ด้วยแผนการที่เฟิ่งชิวหรันวางไว้ให้ เหล่าพันธุ์กล้ายังไม่ทันได้มีเวลาพูดคุยกัน ก็ต้องตามผู้ใต้บังคับบัญชาของนางไปเสียก่อน ทุกคนได้รับชุดคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาล รวมถึงข้อมูลและแผนที่ของสำนัก พวกเขาถูกพาตัวไปทีละคน จนเหลือเพียงหวังเป่าเล่อที่ยังอยู่ในตำหนักวังเต๋าไพศาลบนยอดเขา ดูเหมือนเฟิ่งชิวหรันจะเตรียมการอย่างอื่นไว้ให้เขา จึงไม่ได้ส่งหวังเป่าเล่อไปประจำการที่ใดในทันทีเหมือนคนอื่น แต่กลับให้ศิษย์ในอาณัตินำหวังเป่าเล่อไปที่ห้องพักภายในตำหนักแทน
สำนักวังเต๋าไพศาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาลสมชื่อ และเต็มไปด้วยห้องหับมากมาย แต่ห้องส่วนมากไม่มีเจ้าของ เนื่องจากศิษย์ที่กลับจากการปฏิบัติภารกิจที่เกาะรอบนอก จะพักในห้องเหล่านี้เพียงไม่กี่วัน ก่อนออกไปประจำการต่อ
ดังนั้นทุกสิ่งจึงเงียบสงัด ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินตามคนของสำนักไปยังบริเวณห้องพัก มีศิษย์เดินไปเดินมาให้เห็นอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ที่เดินนำเขาไปที่พัก หรือคนอื่นๆ ที่เขาพบเจอในบริเวณห้องพักของตำหนัก ทุกคนต่างมองเขาผู้เป็นผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐด้วยความรังเกียจ แม้จะไม่แสดงออกให้เห็นทางสีหน้าก็ตาม หากเทียบกับศิษย์เหล่านี้ที่ใช้ชีวิตเหมือนไข่ในหินอยู่แต่เพียงในโลกกระบี่สำริดเขียวโบราณ ประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อแซงหน้าพวกเขาไปมาก จนอาจเรียกได้ว่าชายหนุ่มเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็ไม่ผิดนัก
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงสัมผัสถึงความจงเกลียดจงชังในใจพวกเขาได้อย่างชัดเจน
ไอ้พวกไร้น้ำยาพวกนี้ หากสู้กันจริงข้าคงฆ่าพวกมันตายได้สิบคนชนิดที่ไม่ต้องกระดิกนิ้ว! หวังเป่าเล่อเย้ยอยู่ในใจ และไม่ได้สนใจปลาซิวปลาสร้อยเหล่านี้อีกต่อไป หลังจากที่ไปถึงห้องพัก ชายหนุ่มก็หยิบแผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐออกมา เพื่อติดต่อจั่วอี้ฟานและคนอื่นๆ ในทันที
แผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณนี้ยอดเยี่ยมเหมือนที่ต้วนมู่ฉีกล่าวไว้ แผ่นหยกนี้ทำให้พวกเขาติดต่อกันได้บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ และมีสองระบบการใช้งานด้วยกัน ระบบแรกทำงานเหมือนระบบโทรสื่อสารที่ใช้กันในสหพันธรัฐ ส่วนอีกระบบคือการสร้างห้องสนทนากลุ่มที่มีทุกคนอยู่ในนั้น เมื่อหวังเป่าเล่อเปิดแผ่นหยกขึ้น หลายคนก็กำลังคุยกันอยู่ในห้องรวมนั้นแล้ว
พันธุ์กล้าหลายคนเดินทางถึงที่หมายเรียบร้อย และกำลังพูดถึงเกาะที่ตนเองถูกส่งไปประจำอยู่ ส่วนหลายคนก็กำลังเดินทางเนื่องจากเกาะอยู่ไกลกว่าเพื่อน ส่วนใหญ่รู้สึกประหม่ากระวนกระวายในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย จึงทำให้ห้องรวมนั้นเต็มไปด้วยข้อความมากมายที่ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่หาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนเวทไพศาล และกำลังแบ่งปันข้อมูลให้คนอื่นๆ ทราบด้วยความประหลาดใจ ไม่นานนักหลายคนก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนเวทไพศาลเช่นกัน จนหัวข้อนี้กลายมาเป็นหัวข้อหลักของการสนทนา
เมื่อเห็นทุกคนคุยเรื่องกระบวนเวทใหม่ที่ได้รับมา หวังเป่าเล่อก็เริ่มกระวนกระวายใจ
ทุกคนมีกระบวนเวทไว้ในครอบครองแล้ว หากใครรีบส่งกลับไปก่อน ข้าจะไม่ตามหลังเขาหรอกหรือนี่
แต่การจะส่งกลับไปได้ก็ต้องใช้แต้มการรบถึงหนึ่งพันแต้ม แถมตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าไอ้แต้มนี่มันหายากหรือหาง่ายขนาดไหน… คงไม่ง่ายหรอกกระมัง… ชายหนุ่มรู้สึกมั่นใจขึ้นเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาวางแผนว่าจะไปที่หอตำรากระบวนเวทไพศาล เพื่อหากระบวนเวทที่เหมาะกับตน
แต่ก่อนจะไปเขามีเรื่องสำคัญกว่าให้ตอนทำ หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกด้วยความมุ่งมั่น และหลังจากที่คิดกลับไปกลับมาด้วยความลังเลใจอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็หยิบแผ่นหยกในมือขึ้นมาโทรหาเจ้าเยี่ยเหมิง
“เยี่ยเหมิง ได้ยินข้าหรือไม่”
“มีธุระอันใด!” ไม่นานนัก เสียงราบเรียบของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ตอบกลับมา
“ฮ่าๆ วันนี้อากาศดีนะเจ้าว่าไหม แล้ว… มารดาของเจ้าคือท่านเจ้านครดาวอังคารเช่นนั้นหรือ” แม้หวังเป่าเล่อจะเคยถามไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ยังตกใจกับข้อมูลใหม่นี้อยู่มาก จนต้องถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“แล้วจะทำไมเล่า เจ้ามีปัญหาเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงราบเรียบของเจ้าเยี่ยเหมิงเจือความเฉียบขาดอยู่
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ใคร่เป็นมิตรจากปลายสาย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกทันทีว่าปัญหากำลังจะมาเยือน ความจริงแล้วตอนอยู่บนดาวพุธ เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ตอนนี้เมื่อได้รู้ประวัติของเจ้าเยี่ยเหมิง เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด ดังนั้นชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าอีกครั้ง และตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน
“เยี่ยเหมิง ข้าขอขอบคุณเจ้าจริงๆ นะ สำหรับเวลาหลายปีที่ข้าอาศัยอยู่บนดาวอังคาร…”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงียบไปชั่วครู่ ดูเหมือนนางจะใจเย็นลงแล้ว แต่สิ่งที่นางพูดต่อไปกลับทำให้หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นผิดจังหวะ
“นอกจากข้าแล้ว เจ้าก็ต้องขอบคุณหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยมิใช่หรือ” แล้วเจ้าเยี่ยเหมิงก็ตัดสายไป
“หา?” หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง ก่อนจะตบหน้าผากตัวเองดังลั่นหลังจากผ่านไปพักใหญ่ และถอนหายใจออกมา ตอนที่รู้ว่าเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นบุตรสาวของเจ้านครดาวอังคาร เขาก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าความสัมพันธ์ของเขากับหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ควรจะเป็นความลับนั้น คงไม่เล็ดรอดการรู้เห็นของเจ้านครไปได้
ดูเหมือนว่าเจ้าเยี่ยเหมิงก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
แต่ว่า… ข้ากับเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นดั่งพี่น้องกัน หรือว่า… นางจะชอบพอหลี่หว่านเอ๋อร์ หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างขมขื่น ก่อนจะส่ายหน้าและถอนใจอีกครั้ง ไม่นานนักเขาก็นึกถึงจินตั้วหมิง และกัดฟันกรอดในทันทีด้วยแววตาเบิกโพลง
“ไอ้เจ้าจินตั้วหมิง หมอนั่นรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่กลับพยายามหลอกข้าตอนที่อยู่ที่ศูนย์วิจัยด้วยกัน ไอ้เลวนี่ รอก่อนเถิด!” หวังเป่าเล่อพึมพำด่า ก่อนนวดหน้าผากตนเองคลายเครียด เขารู้สึกเหนื่อยกับเรื่องนี้เหลือเกิน จึงตัดสินใจว่าจะไม่คิดต่อ หลังจากทำให้ตนเองใจเย็นลง ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าท้องฟ้ายังสว่างอยู่ จึงเปลี่ยนชุดคลุมแบบเต๋าไปเป็นชุดคลุมโบราณของสำนักวังเต๋าไพศาล และออกไปเดินเล่นข้างนอกพร้อมมุ่งหน้าไปยังหอตำรากระบวนเวทไพศาล โดยถือแผนที่สำนักไว้ในมือ
หอตำรากระบวนเวทไพศาลตั้งอยู่หลังขุนเขา ไม่ไกลจากพื้นที่ต้องห้ามของสำนักวังเต๋าไพศาลนัก ชายหนุ่มเดินลัดเลาะตัดผ่านตรอกซอกซอยแคบๆ ไปตามแผนที่ ลมร้อนระอุพัดเข้าปะทะใบหน้า ไม่นานนักเขาก็มาถึงหอตำราในที่สุด
หอตำราเป็นตึกทรงห้าเหลี่ยม มีทั้งหมดสี่ชั้นด้วยกัน ทุกชั้นมีกระดิ่งแขวนอยู่ภายนอกส่งเสียงดังเสนาะหูเมื่อลมพัดมา เสียงกระดิ่งเหมือนมีพลังวิเศษที่ทำให้หวังเป่าเล่อใจเย็นลงมากเมื่อได้ยิน เมื่อเดินมาถึงหอตำรา เสียงกระดิ่งที่ดังอย่างต่อเนื่องก็ทำให้อารมณ์ของเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
น่าทึ่งเสียจริง หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ ชายหนุ่มเห็นว่าประตูหอตำรานั้นปิดอยู่โดยไม่มีใครเฝ้ายาม เขาจึงก้าวต่อไปข้างหน้าสองสามก้าว ทันใดนั้นพลังจิตสัมผัสวิญญาณก็พวยพุ่งออกมาจากหอตำรา พัดเข้าใส่เขาเหมือนต้องการยืนยันตัวตน ก่อนประตูจะเปิดออกโดยอัตโนมัติ
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อทึ่งเป็นอย่างมาก เมื่อเข้าไปในหอตำราเรียบร้อย ชายหนุ่มก็รีบทำมือคารวะและโค้งคำนับทุกทิศทาง
“ศิษย์หวังเป่าเล่อขอคารวะศิษย์พี่”
แต่รออยู่นานสองนานก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงหรี่ตาลง พลางคิดสงสัยอยู่ในใจว่าหอตำรากระบวนเวทไพศาลนี้ใช่วัตถุเวทหรือไม่ และการตรวจสอบยืนยันตัวตนเมื่อครู่ใช่พลังของวิญญาณวุธหรือเปล่า
ชายหนุ่มเก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะพลิกผ่านแผ่นหยกมากมายบนชั้นหนังสือเบื้องหน้าที่ชั้นแรกของหอตำรา ส่วนใหญ่เป็นกระบวนเวทที่มีคำอธิบายสั้นๆ พร้อมจำนวนแต้มการรบที่ต้องใช้แลกเขียนกำกับอยู่ แผ่นหยกเหล่านั้นส่วนมากมีราคาหนึ่งพันแต้ม แต่ก็มีบางแผ่นที่ราคาสูงกว่านั้น
“เคล็ดเวทผสานปฐมบทแห่งหายนะ!”
“วิชากายาทองคำแห่งเต๋า!”
“เคล็ดเวทมังกรเมฆาหนึ่งลมหายใจ!”
หวังเป่าเล่อพลิกหยิบแผ่นหยกแต่ละแผ่นขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว ยิ่งอ่านก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเขาแล้ว วิชาที่ต้องใช้แต้มหนึ่งพันแต้มส่วนใหญ่เทียบเท่ากับวิชาชั้นสูงที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และนี่เพิ่งชั้นแรกของหอตำราเท่านั้น
หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกอีกครั้งก่อนจะขึ้นไปยังชั้นสอง ที่มีชั้นวางหนังสือซึ่งเรียงรายไปด้วยแผ่นหยกแน่นขนัดเหมือนชั้นแรกไม่มีผิด นอกจากหวังเป่าเล่อแล้วยังมีศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลอีกสามคนที่อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน แต่ละคนกำลังสาละวนอยู่กับการเลือกเคล็ดวิชาให้ตนเอง และทำเพียงแค่ปรายตามองหวังเป่าเล่อไวๆ โดยไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด
กระบวนเวทของชั้นนี้ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นไปอีก เขาสังเกตว่ากระบวนเวทที่ชั้นสองนั้นทรงพลังกว่ากระบวนเวทที่ดีที่สุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มากนัก สิ่งที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มีเป็นเพียงกระบวนเวทที่มีอยู่ทั่วไปเป็นร้อยเป็นพันในที่แห่งนี้เท่านั้น
แล้วยังมีชั้นสามกับชั้นสี่อีกนะนี่… ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะขึ้นไปดูชั้นสาม แต่ทันทีที่เหยียบบันได ก็โดนกำแพงแสงสว่างเรืองรองสกัดไว้เสียก่อน ชายหนุ่มเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะสิทธิ์ของเขายังไม่ถึง หรือไม่ก็ต้องมีปราณสูงถึงระดับหนึ่งก่อนจึงจะขึ้นไปได้
น่าเสียดายจริง ข้าสงสัยนักว่าตนเองจะมีโอกาสได้ขึ้นไปดูข้างบนบ้างไหม ชายหนุ่มส่ายศีรษะก่อนจะตัดสินใจเดินสำรวจชั้นสองต่อไป เขาเริ่มคัดเลือกวิชาที่เหมาะกับตนอย่างจริงจัง โดยอ่านแผ่นหยกทุกแผ่นอย่างละเอียดและคิดวิเคราะห์ให้รอบด้าน ก่อนจะหยิบอีกแผ่นขึ้นมาดู
ไม่นานนักเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง เขาเลือกวิชาที่ตนชอบมาได้สามวิชา แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอาวิชาใด หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกแผ่นใหม่ขึ้นมาอ่านเรื่อยๆ และขณะที่เขากำลังหยิบแผ่นหนึ่งขึ้นมานั้น เสียงของแม่นางน้อยก็ดังก้องอยู่ในหัว
“เหตุใดวิชานี้จึงมาอยู่ที่นี่กัน… เป่าเล่อ เลือกอันนี้เลย!”
หวังเป่าเล่อก้มลงมองวิชาที่ตนเองถืออยู่ในมือ ชื่อกระบวนเวทเด่นหราอยู่บนแผ่นหยกเบื้องหน้าเขา
กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง!