หลี่ซิงเหวินลังเลใจจนไม่อาจตัดสินใจสิ่งใดลงไปได้ หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ชายชราก็สูดลมหายใจและหันไปยกมือคารวะก้มหัวต่ำคำนับกำแพงสีม่วง ก่อนจะพาทุกคนออกมาด้านนอกสุสานใต้ดิน
ทันทีที่ออกมาจากสุสานใต้ดิน หลี่ซิงเหวินก็ออกคำสั่งไม่ให้ใครเข้าไปอีก จากนั้นทั้งตัวเขาและเจ้านครก็จากไปอย่างเร่งรีบ เป็นที่ชัดเจนว่าปัญหาเรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าเขาจะตัดสินและจัดการได้ แม้ว่าชายชราจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังต้องเรียกประชุมและขอความคิดเห็นว่าจะอาศัยอยู่ร่วมกับสุสานใต้ดินนี้ต่อไปได้อย่างไร
แต่ก่อนจะจากไป หลี่ซิงเหวินก็ก้มศีรษะและจ้องมองหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งตอนนี้หน้าซีดเผือดตัวสั่นเทา ดูราวกับว่าตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นเสียเต็มประดา ชายชราหรี่ตาลง ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในใจ เขาจ้องมองอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะถอนสายตาและออกตัวจากไปอย่างรวดเร็วราวสายรุ้งที่ทอดยาว
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ต่างก็ทั้งงุนงงทั้งสงสัยเช่นกัน พวกเขารีบติดต่อกลุ่มอำนาจการเมืองของตนไม่มีใครกล้าอ้อยอิ่งอยู่ในเขตนครพิเศษ ส่วนมากพากันรีบรุดเดินทางกลับไปยังนครหลวงแห่งดาวอังคาร เพื่อไปรอรับคำสั่งจากกลุ่มอำนาจการเมืองและสหพันธรัฐจากที่นั่นแทน!
หวังเป่าเล่อเฝ้ามองดูพวกเขาจากไป ก่อนจะแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตามความเข้าใจของเขาที่มีต่อสหพันธรัฐ ชายหนุ่มคาดการณไว้ว่า…ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผน สหพันธรัฐคงไม่กล้าสร้างปัญหาโดยการหาเรื่องสิ่งมีชีวิตทรงพลัง “เทียนไสว่จื่อ” ที่ไม่ทราบที่มาที่ไปในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เป็นแน่!
มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะยอมผ่อนปรนและรามือจากอาวุธเทพแห่งดาวอังคาร!
ข้า หวังเป่าเล่อ เป็นบุรุษผู้มีเหตุมีผล ข้าได้รับของบางอย่างที่ควรจะเป็นของสหพันธรัฐ…ข้า เทียนไสว่จื่อ จะชดใช้หนี้ให้พวกท่านเป็นเท่าทวีคูณในภายภาคหน้า! หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ชายหนุ่มค่อยๆ ยกมือขึ้นไพล่หลังขณะที่มองดูเรือบินซึ่งกำลังเดินทางออกไปบินขึ้นปกคลุมท้องฟ้า เขายิ่งรู้สึกว่าชื่อเทียนไสว่จื่อนั้นเหมาะกับตนยิ่งนัก
“เทียนไสว่จื่อเช่นนั้นหรือ” หลี่ซิงเหวิน ผู้ซึ่งขณะนี้เดินทางกลับมาถึงนครหลวงดาวอังคารแล้ว ได้เรียกประชุมด่วน โดยมีกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ในสหพันธรัฐเข้าร่วมอย่างพร้อมหน้า ชายชราอธิบายรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นภายในสุสานใต้ดินอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้ปกปิดรายละเอียดใดๆ เอาไว้เลย เพราะอย่างไรเสีย เจ้านครดาวอังคารและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกนับไม่ถ้วนก็อยู่ที่นั่นและได้เห็นสถานการณ์นั้นด้วยตาตนเอง เมื่อหลี่ซิงเหวินเอ่ยชื่อเทียนไสว่จื่อขึ้นมา ทุกๆ คนในที่ประชุมก็นิ่งเงียบไปทันที
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก กระทั่งต้วนมู่ฉีก็ยังต้องผละออกจากการถือสันโดษเพื่อมาร่วมประชุมด้วย หลังจากที่หลี่ซิงเหวินเอ่ยชื่อเทียนไสว่จื่อออกมาเบาๆ ทุกคนในที่ประชุมก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การปรากฏตัวของเทียนไสว่จื่อในครั้งนี้ทั้งฉับพลับและเกินคาด ที่สำคัญกว่านั้นคือ…หลี่ซิงเหวินก็ยังไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แปลว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับเทียนไสว่จื่อนี้จะต้องทรงพลังจนสามารถทำลายสหพันธรัฐได้ด้วยตัวคนเดียว
ที่ประชุมตกอยู่ในความเงียบงัน ตอนนั้นเองเจ้านครก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อาวุธเทพแห่งดาวอังคารคงอยู่มาเป็นเวลานาน และไม่เคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น…ข้าขอให้เรารับมือกับสถานการณ์นี้อย่างรอบคอบด้วย!”
“เราจะยอมให้มีคนแปลกหน้ามานอนหลับสบายอยู่ข้างๆ ที่นอนของเราได้อย่างไรกัน การที่เขายอมให้ของดีเรามาอย่างง่ายดายก็เห็นได้ชัดว่าเขาต้องซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้!” ประมุขตระกูลเฉินแห่งตระกูลนภาห้าสมัยกล่าว แววตาของเขามีประกายเย็นยะเยือกฉายอยู่ เขากล่าวต่อไป แม้ว่าจะเป็นการขัดจังหวะเจ้านครก็ตาม
“สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะเจ้าเมืองเขตนครพิเศษประมาทเลินเล่อ สหพันธรัฐได้ทุ่มเททรัพยากรให้นครนี้มาเป็นเวลาหลายปี แต่เขากลับไม่รู้เลยว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับอาวุธเทพ!”
“นี่ไม่ใช่เวลามากล่าวโทษกันเอง สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้คือคิดให้ออกว่าสิ่งมีชีวิตนี้กำลังซ่อนอะไรจากการรับรู้ของพวกเราหรือไม่!”
ทุกคนเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างจริงจัง เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารไม่ได้พูดต่อและหัวหน้าคณะเสนาบดีเองก็นิ่งเงียบอยู่เช่นกัน พวกเขาทั้งคู่ดูราวกับว่ากำลังใคร่ครวญบางอย่างอยู่ ส่วนหลี่ซิงเหวินเริ่มหมดความอดทน
“พวกเจ้าอวดดีกันมากเกินไปหน่อยกระมัง พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสมรรถภาพของสหพันธรัฐนั้นมีเท่าใด ปิดบังสิ่งใดจากพวกเราเช่นนั้นหรือ หรือพวกเจ้าอยากจะลองเสี่ยงดู ข้าจะบอกให้ฟังนะ ตามการคาดคะเนของข้า เทียนไสว่จื่อผู้ที่อาศัยอยู่ในวัตถุเวทแห่งความมืดนั้นเป็นเจ้าของอาวุธเทพอย่างแน่นอน และเป็นไปได้มากว่าเขาได้สำเร็จการฝึกปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว หาไม่แล้ว เขาคงไม่อาจปล่อยพลังมากมายถึงเพียงนี้โดยใช้แค่พลังวิญญาณหรอก”
“สำหรับวิธีการรับมือเรื่องนี้…หากว่าเจ้าไม่อยากจะตายวันตายพรุ่ง พวกเราก็ไม่ควรลบหลู่…สิ่งมีชีวิตที่เราไม่อาจจะต่อกรด้วยได้ ข้าขอเสนอให้เรารับมือเรื่องนี้ด้วยวิธีเดียวกับตอนที่เรารับมือตัวตนที่อยู่บนดาวพลูโต” ทันทีที่หลี่ซิงเหวินพูดจบ ผู้ฝึกตนจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ที่กำลังทุ่มเถียงกันอยู่ก็เงียบงันกันไปหมด พวกเขาตกใจที่หลี่ซิงเหวินพูดเรื่องดาวพลูโตขึ้นมา ถึงแม้พวกเขาจะมีความคิดและข้อเสนอแนะมากมาย แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า หากหลี่ซิงเหวินยังไม่อาจรับมือตัวตนผู้นั้นได้ บางทีหนทางที่ดีที่สุดก็คือทำตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้กับฝ่ายนั้นตั้งแต่แรก
ต้วนมู่ฉีถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าที่ประชุมเงียบงันไปอีกครั้ง ชายชรารู้สึกเหนื่อยอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ กำลังจะเกิดขึ้น แต่ขณะนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการบรรลุขั้นการฝึกปราณ แถมยังมีปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ไหนจะการไปสำรวจกระบี่สำริดเขียวโบราณด้วย ชายชราไม่ต้องการปัญหาเพิ่มในตอนนี้
หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างเงียบงันอยู่ระยะหนึ่ง ดวงตาของต้วนมู่ฉีก็ส่องประกายเด็ดเดี่ยวออกมา
“เช่นนั้นก็ทำตามคำแนะนำของศิษย์พี่หลี่ก็แล้วกัน เราจะชะลอการเก็บกู้อาวุธเทพแห่งดาวอังคารออกไปก่อน และเรื่องนี้จะต้องถือเป็นความลับระดับขุนนางระดับสอง ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบขณะที่พำนักอยู่ที่เขตนครพิเศษและอย่าสร้างปัญหาให้แก่กัน!”
เมื่อทั้งต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินเห็นตรงกันในเรื่องนี้ จึงเป็นอันว่าเรื่องอาวุธเทพแห่งดาวอังคารก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ พวกเขาจะชะลอการเก็บกู้อาวุธเทพลง และประกาศเรื่องกำแพงชั้นที่สองในสุสานใต้ดินให้ประชาชนได้รับรู้ จะได้ใช้เป็นหลักฐานให้สหพันธรัฐได้ศึกษาและทดลองเพิ่มเติม และขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้สาธารณชนเกิดความสงสัย
พลังชีวิตอันเข้มข้นที่บังเกิดขึ้นในบริเวณเขตนครพิเศษไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด ข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนจำนวนมากในนครหลวงดาวอังคารเมื่อได้ทราบเรื่องนี้ก็พากันมาตรวจสอบ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตในอากาศก็ล้วนตื่นตะลึง หลายคนถึงกับลงหลักปักฐานฝึกปราณอยู่ที่เขตนครพิเศษเลยทีเดียว
การฝึกปราณในสถานที่ที่มีพลังชีวิตเข้มข้นนั้นมีคุณมากมาย สื่อมวลชนเองก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย และในพริบตาเดียว ทั้งสหพันธรัฐก็รู้ข่าวเรื่องพลังชีวิตอันเข้มข้นที่ไหลบ่าอยู่ในบริเวณเขตนครพิเศษ
ผู้ฝึกตนที่มีอาการบาดเจ็บจากในอดีตได้ยินเรื่องนี้ก็เลือกที่จะมาพักฟื้นที่นี่เช่นกัน ภายในสองสัปดาห์ เขตนครพิเศษของดาวอังคารก็กลายมาเป็นอาณาเขตยอดนิยมที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ!
จินตั้วหมิงมีบทบาทสำคัญกับสถานการณ์ปัจจุบัน ชายหนุ่มเป็นคนแรกที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงรีบติดต่อกงเต๋าและคนอื่นๆ ทันที เขายังเป็นคนแรกที่นำเสนอเรื่องการแปลงโฉมเขตนครพิเศษให้เป็นเขตบำรุงรักษาเพื่อฟื้นฟูและฝึกปราณแห่งดาวอังคาร และยังเป็นคนแรกที่เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหวังเป่าเล่ออีกด้วย
หวังเป่าเล่อเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่งแต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจบอกปัดความคิดนี้ได้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าการตัดสินใจของสหพันธรัฐที่จะชะลอการเก็บกู้อาวุธเทพ แปลว่า ในแง่หนึ่งนั้นพวกเขายอมปล่อยเขตนครพิเศษนี้ไป และมูลค่าที่ดินในเขตนครก็จะตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แถมตัวเขาเองยังจะเสียโอกาสในการได้รับทรัพยากรเพื่อบำรุงนครอีกด้วย เวลานี้เหมาะอย่างยิ่งในการนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ ให้เขตนครพิเศษ เพื่อยืดอายุและเพิ่มมูลค่าของนครไปในตัว
ชายหนุ่มกัดฟันก่อนจะยอมรับแผนของจินตั้วหมิง เป็นผลให้เกิดการเติบโตอย่างแพร่หลาย อสังหาริมทรัพย์ก็มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเสียจนแทบจะแพงเท่าทองคำ
“แค่มูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นนั้นไม่พอหรอก มันจะกลายเป็นว่า คนส่วนมากจะซื้อที่ดินไม่ได้ สิ่งที่เราต้องทำคือการสร้างโรงแรม สร้างโรงแรมเพิ่มให้เยอะๆ ไปเลย!” หวังเป่าเล่อนำเสนอความคิดของตนเองและช่วยต่อเติมแผนของจินตั้วหมิงให้สมบูรณ์ พวกเขาจะสร้างชื่อเขตนครพิเศษแห่งดาวอังคารให้กลายเป็นสวรรค์ของผู้ที่เสาะหาการฟื้นฟูรักษาและการฝึกปราณ รวมไปถึงเป็นสวรรค์แห่งการท่องเที่ยวอีกด้วย!
จินตั้วหมิงตื่นเต้นเป็นอย่างมากและเริ่มกุลีกุจอวาดแผงผังขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเจ็บปวดกับการสูญเสียพลังชีวิตไปมหาศาล ซึ่งจริงๆ แล้วมาจากการปลดปล่อยพลังของวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ก็ยังถือว่าเป็นความเสียหายที่น้อยและควบคุมได้อยู่
ชายหนุ่มยังรู้อีกว่าเมื่อใดก็ตามที่เขตนครพิเศษกลายมาเป็นอาณาเขตยอดนิยมสำหรับการฟื้นฟูรักษาและการฝึกปราณแล้ว พวกเขาก็จะมีรายได้มหาศาลจากการเก็บภาษี กำไรที่ได้รับนั้นแม้จะหักค่าใช้จ่ายแล้วก็ยังมากมายทีเดียว
แต่สิ่งนี้เป็นรายได้ระยะยาว สิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือการให้วัตถุเวทแห่งความมืดฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว หัวใจเขาร้อนรนอยู่กับความตื่นเต้นเมื่อคิดไปถึงพลังของวัตถุเวทแห่งความมืดตอนที่มันฟื้นฟูจนสมบูรณ์
ข้าต้องการทรัพยากรจำนวนมาก! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก ถึงแม้สหพันธรัฐจะบรรลุฉันทามติว่าจะชะลอการเก็บกู้อาวุธเทพแห่งดาวอังคาร หวังเป่าเล่อก็ยังกังวลใจอยู่ ชายหนุ่มรู้จักนิสัยของผู้คนในสหพันธรัฐดี หากความน่าสะพรึงและพลังของอาวุธเทพไม่เพิ่มพูนขึ้น…พวกเขาอาจเปลี่ยนใจมาเก็บกู้อาวุธเทพอีกครั้งอย่างแน่นอน!
แต่ก็น่าจะปลอดภัยไปได้อีกระยะหนึ่ง เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้บ้าง ชายหนุ่มรู้ดีว่าเหตุใดตนถึงต้องการทรัพยากรเพื่อมาซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดอย่างเร่งด่วน รากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ว่าตัวเขานั้นอ่อนแอเกินไป
หากเขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเช่นหลี่ซิงเหวิน คงไม่มีใครกล้าสร้างปัญญาหาให้กับเขา ต่อให้เขาประกาศตัวว่าเป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดชิ้นนี้ก็ตาม
ข้าต้องฝึกปราณให้มากขึ้นอีก! หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่นและเริ่มถือสันโดษต่อไป ชายหนุ่มมุ่งมั่นจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางให้เร็วที่สุด ขณะที่เขาถือสันโดษอยู่นั้น จินตั้วหมิงก็ใช้ประโยชน์จากความหัวไวด้านธุรกิจของตนเองและวาดแผนผังขึ้นมาจนเสร็จสมบูรณ์ไร้ที่ติ
เขตนครพิเศษบนดาวอังคารกลายมาเป็นหัวข้อยอดนิยมในสหพันธรัฐ สื่อทุกสำนักในสหพันธรัฐลงโฆษณาที่มีผู้ฝึกตนหรือดาราชื่อดัง ทุกชิ้นต่างเต็มเปี่ยมด้วยเนื้อหาที่ชื่นชมความงดงามของเขตนครพิเศษบนดาวอังคาร
จินตั้วหมิงกระทั่งร่วมมือกับกลุ่มไตรจันทราและออกแบบแผนการท่องเที่ยวบนดาวอังคารที่มอบส่วนลดให้ลูกค้าต้องการมาเที่ยว ส่งผลให้จำนวนเรือบินที่เดินทางจากโลกและดาวอื่นๆ ไปยังดาวอังคารเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว
หลินเทียนหาวเองก็ร่วมมือกับจินตั้วหมิงอย่างแข็งขัน โดยทำหน้าที่ของเขาอย่างดีในการต้อนรับผู้มาเยือน ฝ่ายกงเต๋านั้นทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและสอดส่องดูแลภายในเขตนคร จากความพยายามของทุกคน ความนิยมของเขตนครพิเศษแห่งดาวอังคารก็พุ่งสูงขึ้นทั่วทั้งสหพันธรัฐ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือน ชื่อเสียงของเขตนครพิเศษก็แพร่ไปไกลราวไฟลามทุ่ง
ความนิยมและชื่อเสียงของเขตนครพิเศษนั้นควรจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากความพยายามของจินตั้วหมิง หากว่าไม่ได้มีเหตุการณ์ใหญ่อื่นใดมาแทรกแซงเสียก่อน ผลกระทบของเหตุการณ์ใหม่นี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ใหญ่เสียจนกระทั่งบดบังชื่อเสียงที่เพิ่งเริ่มเติบโตขึ้นของเขตนครพิเศษเสียจนมิด…
เดือนกรกฎาคมปีที่สี่สิบห้าในยุคกำเนิดวิญญาณ…ผู้นำแห่งสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉีบรรลุขั้นจุติวิญญาณเป็นที่เรียบร้อย!