ในโลกที่มืดสนิทนี้ ความเงียบสงัดทรงพลังยิ่งกว่าสิ่งใด โลกนี้ไม่มีสรรพเสียง ไม่มีแสงสว่าง หวังเป่าเล่อและสหายจมดิ่งอยู่ในความมืดมิด มีเพียงโลกภายในจิตใจของตนเท่านั้นที่ส่องแสงสว่างไสว!
เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาตื่นขึ้น นางไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าตนเองไม่มีร่างกายอีกต่อไป ดวงจิตของนางลอยละล่องอยู่บนอวกาศทะเลเพลิงกว้างใหญ่ไพศาล
เพลิงที่อยู่ในอวกาศนั้นไม่เหมือนสิ่งใด ทะเลเพลิงครอบคลุมไปทั่วบริเวณจนไร้ขอบเขต เผาไหม้โชติช่วง จนทำให้จักรวาลเริ่มทลายลง
เจ้าเยี่ยเหมิงล่องลอยอยู่ในอากาศ จ้องดูความล่มสลายนั้นเป็นเวลานานเท่าใดไม่อาจทราบได้ ในที่สุดนางก็เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งตั้งอยู่ในส่วนลึกของทะเลเพลิง!
ต้นไม้นั้นใหญ่มหึมากว่าดาวเคราะห์เสียอีก!
หญิงสาวที่มีอุปนิสัยเยือกเย็นกลับตกใจเป็นอันมากเมื่อเห็นต้นไม้ยักษ์นั้น พื้นผิวของต้นไม้ยักษ์เต็มไปด้วยใบหน้ามากมายที่อัดแน่น มีทั้งใบหน้าของคน อสูร และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ที่หาได้ยากยิ่งหลายล้านใบหน้า จำนวนใบหน้าบนต้นไม้ยักษ์มากมายเกินกว่าจินตนาการ และทุกใบหน้ากำลังพึมพำบางสิ่งอย่างแผ่วเบา
ทุกครั้งที่ใบหน้าเหล่านั้นพูดพึมพำ ลำแสงจะพวยพุ่งออกจากภายในต้นไม้ด้วยความเร็ว หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับใบหน้าเหล่านั้น แสงนั้นทำให้ใบหน้าสว่างไสวและยังให้ความรู้สึกลึกลับไปในคราวเดียวกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเห็นว่านอกจากต้นไม้ยักษ์และใบหน้าแล้ว ยังมีเส้นแสงที่ยาวไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งร้อยเรียงแต่ละใบหน้าเข้าด้วยกันอยู่ด้วย…
ภาพนี้ทำให้หญิงสาวลืมว่าจะต้องออกไปจากที่แห่งนี้ นางยืน มองต้นไม้ยักษ์เบื้องหน้าอยู่อย่างนั้น กระทั่งเสียงสงบเปี่ยมอำนาจจากต้นไม้ยักษ์ดังขึ้นในจิตใจของนาง
“ผู้สืบทอดคนใหม่ การที่เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าเป็นผู้ที่คู่ควร ดังนั้นข้าจะทำตามพันธะสัญญาที่ได้ตกลงกับผู้อาวุโสในสำนักของเจ้า และรับเจ้าเป็นศิษย์เอกของข้า เอาละ… เจ้าจะน้อมรับวิชาสืบทอดของข้า และปวารณาตนเป็นหนึ่งในศิษย์เอกหนึ่งร้อยคนของข้า เหนือศิษย์อื่นๆ อีกหลายล้านล้านคนหรือไม่”
จิตของเจ้าเยี่ยเหมิงสั่นสะเทือน นางก้มตัวลงคารวะต้นไม้ยักษ์ในอวกาศไพศาลนั้นด้วยท่วงท่าเหมือนได้รับพร
“ศิษย์คนนี้ขอน้อมรับวิชาสืบทอดของท่านเจ้าค่ะ!”
สิ้นเสียงของเจ้าเยี่ยเหมิง ลำแสงก็สว่างวาบออกจากต้นไม้ยักษ์ พุ่งเข้าหลอมรวมกับหว่างคิ้วของนาง เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่นเทา นางหลับตาพริ้ม ใบหน้าสะสวยของนางปรากฏขึ้นท่ามกลางใบหน้าที่อยู่บนต้นไม้ยักษ์ แต่อยู่เหนือผู้อื่น เป็นการบ่งบอกว่าฐานะของนางเหนือกว่าศิษย์อื่นๆ ในที่นี้!
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาขึ้นมองไปที่จักรวาลเบื้องหน้า ก่อนเอื้อนเอ่ย
“ท่านอาจารย์ ข้าขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้หรือไม่…”
“บางคนก็เรียกข้าว่า… นภาพินาศ!”
“นภาพินาศ…” นามนั้นมีพลังอำนาจลึกลับบางอย่างที่ทำให้ทั้งจักรวาลสั่นสะเทือน ทะเลเพลิงปะทุ และห้วงอวกาศมอดไหม้ ขณะเดียวกัน นามนั้นก็ประทับล้ำลึกลงไปในใจของเจ้าเยี่ยเหมิง
ในเวลาเดียวกันนั้น โลกภายในใจของจั่วอี้ฟานกลับแตกต่างจากโลกของสตรีผู้เป็นสหายเป็นอย่างมาก เบื้องหน้าของเขาไม่ใช่ทะเลเพลิง แต่เป็นสุสานอาวุธ!
สุสานทหารกว้างสุดลูกหูลูกตา เต็มไปด้วยอาวุธมากมายกระจัดกระจายอยู่บนพื้นดิน อาวุธเหล่านั้นรวมเอาวัตถุเวทจากทั้งจักรวาลมาไว้ในที่เดียวกัน มีอยู่มากมายหลายชนิดที่จั่วอี้ฟานไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนี้ยังมีอาวุธอีกนับไม่ถ้วนที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า แม้แต่ผืนฟ้าเองยังสร้างมาจากกลองที่ใช้ในการสวนสนาม!
จั่วอี้ฟานล่องลอยไปข้างหน้า มองไปยังอาวุธนับแสนนับล้านรอบกาย เขาไม่ได้เจาะจงมองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เหาะไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมเสียงกระซิบดังก้องไม่หยุดอยู่ในหู เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ จั่วอี้ฟานลอยมาไกลเพียงใดตัวเขาเองก็ไม่รู้ แต่ชายหนุ่มก็หยุดกะทันหันอยู่ตรงหน้าภูเขากระบี่ขนาดมหึมา!
บนยอดเขากระบี่นั้นมีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ นางนั่งถ่างขาด้วยท่วงท่าเหมือนชายชาตรี มือหนึ่งเท้าคาง สายตาคมกริบน่ากลัว จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของจั่วอี้ฟานด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
“หากเป็นเมื่อก่อนละก็ ข้าคงไม่แม้แต่จะปรายตามองนักรบที่ไม่ได้มาจากชาติกำเนิดอย่างเจ้า ในเมื่อข้าสามารถเลือกนักรบจากสายเลือดโดยแท้ได้มากมาย แต่ตอนนี้… ช่างมันปะไร นักรบที่อ่อนแอก็ยังถือว่าเป็นนักรบ เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย ข้าอาจสิ้นชีพไปแล้ว แต่ยังมีคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับสำนักของเจ้าก่อนสิ้นลมหายใจ ข้าคงไม่มีวันสงบลงได้ หากไม่ทำตามสัญญาให้สำเร็จลุล่วง ข้าขอรับเจ้าเป็นศิษย์ของข้า เพื่อทำให้ความตั้งใจนั้นเป็นจริง หากเจ้าปฏิเสธ ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
“คารวะท่านอาจารย์ขอรับ!” หลังจากที่ตกใจอยู่ชั่วขณะ จั่วอี้ฟานก็ทำความเคารพนางอย่างไม่ลังเล
สำหรับจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแปลกประหลาดนัก ความจริงแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดนี้คือการถ่ายทอดวิชาในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร โดยภาพฉายที่หลงเหลืออยู่ของผู้ฝึกตนชั้นสูงมากมายหลายชั่วอายุคนในวัฏสงสาร อำนาจของภาพฉายจะเข้าครอบงำโลกในจิตใจของศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชา
โลกภายในใจคือจิตใต้สำนึกของศิษย์เหล่านี้
กรณีของเจ้าเยี่ยเหมิง โลกในใจของนางคือทะเลเพลิง ไม่ใช่ว่านางเป็นคนมุทะลุดุดัน แต่เบื้องหลังใบหน้าที่แสนสงบนิ่งนั้น นางเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง มุ่งมั่น และไม่ยอมจำนนต่อสิ่งใดง่ายๆ และเอาเข้าจริงแล้ว จิตใต้สำนึกของนางก็บอกใบ้เป็นนัยๆ ถึงความรุนแรงที่นางมีด้วย!
พูดให้ถูกก็คือ เจ้าเยี่ยเหมิงเป็นสตรีที่ไม่ควรไปยั่วยุให้โกรธ เพราะนางจะหาทางเอาคืน และจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีไปกับการทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ไม่ต่างจากไฟประลัยกัลป์ที่พร้อมผลาญทุกอย่างให้กลายเป็นจุณ!
ส่วนโลกในใจของจั่วอี้ฟานนั้นคือสุสานอาวุธ สะท้อนให้เห็นว่าในใจของเขาเต็มไปด้วยการมองโลกในแง่ร้าย กายของเขาเป็นนักรบ ส่วนสุสานนี้ก็คือหลุมฝังศพของเขา
โลกภายในใจของศิษย์แต่ละคนจะดึงดูดภาพฉายที่แตกต่างกันออกไป ทว่านั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักวังเต๋าไพศาลเมื่อครั้งอดีต สมัยที่สำนักวังเต๋าไพศาลยังรุ่งเรือง มีผู้คนมากมายต่อสู้แย่งชิงวิชาที่ตนอยากได้ แม้จะมีทั้งผู้ที่ล้มเหลวและผู้ที่สิ้นชีพ แต่ก็ยังมีผู้ต้องการลองเสี่ยงดวงเพื่อรับวิชาจากผู้ถ่ายทอดอยู่ดี แต่บัดนี้ผู้ถ่ายทอดกลับมีมากกว่าผู้รับ การต่อสู้แย่งชิงเคล็ดวิชาจึงกลายเป็นอดีตไป
สิ่งที่ทั้งสามกำลังพบเจออยู่นี้ คือประเพณีการสืบทอดวิชาของสำนักวังเต๋าไพศาล ซึ่งถือเป็นโอกาสงามของหวังเป่าเล่อและสหาย แต่ด้วยความที่พวกเขาเป็นฝ่ายถูกเลือก จึงไม่มีสิทธิ์ค้นหาวิชาที่ตนอยากเรียนรู้อย่างแท้จริง
ร่างขัดสมาธิเหล่านั้นล้วนเป็นภาพฉายของผู้ฝึกตนชั้นสูงเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นศิษย์ของสำนักวังเต๋าไพศาลที่เสียชีวิตลงจากการประลองกับเจ้าของวิชา และถูกบังคับให้คงอยู่โดยไม่สมัครใจ กระนั้นวิญญาณของศิษย์หลายคนก็มีวิชาเยี่ยมยอดอยู่กับตัว จึงทำให้กระบวนเวทหัตถ์สื่อวิญญาณจับร่างพวกเขาไม่ได้นั่นเอง
หวังเป่าเล่อเองก็กำลังอยู่ระหว่างการรับสืบทอดวิชาเช่นกัน แต่โลกในใจของเขานั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน…
โลกในจิตใจของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยสีสันของโลกหลายใบที่เชื่อมเข้าด้วยกัน!
ในตอนแรกที่ชายหนุ่มตื่นขึ้นนั้น เขาเห็นโลกที่เต็มไปด้วยคนอ้วน โลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยทั้งชายและหญิงรูปร่างอ้วน ที่ล้วนตัวใหญ่กว่าหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาดูเป็นคนที่ผอมและหล่อเหลาที่สุดในหมู่คนอ้วนทั้งหมด
นี่สวรรค์หรือกระไร หวังเป่าเล่อใจสั่นเมื่อมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวเสร็จเรียบร้อย เขานิ่งอึ้งเหมือนต้องมนต์อยู่สักพัก ก่อนจะลอยไปข้างหน้า โลกใบนี้คือสวรรค์ในจินตนาการของหวังเป่าเล่ออย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เวลาผ่านไปนานแสนนาน กว่าหวังเป่าเล่อจะเดินทางมาถึงชายแดนของโลกใบแรกนี้ เขาเห็นโลกอีกใบที่มีห้วงอวกาศและดาวเคราะห์ที่คุ้นเคย รวมถึง… เรือเดียวดาย ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียงด้วย!
มันคือสำนักแห่งความมืดในความทรงจำของเขา!
พลังรุนแรงจนน่ากลัวกระจายออกจากดาวแต่ละดวงในห้วงจักรวาลนี้ โดยเฉพาะดาวดวงหลักของสำนักแห่งความมืด พลังที่แผ่ออกจากดาวดวงนั้นรุนแรงมาก จนหวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังของผู้เป็นอาจารย์!
ชายหนุ่มลอยละล่องด้วยความเร็วสูง หัวใจเต้นระรัว แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็เข้าไปใกล้ดาวดวงนั้นไม่ได้เสียที ราวกับระยะทางระหว่างเขาและอวกาศที่มีสำนักแห่งความมืดตั้งอยู่นั้ ยืดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลังจากพยายามอยู่นานแสนนาน ชายหนุ่มก็ถอนใจแผ่ว ก่อนเปลี่ยนทิศไปโลกที่สามแทน ทิ้งสำนักแห่งความมืดไว้เบื้องหลัง
โลกที่สามนั้นเงียบงัน มีเพียงม้วนกระดาษขนาดยักษ์ที่แผ่ออกกินพื้นที่กว้างเท่านั้น ภาพของทารกหญิงคนหนึ่งวาดอยู่บนหน้ากระดาษ หน้าตาของเด็กน้อยช่างแสนน่ารักน่าชังและดูแสบสันพิเรนทร์นัก นางอ้าวงแขนออกกว้างราวกับร้องขออ้อมกอดจากชายผู้เป็นบิดาที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายผู้นั้นมีผมสีขาวโพลน
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นทารกหญิงตัวน้อย ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวเขาคือแม่นางน้อย ส่วนชายเสื้อขาวผมขาวข้างๆ นั้น หวังเป่าเล่อมองเพียงปราดเดียว สติสัมปชัญญะก็กระเจิดกระเจิงไม่เป็นท่า เสียงบทสวดแห่งเต๋าดังหึ่งอยู่ในหู
ชายหนุ่มประหลาดใจเป็นอันมาก เขารีบเหาะหนีไปจนมาถึงโลกที่สี่ในที่สุด โลกใบนี้คล้ายโลกใบที่สามมาก เพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น โลกนี้ช่างเงียบงัน มีเพียงรูปปั้นที่มีสามศีรษะหกแขนตั้งอยู่ พลังน่ากลัวแผ่ออกจากรูปปั้นนั้น นอกจากนี้ยังมียุงสีน้ำเงินตัวหนึ่งจ้องหน้าหวังเป่าเล่ออยู่ สายตาเต็มไปด้วยโทสะ
ตระกูลไม่รู้สิ้นหรือ หวังเป่าเล่อผงะ ก่อนรีบขยับตัวหนีออกไปโดยสัญชาติญาณ ไม่นานนักเขาก็มาถึงโลกที่ห้า
โลกใบนั้นมีหัวใจดวงใหญ่ตั้งอยู่!
หัวใจดวงนั้นหยุดเต้นไปนานแล้ว แต่ก็ไร้ซึ่งสัญญาณแห่งความตาย หัวใจยักษ์ดวงนี้ปล่อยพลังดูดที่สั่นสะเทือนได้ทั้งสวรรค์และโลกาออกมา!
นี่มัน… เมล็ดดูดกลืนหรือนี่