หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 538 สหพันธรัฐตกตะลึง

บทที่ 538 สหพันธรัฐตกตะลึง

หวังเป่าเล่อภูมิใจในตนเองมาก ถึงกับพูดว่า ‘ต้วนมู่น้อย’ ออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะสื่อในความหมายใด เขาคิดว่าตนจะต้องได้เลื่อนขั้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐอย่างแน่นอน จึงคิดว่าคงไม่ผิดอะไรที่จะเรียกผู้นำสหพันธรัฐว่าต้วนมู่น้อย

ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบก เหล่าศิษย์ที่คุ้มกันวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอยู่อ้าปากค้าง ตาเบิกโพลงเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจ่ายแต้มการรบหนึ่งหมื่นห้าพันแต้มเพื่อส่งกระบวนเวทสิบห้าวิชากลับสหพันธรัฐ!

แต้มการรบหนึ่งหมื่นห้าพันแต้มถือว่าเป็นจำนวนที่มากโขสำหรับเหล่าศิษย์ที่คอยคุ้มกันวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย พวกเขาหายใจถี่รัว ดวงตาเริ่มแดงก่ำ แต่ละคนหาแต้มได้เพียงไม่กี่ร้อยแต้มแลกกับการทำงานหนักตลอดเดือน หักค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนไปก็เหลือแค่นิดเดียวเท่านั้น

ความร่ำรวยของหวังเป่าเล่อทำให้พวกเขาตื่นตกใจ รู้สึกถึงรสชาติความขมขื่นจากความอิจฉาอยู่เต็มปาก

“ก็แค่รวย!”

“ใช่ แค่มีเงินมากหน่อย ไม่ได้สำคัญอะไร ข้าได้ยินมาว่าพวกพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับแต้มการรับ ข้าได้ยินเรื่องคนที่ชื่อหลี่อี้มา นางชั่วช้ามาก เห็นว่าไปล่อลวงเจ้าเกาะที่อาศัยอยู่!”

“ข่าวเจ้าเก่าแล้ว ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ไม่ได้จบแค่คนเดียวนะ เห็นว่าล่อไปอย่างน้อยเจ็ดแปดคนเลย!”

เหล่าศิษย์ส่งข้อความเสียงคุยกันเพื่อระบายความอิจฉา พวกเขามองดูวงแหวนปราณส่องแสงจ้าส่งแผ่นหยกสิบห้าแผ่นหายไปในพริบตา

ไกลจากสำนักวังเต๋าไพศาลออกไป ภายในระบบสุริยะที่มีกระบี่สำริดเขียวโบราณอยู่ หลี่ซิงเหวินนั่งขัดสมาธิคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ วงแหวนปราณดาวพุธ เขาลืมตาขึ้นพร้อมภาพมายาของต้วนมู่ฉีที่พลันปรากฏขึ้นข้างๆ

พวกเขาเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาพวกเขาได้รับกระบวนเวทจากเหล่าพันธุ์กล้าเรื่อยๆ จนเริ่มคุ้นชิน ทั้งสองตื่นเต้นเมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณจากในวงแหวนปราณ

“รอบนี้จะส่งมากี่วิชากันนะ”

“จะว่าไปหลี่อี้ก็ทำได้ดีนะ นางส่งเคล็ดวิชากลับมาห้าวิชาแล้ว ถือเป็นคนที่มีผลงานดีที่สุดในกลุ่มพันธุ์กล้ารุ่นนี้เลย!” ต้วนมู่ฉีหัวเราะเสียงดังขณะมองไปทางหลี่ซิงเหวิน

หลี่ซิงเหวินแค่นเสียงทางจมูก ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ครึ่งปีมานี้ หวังเป่าเล่อยังไม่ได้ส่งเคล็ดวิชากลับมาเลย ส่วนหลี่อี้นั้นคอยส่งกลับมาเป็นประจำทุกเดือน ความแตกต่างนั้นเทียบกันแทบจะไม่ติด แม้จะอยากหนุนหลังหวังเป่าเล่อสักเท่าใดก็ทำอะไรไม่ได้

เจ้าเด็กนั่นมัวทำอะไรอยู่นะ! หลี่ซิงเหวินขมวดคิ้ว แม้หลี่อี้จะเป็นคนของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าและถือว่าช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าในสหพันธรัฐได้ไม่น้อย แต่นางก็เป็นศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาว ไม่ใช่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทำให้หลี่ซิงเหวินที่คอยสนับสนุนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หลังลงจากตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าใด

แต่ถึงจะไม่พอใจ เขาก็ยังยอมรับผลงานของหลี่อี้อยู่ดี กระบวนเวทที่นางส่งกลับมานั้นส่งผลต่ออารยธรรมการฝึกตนของสหพันธรัฐมากทีเดียว

“ดูจากเวลาแล้ว น่าจะมาจากหลี่อี้” ต้วนมู่ฉียิ้มบาง รู้สึกสนุกสนานที่ได้เห็นสีหน้าหม่นหมองของหลี่ซิงเหวิน แม้ตอนนี้เขาจะเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แต่ก็เป็นศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาว จึงให้การยอมรับผลงานอันยอดเยี่ยมของศิษย์จากสำนักศึกษาเดียวกันเป็นพิเศษ

หลังจากพูดจบ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ส่องแสงขึ้นอีกครั้ง แผ่นหยกแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในวงแหวนปราณ นัยน์ตาต้วนมู่ฉีฉายแววภาคภูมิใจ กำลังจะเอ่ยพูด แต่แล้วแผ่นหยกแผ่นที่สองก็ปรากฏขึ้น

“หืม รอบนี้หลี่อี้ทำได้ดี ส่งมาตั้งสอง…” ต้วนมู่ฉีแสนสุขใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดจนจบประโยค แผ่นหยกแผ่นที่สาม สี่ ห้า ก็ปรากฏขึ้น!

ภาพเบื้องหน้าทำให้ต้วนมู่ฉีที่เคร่งขรึมอยู่เสมอผงะไป ก่อนจะหัวเราะขึ้นเสียงดัง

“เหมือนว่าพวกนั้นจะส่งเคล็ดวิชารวมกันมาทีเดียว พวกเขายังเด็กอยู่มากจริงๆ ไม่รู้หรือว่าทำเช่นนี้จะเรียกความสนใจจากคนอื่นได้มากมายเพียงใด” ต้วนมู่ฉีส่ายหัว ดวงตาของหลี่ซิงเหวินส่องประกาย เขาเห็นต่างออกไปเพราะสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณยังไม่จางหายไปแต่กลับแกร่งกล้าขึ้นกว่าเดิม จึงเอ่ยปากพูด

“ยังไม่หมด!”

ทันทีที่เขาพูดจบ แผ่นหยกแผ่นที่หก เจ็ด แปดก็ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง…พอนับครบสิบห้าแผ่น แสงจากวงแหวนปราณก็ส่องสว่างเต็มขั้น ก่อนที่ภาพแผ่นหยกทั้งสิบห้าแผ่นจะแปรเปลี่ยนเป็นของจริง!

รวมทั้งหมดแล้วมีแผ่นหยกสิบห้าแผ่น ทั้งสิบห้าแผ่นลอยอยู่เหนือวงแหวนปราณ แต่ละแผ่นมีพลังเฉพาะตัวแผ่ออกมา ภาพเบื้องหน้าทำให้ต้วนมู่ฉีหายใจถี่รัว หลี่ซิงเหวินเองก็ถึงกับส่งเสียงตื่นตะลึง

ความจริงแล้ว…หากทั้งคู่นับแผ่นหยกทั้งหมดที่ได้รับจากพันธุ์กล้าตลอดหกเดือนที่ผ่านมา ก็จะได้ทั้งหมดสิบห้าแผ่น แต่บัดนี้พวกเขากลับได้รับแผ่นหยกสิบห้าแผ่นในครั้งเดียว ทำให้คนทั้งคู่ทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่แค่ทั้งสองคนที่ตื่นตกใจ ผู้ฝึกตนที่คุ้มกันพื้นที่รอบๆ ต่างแตกตื่นไม่แพ้กัน

ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินตรงไปเก็บแผ่นหยกมาตรวจดูพร้อมๆ กัน ทั้งสองหายใจถี่รัว หันมองหน้ากันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

“ทั้งหมดที่ข้ามีมาจากหวังเป่าเล่อ…” ต้วนมู่ฉีพูดเสียงแผ่วพร้อมหันไปจ้องแผ่นหยกในมือหลี่ซิงเหวิน

“ของข้า…ก็มาจากหวังเป่าเล่อทั้งหมดเหมือนกัน…” หลี่ซิงเหวินกระแอมกระไอ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย

ต้วนมู่ฉีเคยคิดว่าอาจเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ก็ยังตกใจอยู่ดีเมื่อได้ยินที่หลี่ซิงเหวินพูด เขาทราบสถานการณ์บนสำนักวังเต๋าไพศาลมาจากโมเกาจื่อ จึงรู้ว่าการส่งเคล็ดวิชากลับมาทีเดียวสิบห้าวิชาต้องแลกมากับอะไรบ้าง ทว่าหลังจากตื่นตกใจไปสักพัก ความสุขใจก็เอ่อล้นขึ้นมาในใจ

“ด้วยเคล็ดวิชาสิบห้าวิชานี้ อารยธรรมการฝึกตนของสหพันธรัฐจะก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น!” ต้วนมู่ฉีถือแผ่นหยกไว้ในมือพร้อมหัวเราะขึ้นเสียงดัง แววตาของหลี่ซิงเหวินเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน คิดขึ้นว่าที่ดูแลหวังเป่าเล่อไปไม่เสียเปล่าเลย เด็กหนุ่มทำให้เขาภูมิใจได้จริงๆ พอคิดเช่นนั้น หลี่ซิงเหวินก็หันไปจ้องต้วนมู่ฉีพร้อมหัวเราะขึ้น

“ต้วนมู่ เจ้าอาจจะต้องสละตำแหน่งตอนที่หวังเป่าเล่อกลับมาแล้ว”

พูทันทีที่ได้ยิน ต้วนมู่ฉีก็หยุดหัวเราะไป เขาไม่ได้เสียใจที่จะต้องสละตำแหน่ง แต่พอคิดว่าเจ้าเด็กอ้วนหวังเป่าเล่อจะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าใด หลังจากคำนวณดูสักพัก ก็คิดว่าเจ้าอ้วนคงจะต้องส่งเคล็ดวิชากลับมาอย่างน้อยสามสิบวิชาถึงจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐได้ ถึงกระนั้นเขาก็มีข้ออ้างเตรียมไว้แล้ว นั่นคือหวังเป่าเล่อนั้นเด็กเกินกว่าจะขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐได้

พอคิดเช่นนั้น ต้วนมู่ฉีก็รู้สึกโล่งอก ก่อนจะหัวเราะขึ้นอย่างหยิ่งผยอง

“หวังเป่าเล่อต้องขยันมากกว่านี้ถ้าเขาอยากขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แต่ข้าจะเฝ้ารอคอยวันที่เขาทำได้จริง!” สิ้นประโยค ต้วนมู่ฉีก็ออกคำสั่งให้ประกาศเรื่องนี้ให้ทั้งสหพันธรัฐได้รับทราบ ชื่อหลี่อี้บนอันดับพันธุ์กล้าที่ประกาศให้ประชากรทั่วสหพันธรัฐได้เห็นร่วงลงไปอยู่อันดับสองทันใด โดนหวังเป่าเล่อแซงขึ้นมาแทนที่อีกครั้ง!

ยังไม่จบแค่นั้น ตัวเลขด้านหลังชื่อหวังเป่าเล่อเปลี่ยนจากสามไปเป็นสิบแปด ผู้คนทั่วสหพันธรัฐตกใจเกินจะบรรยาย เสียงตื่นตะลึงและเสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วสหพันธรัฐ

มีการเปิดให้ผู้คนได้ฝึกเคล็ดวิชาที่พันธุ์กล้าส่งกลับมาในทันที การทำเช่นนี้จะช่วยเร่งการพัฒนาอารยธรรมการฝึกตนในสหพันธรัฐได้เป็นอย่างดี

แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้ยินเสียงโห่ร้องจากผู้คนมากมาย แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความตั้งมั่นในการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐของเขาได้ หลังจากพิจารณาลักษณะนิสัยของต้วนมู่น้อย เขาก็คิดว่าแค่นี้คงยังไม่เพียงพอจะทำให้อีกฝ่ายยอมสละตำแหน่งได้…

สามสิบวิชายังไม่แน่ว่าเขาจะยอม ข้าต้องตั้งเป้าให้สูงเข้าไว้ จะส่งไปสักห้าสิบวิชาให้ตกใจกันหมด มารอดูกันว่าต้วนมู่จะยอมสละตำแหน่งไหม ไม่สิ เขาต้องยอมออกจากตำแหน่งให้คนที่ดีกว่าแน่นอน คิดดังนั้นหวังเป่าเล่อก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะกลับออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ผู้ฝึกตนในชุดสีดำเจ็ดถึงแปดคนก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมรังสีสังหารรุนแรง ดูแล้วไม่น่าจะใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป พวกเขารีบพุ่งออกจากตำหนักหลักบนยอดเขามาล้อมชายหนุ่มไว้ในทันที กลุ่มผู้ฝึกตนปลดปล่อยพลังปราณเตรียมพร้อมต่อสู้

ผู้นำของกลุ่มผู้ฝึกตนนี้คือชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ เขาหันมองหวังเป่าเล่อพร้อมเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“หวังเป่าเล่อ เจ้าเดือดร้อนแล้ว ตามพวกข้ามา!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset