห่งจิตวิญญาณที่แท้จริง ทว่ากลับสามารถใช้เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงพลังแห่งจิตวิญญาณได้อย่างน่าประหลาดใจ
หากกล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือพลังแห่งจิตวิญญาณเปรียบเสมือนต้นอ่อน และพลังอันมหาศาลจากความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงก็เป็นรากเพื่อดูดซับอาหารมาใช้เลี้ยงดูต้นอ่อน
หลังจากได้รับความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงเข้าไปแล้ว หลงเฉินก็สัมผัสได้ว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาเพิ่มพูนขึ้น แล้วก็จะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าจะเป็นพลังสภาวะอันน้อยนิดเมื่อเทียบกับพลังภายในร่างกายของหลงเฉิน ทว่าก็มากพอที่จะทำให้เขาเกิดความลิงโลดขึ้นมาได้ เพราะพลังแห่งจิตวิญญาณจะช่วยทะลวงพลังให้เข้าสู่ขอบเขตถัดไปได้ อีกทั้งยังส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อการฝึกฝนวิชาโอสถ
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนมักจะไม่ทราบคุณสมบัติเช่นนี้ของปลาฉีหลิง ทราบเพียงแค่ว่าเนื้อของมันมีความเลิศรส ละทิ้งความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงไป
“น่าเสียดาย ด้วยที่แหวนมิติแห่งชีวิตชิ้นนี้อยู่ในระดับต่ำจนเกินไป ไม่เช่นนั้นคงจะจับปลาฉีหลิงมาเลี้ยงได้อีกมากมาย คงจะได้ความบริสุทธิ์มากกว่านี้”
หลงเฉินถอดถอนหายใจออกมาอย่างอดสู เพราะแหวนมิติแห่งชีวิตของเขาทำให้ปลาฉีหลิงตายไปหลายส่วนเนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมที่จะให้ปลาฉีหลิงเติบโตขึ้นมา จึงเป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก
ฉะนั้นในครั้งนี้หลงเฉินจึงได้พลังจาดความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงเพียงน้อยนิดเท่านั้น หากได้ความบริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งสิ่งเจือปนและมีจำนวนมากขึ้นย่อมสามารถนำมาหล่อเลี้ยงพลังแห่งจิตวิญญาณได้เป็นเวลาที่เนิ่นนานมากกว่านี้แน่นอน
หลังจากดูดซับความบริสุทธิ์ของปลาฉีหลิงเรียบร้อยแล้ว หลงเฉินก็รู้สึกได้ว่าภายในห้วงสมองของเขากระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น พลังแห่งความบริสุทธิ์มากมายกำลังงอกเงยขึ้นมาเรื่อยๆ แล้ว
จากนั้นก็ได้สำรวจร่างกายของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งหลังจากใช้โอสถรักษาบาดแผลที่ถูกพลังแห่งอัสนีบาตลงทัณฑ์ก็พบว่าร่างกายได้ฟื้นคืนกลับมามากกว่าแปดส่วนแล้ว
“สำรวจดูอีกสักหน่อยก็แล้วกัน ว่าที่หมู่ตึกแห่งนี้มีสมบัติใดอีก”
หลงเฉินเดินทางออกมาจากถ้ำแล้วมุ่งหน้าต่อไปตามทิศทางในแผนที่ ตลอดรายทางมานี้เขาก็ได้พบกับผู้มารายงานตัวคนอื่นที่กำลังเดินทางสู่จุดมุ่งหมายด้วยเช่นเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็เห็นเครื่องหมายบนแผนที่ซึ่งจะพาไปสู่การข้ามท้องธาราสายใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อพวกเขาพบเห็นหลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเกิดอาการร้อนรนอย่างรุนแรง ทว่าหลงเฉินกลับไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าได้ยินข่าวคราวมาบ้างหรือไม่ เด็กน้อยผู้นั้นได้ลงมือสังหารลูกน้องของเหร่ยเชียนซังจนตายไปเลยนะ” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“จ้าวหวู่ผู้นั้นถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความแข็งแกร่งผู้หนึ่งที่เหร่ยเชียนซังยกให้เป็นมือขวาเลยก็ว่าได้ คิดไม่ถึงเลยว่าบุคคลเช่นนั้นกลับตายด้วยน้ำมือของหลงเฉินได้ ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว”
“อีกทั้งหลังจากที่ได้สังหารจ้าวหวู่ลงไปแล้วกลับไม่ถูกลงโทษเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว สามารถเข้ารับการทดสอบต่อไปได้ตามปกติอีกด้วย”
ผู้คนไม่น้อยต่างกระซิบกระซาบกัน ครั้งล่าสุดที่พวกเขาเห็นก็คือสัตว์มายาของหลงเฉินก็แข็งแกร่งถึงขนาดท้าสู้กับชีซิ่งได้ แน่นอนว่าหลงเฉินจะต้องกลายเป็นศิษย์รักได้อย่างง่ายดายแน่นอน
“หลงเฉินผู้นี้จะต้องเป็นม้ามืดของการทดสอบในครั้งนี้แน่นอน ทว่าไม่แน่ใจว่าเขาจะมีพลังต่อสู้อยู่ในระดับเดียวกับเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งห้าคนได้หรือไม่” คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เหอะ หลงเฉิน? เขาแกร่งกล้ามาจากที่ใดกันถึงได้กล้าลบคมกับยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดได้? พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าเขาได้ถูกเหร่ยเชียนซังใช้เพียงกระบวนท่าเดียวซัดจนกระอักโลหิตออกมาแล้ว?
เขาก็แค่พวกที่ชมชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า หากเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดเหล่านั้นแล้วย่อมถูกจัดการด้วยกระบวนท่าเดียวเท่านั้น” คนผู้หนึ่งสบถเสียงดังชิขึ้นมาอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่เห็นหลงเฉินอยู่ในสายตาด้วยเช่นกัน
หลงเฉินนั้นไม่ทราบเลยว่าการลงมือต่อจ้าวหวู่ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานกันยกใหญ่ในหมู่ผู้เข้าร่วมการทดสอบไปเสียแล้ว ตอนนี้คนพวกนั้นต่างก็ยกให้เขาอยู่รองจากเหล่าสัตว์ประหลาดเพียงขั้นเดียวเท่านั้น
หลังจากที่เดินทางมาได้สักพักหนึ่ง ทางด้านหน้าก็ปรากฏเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ ต้นไม้ที่ขึ้นสูงตระหง่านเริ่มหายไปจนแทบจะไม่หลงเหลือ กลับกลายเป็นเพียงต้นไม้ที่สูงแค่ระดับสายตาของคนผู้หนึ่งเท่านั้น
ต้นไม้เหล่านั้นมีความสูงประมาณสองเซียะกว่า เมื่อเดินเข้ามาก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ช่างง่ายต่อการหลงทิศยิ่งนัก หลงเฉินจึงทำการตรวจสอบตามจุดในแผ่นที่อยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่ามาถูกทาง
เส้นทางในการเดินทางต่อจากนี้ช่างยากลำบากเสียยิ่งกว่าที่ผ่านมา เพราะในแต่ละบริเวณต่างก็เป็นพุ่มไม้ที่มีพิษเสียส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทลายพลังป้องกันของหลงเฉินได้ ทว่าอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่นั้นกลับอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก เกรงว่าพอไปได้ครึ่งทางคงจะเกิดรอยแหวกมากมายจนไม่น่าดูอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นก็มีเงาร่างสายหนึ่งเดินสาวเท้าเสียงดังอยู่ที่เบื้องหลังอย่างรวดเร็วจนหลงเฉินต้องสะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด คนผู้นี้แข็งแกร่งจนไม่กลัวพุ่มไม้มีพิษเลยหรืออย่างไรกัน?
ทว่าเมื่อเงาร่างของคนผู้นั้นปรากฏอยู่ข้างกายก็พบว่าบนเรือนรางของคนผู้นั้นทอประกายสีทองระยิบระยับขึ้นมาจากชุดเกราะที่สวมใส่อยู่
‘ก็ว่าอยู่ เหตุใดเขาถึงไม่กลัวพุ่มไม้มีพิษเหล่านี้ทิ่มแทงกัน’ หลงเฉินส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาต่อตัวเอง พลันก็รีบค้นหาสิ่งของภายในแหวนมิติ โชคดียิ่งนักที่เขาไม่ได้ทิ้งชุดเกราะไปในครั้งนั้น
หลังจากที่สวมชุดเกราะเหล็กที่มีขนาดพอดีกับร่างกายของเขาแล้ว ตลอดทั่วทั้งเรือนร่างในตอนนี้ก็ได้ปกคลุมไปด้วยเกร็ดแวววับจากชุดเกราะ อีกทั้งยังไม่สะท้านต่อพุ่มไม้เหล่านั้นอีกต่อไป
จู่จู่ความคิดอันโลดแล่นหนึ่งก็ผ่านเข้ามา หลงเฉินรื้อค้นสิ่งของภายในแหวนมิติอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นในมือก็มีหมวกใบกลมกลิ้งเพิ่มขึ้นมา
“ฮาฮา ของดี”
หลงเฉินสวมหมวกที่มีผิวเรียบเป็นวาว ทว่าหลังจากที่สวมใสลงบนศีรษะแล้วกลับมีแค่ดวงตาคู่คมปรากฏขึ้นมาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นคนรู้จักก็ไม่อาจจดจำเขาได้อย่างแน่นอน
“สังหารผู้วางเพลิง ทุบตีคู่อริ ย่อมต้องมีตัวช่วยบ้าง” ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดความยินดีขึ้น เป็นสาย ถึงแม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ทว่ากลับสามารถปกปิดร่องรอยของตัวเองได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่จัดการทุกสิ่งเสร็จสิ้น หลงเฉินก็ได้ย่างฝีเท้ามุ่งตรงไปตามเส้นทางที่อยู่เบื้องหน้าในทันที เมื่อมีชุดเกราะคอยคุ้มกันร่างกายแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาพะวงกับพุ่มไม้แหลมที่น่ารำคาญเหล่านี้อีก
ชุดเกราะนี้มีน้ำหนักกว่าสามร้อยชั่งจึงส่งผลให้การเคลื่อนไหวล้าช้าลงไปพอสมควร ทว่าหลงเฉินกลับวิ่งตะบึงหน้าตั้งไปตามเส้นทางอย่างบ้างคลั่งประดุจกระสุนปืนถูกยิ่งอกจากกระบอกอย่างไรอย่างนั้น ต่อให้พบเจอกับต้นไม้เตี้ยที่เข้ามาขวางทางก็ไม่คิดที่จะหลบเลยแม้แต่น้อย กระทำเพียงพุ่งเข้าใส่จนแหลกคาที่ไปในทันที
“ฮาฮา สุดยอดไปเลย”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินได้รับประสบการณ์บ้าบิ่นเฉกเช่นนี้ ราวกับว่าพลังปราณจิตถูกปลดปล่อยออกมาจนร่างกายลอยทะยานสู่เบื้องหน้าไปเอง สภาวะจิตใจและสภาวะอารมณ์ถูกกระตุ้นขึ้นมาจนอยู่ในระดับสูงสุดอย่างรวดเร็ว
“เอ๋ แย่แล้ว”
เบื้องหน้าของเขาปรากฏเป็นเงาร่างของคนสองคนขึ้นมาอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังสวมชุดเกราะเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าการเคลื่อนไหวของสองเงาร่างนั้นกลับไม่ต่างไปจากหอยทากเลย
“หลบไป ข้าหยุดไม่ได้!”
“โครมโครม”
เมื่อสิ้นเสียงตะโกนของหลงเฉินเพียงไม่นาน ก็ได้มีเสียงปะทะกันของเหล็กกล้าดังติดต่อกันถึงสองครั้ง เงาร่างที่ขวางทางอยู่ลอยกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเซียะก่อนจะค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น พร้อมทั้งมีเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดขึ้นมา
“ดวงซวยเสียจริง ข้าต้องรับผิดชอบด้วยสินะ” หลงเฉินแตกตื่นตกใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“บัดซบ ส่งแผ่นป้ายของเจ้ามาซะ”
ชายหนุ่มทั้งสองคนคืบคลานไปบนพื้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นยืน คนผู้หนึ่งชี้นิ้วมาที่หลงเฉินพร้อมกับด่าทอออกมาในทันที
ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังถอดหมวกเหล็กบนศีรษะออก ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง โลหิตสายหนึ่งไหลออกมาจากรูจมูก ใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดปรากฏขึ้นมาจนเห็นได้ชัด
“ให้ตายเถิด เจ็บเป็นบ้าเลย จมูกของข้าไม่มีความรู้สึกแล้ว มัวแต่รีรออะไรอยู่เล่า รีบส่งแผ่นป้ายของเจ้ามาให้พวกเราซะ” ชายผู้นั้นร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด
“ออ ต้องขอโทษด้วย ข้าน้อยเป็นมือใหม่ที่เพิ่งออกเดินทาง ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับเส้นทางเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอมอบแผ่นป้ายชิ้นนี้ให้เป็นของกำนัลแก่พวกท่านก็แล้วกัน”
หลงเฉินรู้สึกผิดอยู่บ้างจึงส่งแผ่นป้ายที่สลักคำว่า ‘สวรรค์’ ให้แก่คนผู้นั้นไป อย่างไรเสียเขาก็มีแผ่นป้ายจากถังหว่านเอ่ออยู่ ฉะนั้นแผ่นป้ายของเขาย่อมไม่มีประโยชน์ต่อเขาอีกแล้ว
คนผู้นั้นยื่นมือเข้ามารับแผ่นป้ายจากหลงเฉินแล้วจ้องมองมาที่หลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าหนู ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดี ทว่าครั้งต่อไปก็ระวังหน่อยก็แล้วกัน ”
“เอาเถิด เอาเถิด ครั้งหน้าข้าจะระวังให้มากขึ้น” หลงเฉินกล่าว
“ไปเถิด พวกเราต้องรวมตัวกันโดยเร็วที่สุด อย่าให้การใหญ่ของพี่ใหญ่ชีต้องคลาดเคลื่อนไปเลย ปล่อยเจ้าหนูผู้นี้ไปเถิด” เมื่อกล่าวจบคนผู้นั้นก็ได้ลากอีกคนหนึ่งไปตามเส้นทางต่อไป
หลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสองคนไปลับหายไป หลงเฉินก็ยังคงยืนสงสัยอยู่ที่จุดเดิม “พี่ใหญ่ชี? ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ได้คงจะต้องเป็นบุคคลระดับสัตว์ประหลาดเหล่านั้นแล้วล่ะ หมายถึงชีซิ่งอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินกรอกตาไปมารอบหนึ่งแล้วขยับฝีเท้าติดตามเงาร่างทั้งสองนั้นไปอย่างเงียบเชียบ เหอะเหอะ ชีซิ่ง ข้าขอดูเสียหน่อยเถิดว่าเจ้าจะสำแดงฤทธิ์อันใดออกมาบ้าง