หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 551 ความขัดแย้งภายใน

บทที่ 551 ความขัดแย้งภายใน

เมี่ยเลี่ยจื่อหรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิวหรันและพลันส่งสายตาเย็นชาไปหานาง ก่อนหน้านี้ เฟิ่งชิวหรันมีปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นช่วงปลาย แรงกดดันที่นางแผ่ออกมาส่งผลกับเมี่ยเลี่ยจื่อผู้ซึ่งเพิ่งจะบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณขั้นต้นไม่น้อย ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมร่วมมือกับสหพันธรัฐ

แต่การฝึกปราณของเมี่ยเลี่ยจื่อก็รุดหน้าเรื่อยมา ความแตกต่างระหว่างตัวเขากับเฟิ่งชิวหรันมีไม่มากแล้ว แต่ถึงกระนั้น หากเขามีทางเลือก เขาก็คงไม่อยากขัดใจนาง เพราะอย่างไรเสียก็ยังมีโยวหรันเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยอีกคน

แม้ว่าโยวหรันจะไม่ค่อยพูดมาก เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังระวังอีกฝ่ายอยู่ตลอด เขากำลังจะอ้าปากพูด แต่โยวหรัน ผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กลับถอนหายใจขึ้นมาเสียก่อน

“เมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรัน หยุดเถียงกันได้แล้ว เป็นเช่นนี้ทุกทีสิ…ทว่าผู้อาวุโสเฟิ่ง ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือเรื่องของต้นเฟิงซิ่น! ข้าคิดว่าเราควรจะลงความเห็นเรื่องต้นเฟิงซิ่นกันก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องอื่น ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า”

เมื่อโยวหรันทำหน้าที่เป็นกรรมการเช่นเคย เฟิ่งชิวหรันจึงพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

“สามสิบเจ็ดปีที่แล้ว มีใบไม้เจ็ดใบร่วงลงมาจากต้นเฟิงซิ่น มาบัดนี้เหลือเพียงสามใบเท่านั้น จำนวนใบไม้ที่ร่วงหล่นนั้นเริ่มลดน้อยถอยลง เป็นไปได้มากว่าครั้งหน้าจะมีเพียงใบเดียว” โยวหรันกล่าวอย่างเนิบๆ แต่ในดวงตาของเขามีความวิตกกังวลฉายชัดอยู่

“แปลว่าครั้งนี้เราจะมีเหรียญตราสามเหรียญเท่านั้น หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ศิษย์สามคนจะได้เข้าไปยังตำหนักวังบูชาแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลและสลักชื่อลงไปบนแท่นสลักเต๋าตามแต่โอกาสที่พวกเขาจะได้รับ ซึ่งจะเป็นการรับพวกเขาเข้ามาเป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเจ้าทั้งสองมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการคัดเลือกศิษย์หรือไม่” ขณะที่โยวหรันพูด เขาก็มองไปทางผู้อาวุโสอีกสองคน

เมี่ยเลี่ยจื่อพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาโดนไม่รอเฟิ่งชิวหรัน

“ก่อนหน้านี้ มีใบไม้เจ็ดใบ เราส่งคนไปเจ็ดคน สี่คนไม่รอดชีวิตกลับมา มีเพียงชื่อหลินและอีกสามคนเท่านั้นที่กลับมาและได้เป็นศิษย์สำนักนอกของสำนักวังเต๋าไพศาล มีความสูญเสียมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เรามีใบไม้อยู่เพียงสามใบ ข้าคิดว่าไม่ควรจะส่งใครไปเลยเสียด้วยซ้ำ!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งชิวหรันก็ไม่พอใจและตอบโต้ทันควัน

“ใบของต้นเฟิงซิ่นเป็นตราที่แสดงว่าคนผู้นั้นได้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักวังเต๋าไพศาลโดยสมบูรณ์ สิ่งนี้เป็นธรรมเนียมสืบทอดกันมาตั้งแต่สำนักวังเต๋าไพศาลเพิ่งก่อตั้ง เมื่อครั้งเราก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ แม้ว่าจะมีอันตรายอยู่บ้างในการเข้าไปยังตำหนักวังบูชา แต่การที่ต้นเฟิงซิ่นยังผลัดใบก็แปลว่าธรรมเนียมนี้ยังมีความสำคัญอยู่!”

“บางทีอาจจะมีใครสักคนที่มีคุณค่ามากพอและได้เป็นศิษย์สำนักในก็ได้ และนั่นคงจะมีความหมายมากสำหรับพวกเรา แน่นอนว่าหากผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อไม่เห็นด้วย เจ้าจะปฏิเสธไม่รับใบเฟิงซิ่นไปให้ศิษย์ของท่านก็ได้นะ” เฟิ่งชิวหรันพูดไม่ทันขาดคำ เมี่ยเลี่ยจื่อก็หัวเราะขึ้นมาทันที

“สิ่งที่ผู้อาวุโสเฟิ่งพูดนั้นมีเหตุผล ข้าคิดไม่ถี่ถ้วนเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การจะแบ่งใบไม้ทั้งสามก็ไม่ยากอีกต่อไป พวกเราก็แบ่งใบไม้กันคนละใบ และให้สานุศิษย์ของพวกเราเข้าร่วมการทดสอบ ผู้ชนะการทดสอบจะได้รับใบเฟิงซิ่นเป็นรางวัล!”

“ขณะนี้บรรดาศิษย์ต่างก็นิ่งนอนใจกันมากเกินไป พวกเราต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าการฝึกปราณนั้นยากลำบากเพียงใด ให้พวกเขาได้รู้ว่าการฝึกปราณนั้นแท้จริงแล้วคือการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และสรวงสวรรค์ อย่างไรเสีย ในอดีตพวกเราทั้งสามก็ต้องผ่านการทดสอบนานัปการกว่าจะมีทุกอย่างที่เรามีในวันนี้ได้” เมื่อพูดจบเมี่ยเลี่ยจื่อก็หรี่ตาลงและเพ่งมองไปยังเฟิ่งชิวหรัน แต่กลับหัวเราะชั่วร้ายอยู่ในใจ ในฉากหน้า ถ้อยคำที่เขาพูดเรื่องการแบ่งใบไม้สามใบนั้นอาจฟังดูยุติธรรมแต่ในความเป็นจริงแล้วมีแผนการชั่วร้ายแอบซ่อนอยู่!

สำหรับเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรัน พวกเขาสามารถแสร้งทำเป็นให้ศิษย์ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงใบเฟิงซิ่น แต่จริงๆ แล้วค่อยชี้นิ้วตัดสินใจเองง่ายๆ ได้

ทว่าสถานการณ์ของเฟิ่งชิวหรันนั้นต่างออกไป นั่นเป็นเพราะความยุ่งยากที่เกิดขึ้นจากการเข้าร่วมกับสหพันธรัฐภายใต้การนำของนาง แม้ว่านางจะพยายามยุติเรื่องวุ่นวายเหล่านั้น แต่ภายในฝ่ายของนางกลับแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยังคงให้การสนับสนุนเฟิ่งชิวหรันต่อไป อีกฝ่ายเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาแม้จะยังเงียบอยู่ก็ตาม

การก่อตัวของสองฝ่ายนี้ก็ทำให้เกิดการแบ่งแยกในบรรดาศิษย์เช่นกัน บรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐนั้นอ่อนแอและทำได้เพียงเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันเท่านั้น และแม้ศิษย์อื่นๆ ในฝ่ายที่ทำงานอยู่ภายใต้เฟิ่งชิวหรันจะให้การช่วยเหลือพวกเขาอยู่ตลอด แต่ก็ยังไม่อาจมองคนเหล่านั้นเป็นพวกเดียวกันได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

ดังนั้นปัญหาในขณะนี้คือใครที่ควรจะได้รับใบไม้ของเฟิ่งชิวหรันไป หากต้องคัดเลือกผ่านการประลองเช่นที่เมี่ยเลี่ยจื่อเสนอ ก็จะมีปัญหาอีกว่าควรให้พันธุ์กล้าสหพันธรัฐเข้าร่วมด้วยหรือไม่…

หากให้เข้าร่วมด้วยก็แปลว่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐต้องต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงใบเฟิงซิ่น การบาดเจ็บและล้มตายก็จะกลายมาเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่น่าจะมีใครยอมลดลาวาศอกเมื่อโอกาสชิ้นงามเช่นนี้มาอยู่ตรงหน้า เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ช่องว่างระหว่างสหพันธรัฐและกลุ่มต่างๆ ภายใต้เฟิ่งชิวหรันก็จะห่างออกไปเรื่อยๆ แม้ว่าการต่อสู้นั้นจะยุติธรรมและสมเหตุสมผลสักเพียงใดก็ตาม

อย่างไรก็ดี หากพันธุ์กล้าสหพันธรัฐไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม การเลือกปฏิบัตินี้ก็จะยิ่งทำให้พวกเขาห่างเหินกันขึ้นไปอีก ในขณะเดียวกัน หากเฟิ่งชิวหรันไม่คิดให้บรรดาศิษย์ต่อสู้แย่งชิงกัน นางก็ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน การมอบใบไม้ให้หนึ่งในพันธุ์กล้าสหพันธรัฐย่อมสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้บรรดาผู้ฝึกตนภายใต้การดูแลของนาง

ตามแผนของเมี่ยเลี่ยจื่อ ไม่ว่าปัญหานี้จะถูกแก้ไขอย่างไร ก็ต้องเกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างเฟิ่งชิวหรันและสหพันธรัฐอย่างแน่นอน จากนั้นหากมีเหตุใดอื่นเพิ่มเติมแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนขั้วขึ้นในบรรดาผู้ฝึกตนภายใต้การนำของเฟิ่งชัวหรันเป็นแน่!

ช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายอะไรเช่นนี้!

ตั้งแต่ต้น เรื่องการที่เขาปฏิเสธจะต้อนรับพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สอง หรือเรื่องความคิดเห็นว่าใบต้นเฟิงซิ่นนั้นไร้ค่า เมี่ยเลี่ยจื่อพูดไปก็เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เขาได้เสนอวิธีคัดเลือกเช่นนี้ขึ้นมา!

เพราะอย่างไรเสีย หากเฟิ่งชิวหรันยืนยันหนักแน่นในการรักษาขนมธรรมเนียม นางก็ไม่อาจปฏิเสธวิธีการแบ่งใบไม้อย่างเท่าๆ กันนี้ได้ วิธีนี้ยังมอบอำนาจการตัดสินใจให้โยวหรันด้วย เมี่ยเลี่ยจื่อเชื่อว่าแม้เฟิ่งชิวหรันจะมองเห็นปัญหาในข้อเสนอของเขา แต่ก็เป็นการยากสำหรับนางที่จะปฏิเสธอยู่นั่นเอง

ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้เตรียมการสำหรับอนาคตเอาไว้แล้ว

ในความเป็นจริง แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะดูไม่เด็ดขาดและค่อนข้างอ่อนแอ แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ หลังจากที่นางครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง นางก็ละสายตาจากมา ดูเหมือนว่าจะรู้ถึงกับดักในข้อเสนอของเมี่ยเลี่ยจื่อ นางกำลังจะอ้าปากพูดเมื่อโยวหรันหัวเราะและเริ่มพูดพลางพยักหน้า

“เป็นข้อเสนอที่ดี ข้าเห็นด้วย!”

เฟิ่งชิวหรันถึงกับนิ่งงันไป นางมีสีหน้าบูดเบี้ยวเมื่อได้ยินโยวหรันพูด ดูเหมือนว่านางจะนิ่งนอนใจกับการตัดสินใจเรื่องในวันนี้เกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไปได้ว่าเมี่ยเลี่ยจื่อกับโยวหรันจะวางแผนร่วมกันเพื่อไล่ต้อนนางให้จนมุม

ขณะเดียวกัน ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าใดก็ยิ่งน่าหวั่นใจมากขึ้นเท่ากัน ความสำคัญของทุกอย่างจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อสองในสามของผู้อาวุโสบรรลุฉันทามติกันได้แล้ว ไม่ใช่เพียงการตัดสินใจของโยวหรันฝ่ายเดียว

ความคิดเหล่านี้พลุ่งพล่านอยู่ในใจของเฟิ่งชิวหรัน นางรู้ดีว่าจะต้องหาทางออกในเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วเมื่อใดก็ตามที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเมี่ยเลี่ยจื่อ นางก็จะเสียสิทธิ์ในการตัดสินใจทั้งหมด

ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่อยากเชื่อว่าโยวหรันจะเลือกข้างเอาตอนนี้หลังจากที่วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น แววเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนดวงตาของเฟิ่งชิวหรันอีกครั้ง นางยกมือขวาขึ้นทุบลงบนพนักวางแขนของที่นั่งข้างๆ ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น ก่อนที่เก้าอี้นั้นจะแหลกเป็นชิ้น นางลุกขึ้นยืน ความเจ็บปวดและโทสะฉายชัดอยู่ในแววตา

“เมี่ยเลี่ยจื่อ โยวหรัน วังเต๋าหลักขณะนี้ถูกปิดผนึกอยู่ บรรดาปรมาจารย์หากไม่จำศีลก็หายตัวไป เราทั้งสามมีภาระอันใหญ่หลวงในการสร้างเหล่าศิษย์สำนักในขึ้นมาใหม่ให้สำนักวังเต๋าไพศาล นี่ไม่ใช่เวลาจะมาแตกคอกันเอง!

“เมี่ยเลี่ยจื่อ การที่เจ้าพูดถึงฝ่ายทั้งสามอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ เจ้าต้องการอะไรกันแน่”

“ในสำนักวังเต๋าไพศาลมีเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น มิใช่สาม และมีสำนักวังเต๋าไพศาลเพียงหนึ่งเดียว เมี่ยเลี่ยจื่อ เจ้าพยายามจะตั้งฝ่ายใหม่ขึ้นมาเองหรืออย่างไร” เฟิ่งชิวหรันพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น จิตสังหารที่หาชมได้ยากฉายชัดอยู่ในแววตา โทสะในดวงตานางขับเน้นให้จิตสังหารนั้นดูชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก!

โยวหรันถึงกับตะลึง ก่อนจะจ้องมองเฟิ่งชิวหรันอย่างนิ่งเงียบ เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าเฟิ่งชิวหรันจะหยิบเรื่องที่เขาพูดถึงฝ่ายทั้งสามมาพลิกให้ฟังดูเป็นเรื่องเลวร้าย เขากำลังจะพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่เฟิ่งชิวหรันไม่เปิดโอกาสให้ นางพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

“ไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งใบเฟิงซิ่นเท่าๆ กันให้กับทั้งสามฝ่าย พวกเราทุกคนเป็นสมาชิกสำนักวังเต๋าไพศาลเท่าเทียมกัน พวกเราจะเลือกผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั้งสิ้นสองร้อยคน รวมทั้งหมดเป็นหกร้อยคน และให้ทุกคนเข้าร่วมประลองเพื่อชิงใบเฟิงซิ่น ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีใครเสียชีวิตในสำนักวังเต๋าไพศาล ดังนั้นการทดสอบนี้จะจัดขึ้นในวงแหวนปราณแห่งความเป็นไปได้ไร้สิ้นสุด!”

“ศิษย์สำนักเต๋าโยวหรัน ท่านคิดเห็นอย่างไร” ขณะที่เฟิ่งชิวหรันพูดนางก็หันหน้าไปจ้องมองโยวหรัน

“ข้อนี้…ข้าเห็นด้วย ข้อเสนอของเจ้าทั้งสองสมเหตุสมผล ข้าเห็นด้วยกับทั้งสองข้อ” ศิษย์สำนักเต๋าโยวหรันหัวเราะแหยๆ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย เขาพยายามจะพูดให้เฟิ่งชิวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อใจเย็นลง

ฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของเฟิ่งชิวหรัน เขารู้ว่าได้ทำพลาดลงไปแล้วในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาไม่ต้องการจะถูกมองว่าเป็นคนแบ่งแยกที่อยากแยกตัวไปทำอะไรด้วยตัวคนเดียว หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เมี่ยเลี่ยจื่อก็แค่นลมหายใจออกมาทางจมูกแต่ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งเป็นท่าทีว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอของเฟิ่งชิวหรัน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset