เมื่อเห็นว่าความสง่างามของตนทำให้หลี่ซิ่วเข้ามาคารวะด้วยความเคารพ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่า นอกจากจะมีความหล่อเหลาเป็นอันดับหนึ่งในสหพันธรัฐแล้ว เขายังมีคุณสมบัติพิเศษอีกมากมายที่ทำให้ทุกคนต่างก็ต้องการเรียนรู้จากตัวเขา
ชายหนุ่มส่งหลี่ซิ่วกลับไปด้วยความลำพองใจ ก่อนจะส่งงานจุกจิกให้นายกเทศมนตรีคนอื่นๆ แบ่งกันไปทำ ตัวเขาเองนั้นแยกมาถือสันโดษเพื่อศึกษาทักษะการหลอมสวรรค์สร้างต่อไป
หวังเป่าเล่อคิดไปถึงข้อมูลเชิงลึกที่เขาได้รับมาจากการไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนั้นเวลามีจำกัดนัก ครั้งนี้ชายหนุ่มตั้งมั่นว่าจะต้องบรรลุทักษะการหลอมสวรรค์สร้างให้จงได้ และในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ลืมฝึกตนไปด้วย หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาใกล้บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์เต็มที
ส่วนการหลอมอาวุธเวทภายในกายนั้น หวังเป่าเล่อทำมาต่อเนื่องไม่ได้ขาด ขณะนี้เมื่อเขาสะสางการงานอย่างอื่นเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เข้ามานั่งขัดสมาธิพร้อมทั้งดึงกระบี่เหาะเหินสีแดงและกระบี่สีดำออกมา วินาทีที่เขาดึงอาวุธเวททั้งสองออกมาพร้อมกัน แรงกดดันมหาศาลก็พลันพวยพุ่งออกมา ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่รู้แหล่งที่มาของแรงกดดันนี้ จึงเข้าใจไปว่าเป็นความร้ายกาจของวิญญาณวุธ
ทว่าหลังจากที่เข้าใจทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง หวังเป่าเล่อก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าอาวุธเวทนั้นเป็นเพียงพาหนะเท่านั้น เช่นเดียวกับวิญญาณวุธ แรงกดดันมหาศาลที่เกิดขึ้นและทำให้พลังของอาวุธเวทแข็งแกร่งถึงเพียงนี้มีต้นกำเนิดมาจาก ‘เทพ’ จากเมื่อครั้งบรรพกาล!
เทพที่ว่านี้คงจะเป็นอสูรดุร้ายหรือไม่ก็เคยเป็นผู้ฝึกตนมาก่อนกระมัง…หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด ขณะที่พึมพำอยู่นั้นเอง เขาก็รู้สึกถึงอาวุธเวททั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนว่าชายหนุ่มจะเห็นร่างเงาของเทพทั้งสองที่เคยปกปักษ์คุ้มครองสวรรค์และพื้นพิภพได้รางๆ
แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงจินตนาการของหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเขามาถูกทางแล้ว ในเมื่อการจะทึกทักถึงดวงจิตของทวยเทพที่อยู่มาก่อนนั้นเป็นเรื่องยาก ทางเดียวที่จะเข้าถึงดวงจิตนั้นได้คือผ่านอาวุธเวททั้งสองชิ้นนี้
ด้วยความคิดดังกล่าว หวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ ปล่อยตัวเองให้ผสานรวมเข้ากับอาวุธเวททั้งสอง เพื่อที่จะหาดวงจิตที่สถิตอยู่ภายในรวมไปถึงสัญญาณแห่งสติปัญญาที่อาจหลงเหลืออยู่ ชายหนุ่มต้องการสัมผัสถึงดวงจิตของทวยเทพขณะที่อยู่ระหว่างพื้นพิภพและสรวงสวรรค์
กระบวนการนี้ทั้งช้าและยาวนาน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะรู้ดีว่าเส้นทางนี้ถูกต้อง แต่เขาก็ยังต้องการเวลาเพื่อจะบรรลุทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง
ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าจะใจร้อนไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มั่นใจว่าหากตั้งหน้าตั้งตาฝึกต่อไป ก็จะบรรลุวิชาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นขณะที่เขานั่งสมาธิเพื่อเพิ่มพูนความรู้ เวลาก็ผ่านไปหลายวัน
สามวันผ่านไปไวราวกับโกหก
ในสามวันนั้น หวังเป่าเล่อทิ้งงานเล็กน้อยทั้งหมด ชายหนุ่มถวายทั้งหัวใจและวิญญาณให้กับการเรียนรู้เบื้องลึกของอาวุธเวททั้งสอง ราวกับว่าสติสัมปชัญญะของเขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธก็ไม่ปาน หวังเป่าเล่อตอนนี้เหมือนได้ทิ้งนครอาวุธเทพใหม่ไปและล่องลอยอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพของดาวอังคาร ขณะที่ชายหนุ่มล่องลอยอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงพูดพึมพำและเหมือนจะเห็นร่างมายาหลายร่าง แถมยังรู้สึกได้ถึงชิ้นส่วนความทรงจำของทวยเทพที่เคยสถิตอยู่บนดาวอังคาร
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความรู้สึกทั่วๆ ไปที่ไม่ได้ลงรายละเอียดชัดเจน หวังเป่าเล่อรู้สึกอยู่เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น และแม้ว่าชายหนุ่มต้องการเข้าใจมันเพียงใด เขาก็ยังทำไม่สำเร็จอยู่ดี ดูราวกับว่าหวังเป่าเล่อเองก็ได้แปรสภาพกลายเป็นดวงจิตที่ล่องลอยไปมาอยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพเช่นเดียวกัน
หลังจากที่ล่องลอยไปมาอยู่ระยะหนึ่ง ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงดวงจิตที่รุนแรงดวงจิตหนึ่งที่ไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้ล่องลอยอยู่ห่างออกไป!
ดวงจิตนี้แข็งแกร่งราวดวงตะวันและดูคล้ายเปลวเพลิงเมื่อเทียบกับดวงจิตรูปแบบอื่นๆ แม้หวังเป่าเล่อจะสัมผัสมันเพียงแผ่วเบา ความร้ายกาจของดวงจิตนี้ก็ทำให้เขาตัวสั่น ตอนนั้นเองเสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังก้องอยู่ในใจของชายหนุ่ม
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”
เสียงกรีดร้องที่มาจากดวงจิตนี้ช่างโหดเหี้ยม และจิตสังหารที่แผ่ออกมาก็รุนแรงเสียจนอาจทำลายทั้งสวรรค์และพื้นพิภพได้ หวังเป่าเล่อไม่อาจทานทนพลังนั้นได้ ร่างกายเขาสั่นสะท้าน ก่อนจะพ่นเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ชายหนุ่มเปิดตาขึ้นทันที เขาหอบหายใจเร็วถี่ หวังเป่าเล่อรีบยกศีรษะขึ้นโดยเร็ว ราวกับว่าสายตาของเขาสามารถมองทะลุกำแพงออกไปเห็นท้องฟ้าบนดาวอังคารได้กระนั้น
ดวงจิตนั้นเป็นของเทพองค์ใดกัน หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขายังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย ชายหนุ่มค่อยใจเย็นลงได้บ้างหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก แต่เมื่อเขานึกย้อนไปถึงความบ้าคลั่งและดุร้ายของดวงจิตนั้น ก็ยังอดตื่นกลัวไม่ได้
สิ่งที่ข้าค้นพบเมื่อครู่นั้นจะใช่ทักษะสวรรค์สร้างไหมนะ หรือจะเป็นเพียงโรคความจำเสื่อมชั่วคราวในตำนานที่ระบาดในยุคกำเนิดวิญญาณกันแน่ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ชายหนุ่มไม่สบายใจเอาเสียเลยเมื่อตระหนักได้ถึงอันตรายของทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง แต่ขณะเดียวกัน เขาก็สนใจใคร่รู้และอยากจะค้นหาความจริงเกี่ยวกับดวงจิตที่แปลกประหลาดดวงนั้น
หากข้าสามารถหลอกล่อมันมาและสร้างพาหนะให้กับมันได้ละก็…โทรโข่งอาวุธเวทของข้าก็อาจเสร็จสมบูรณ์ขึ้นมาได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง ชายหนุ่มคิดว่าเขาอาจทำผิดขั้นตอนไป เขาควรจะสร้างพาหนะให้สำเร็จเสียก่อน คล้ายกับการสร้างกับดัก…
ไม่ใช่สิ ข้าเป็นเจ้านาย เจตนารมณ์ของข้าจะต้องเที่ยงตรง…สิ่งที่ข้ากำลังจะสร้างนั้นไม่ใช่กับดัก ข้ากำลังจะนำพาทวยเทพแห่งอดีตกาลให้กลับมาปรากฏอีกครั้ง เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้กลับมาเกิดใหม่! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าตัวเขามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ชายหนุ่มปลาบปลื้มใจในความเฉียบแหลมของตนที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้
หวังเป่าเล่อยุติการถือสันโดษเพราะความภาคภูมิใจในตนเองนี้ ในใจเต็มไปด้วยความคิดเรื่องวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการพาหนะอาวุธเวท วัตถุดิบนั้นควรมีคุณสมบัติสองอย่าง อย่างแรกมันต้องเป็นวัตถุดิบที่ทรงคุณค่า และอย่างที่สองมันต้องมีส่วนผสมของวิญญาณวุธอยู่ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติแรกหรือคุณสมบัติที่สอง ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะหามาได้แม้เขาจะเป็นเจ้าเมืองก็ตาม ขณะที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดว่าจะหาสิ่งของเหล่านั้นมาอย่างไรนั้น เขาก็พลันเงยหน้าขึ้นจ้องประตูห้องลับด้วยความตื่นตกใจ
วินาทีที่เงยหน้าขึ้นมอง เขาเหมือนได้ยินเสียงใครสักคนเคาะประตูห้องลับอยู่ เสียงที่ตามมานั้นเจือความเร่งรีบและยังกระทบกับวงแหวนปราณแบบง่ายๆ ที่ชายหนุ่มสร้างปกคลุมที่พักเอาไว้ด้วย
นางมาที่นี่ทำไมกัน หวังเป่าเล่อคิด ชายหนุ่มรู้สึกได้ผ่านวงแหวนปราณของที่พักว่าผู้ที่อยู่ด้านนอกห้องลับคือเพื่อนบ้านของเขา หลี่หว่านเอ๋อร์นั่นเอง
ขณะนี้เป็นเวลากลางดึก ข้างนอกนั้นมืดสนิท การมาเยือนอย่างกะทันหันของหลี่หว่านเอ๋อร์ทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ขายหนุ่มใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะเพราะเสียงเคาะนั้นดูจะร้อนรนขึ้นอีก หลี่หว่านเอ๋อร์กระทั่งส่งข้อความเสียงผ่านแหวนสื่อสารมาหาหวังเป่าเล่อ ข้อความเสียงนั้นมีเพียงประโยคเดียว
“ช่วยข้าด้วย…”
เมื่อสิ้นประโยค เสียงเคาะประตูก็ขาดหายไป หวังเป่าเล่อมองเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ล้มลงหมดสติผ่านวงแหวนปราณ
ชายหนุ่มตกใจมาก เขาผุดลุกขึ้นยืนทันทีและรีบก้าวออกไปจากห้องลับ หวังเป่าเล่อใช้สมาธิทั้งหมดในการเรียกใช้งานอาวุธเวททั้งสองชิ้น และแจ้งข่าวไปยังองค์รักษ์เต๋าขั้นกำเนิดแก่นในที่เฝ้าอยู่ด้านนอกที่พักก่อนจะเปิดประตูออกไป
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้สึกถึงอันตรายจากภายนอกตอนที่เปิดประตู เขาก็ยังคงเปิดใช้งานอาวุธเวททั้งสองชิ้นอยู่ดี แรงกดดันมหาศาลจากอาวุธทั้งสองแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ
เมื่อหวังเป่าเล่อตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่มีอันตราย เขาจึงก้าวเข้าไปใกล้ร่างไร้สติของหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างระแวดระวัง สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทั้งยังตัวสั่น นางหมดสติไปแล้ว และริมฝีปากก็เป็นสีดำคล้ำ
นางถูกพิษหรือ หวังเป่าเล่อถึงกับผงะ ชายหนุ่มชะโงกหน้าไปมองและทาบฝ่ามือลงบนหน้าผากอีกฝ่าย ทันทีที่แตะโดนผิวนางเท่านั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลง ลมหายใจรัวถี่ เขามีสีหน้าตื่นตะลึง
ชายหนุ่มรีบอุ้มนางเข้ามาในที่พักของตนทันที และรีบแจ้งให้องค์รักษ์เต๋าจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าป้องกันบริเวณภายนอกเอาไว้ จากนั้นก็พาหลี่หว่านเอ๋อร์เข้าไปในห้องลับ
เมื่อเข้าไปถึงห้องลับ หวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาขมวดคิ้วขณะจ้องมองหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ไร้สติ
ไม่มีปราณมืดออกมาจากกายนาง แต่ข้ารู้สึกราวกับมีขวดที่เต็มไปด้วยปราณมืดอยู่ภายในกายนาง แถมขวดนั้นก็ใกล้จะแตกเต็มที!
เหตุนี้เองที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสัมผัสถึงปราณมืดจากกายนางเลย แม้แต่ตอนนี้ที่เขากำลังจ้องนางอยู่ เขาก็ยังสัมผัสถึงมันไม่ได้ มมีเพียงการสัมผัสตัวนางและปล่อยพลังปราณของเขาเข้าไปสำรวจเท่านั้นจึงจะรู้สึกได้
ทำไมนางจึงตกอยู่ในสภาพนี้กัน หรือว่านางจะฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ทำไมผลของนางจึงแตกต่างจากคนอื่นๆ คำถามมากมายปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า หลี่หว่านเอ๋อร์เป็นถึงรองเจ้าเมือง และแม้ว่าพวกเขาจะเคยมีเรื่องบาดหมางกัน หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจปล่อยนางตายไปเฉยๆ ได้ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงเรื่องราวที่พวกเขาเคยผ่านมาร่วมกัน
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกมือขวาขึ้นและกดลงไปบนหน้าผากของหลี่หว่านเอ๋อร์ เมล็ดดูดกลืนในกายเขาระเบิดขึ้นและแปรเปลี่ยนเป็นพลังดูดกลืนที่ดึงเอาปราณมืดออกมาจากร่างของหลี่หว่านเอ๋อร์เพื่อให้นางพ้นอันตราย!