“เหตุใดท่านแม่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
เมื่อเห็นร่างอันสง่างามลงมาจากรถม้า ฉีอวี้และฉีฉีก็ยิ้มพร้อมกับรีบเดินออกไปต้อนรับ
“เด็กน้อย ไปเตรียมตัว ได้เวลาที่เราจะต้องกลับบ้านกันแล้ว”
เหวินหย่าเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้ใบหน้าของฉีฉีและฉีอวี้ค้างแข็งไปชั่วขณะ
“กลับเหรอ? พวกเรายังไม่ได้เข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองกันเลยนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินคำว่ากลับบ้าน ฉีฉีก็ถามออกมาเสียงดังด้วยความประหลาดใจ นัยน์ตาสุกใสของหนูน้อยมีแววดื้อดึง นางยังไม่อยากไปจากที่นี่ในตอนนี้
“อ่า เสด็จพ่อของเจ้าส่งข่าวมา บอกให้เรารีบกลับโดยเร็วที่สุด แม้จะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พวกเราก็ไม่ควรชักช้า ดูแล้วพระองค์กำลังทรงร้อนพระทัยมาก”
สตรีผู้สง่างามถอนหายใจพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน ในตอนที่กำลังพักผ่อนอยู่ภายในโรงเตี๊ยม เหวินหย่าก็ได้พบกับลั่วชิงซานที่เร่งรีบเข้ามาพบ
จากนั้นท่านเจ้าเมืองก็ได้มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง เมื่อได้เห็นเนื้อความในจดหมาย นางก็ตัดสินใจจะกลับไป๋อวิ๋นทันที
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินสิ่งที่เหวินหย่ากล่าวและยังเห็นท่าทางที่นอบน้อมของลั่วชิงซานลุงของเขา หลี่หลินผู้ยโสโอหังที่วางท่าสูงส่งไปเมื่อครู่ก็หวาดกลัวจนพูดไม่ออก
“เจ้าเดรัจฉาน ยังไม่รีบคุกเข่าขออภัยองค์ฮองเฮา องค์ชายสาม และองค์หญิงน้อยอีกเรอะ?!”
สิ่งที่ลั่วชิงซานได้ยินตอนที่เดินมานั้น เขาคิดว่าฮองเฮาเองก็คงได้ยินเช่นกัน สิ่งที่หลี่หลินกล่าวถือเป็นการลบหลู่เกียรติขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอย่างไม่น่าให้อภัย หากว่าสตรีผู้เป็นใหญ่จะคิดเอาผิด แม้ตัวเขาจะเป็นเจ้าเมืองเยว่กวางแห่งนี้ก็คงปกป้องเจ้าหลานน่าตายเอาไว้ไม่ได้
— ตุบ! —
หลี่หลินเข่าอ่อน ร่างใหญ่ที่เคยวางท่าทรุดลงไปกับพื้นทันที
“องค์ฮองเฮา กระหม่อมสมควรตาย องค์ชายสาม องค์หญิง กระหม่อมสมควรตาย!”
ในตอนนี้เองที่หลี่หลินผู้ยโสโอหังอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สักร้อยครั้ง เมื่อครู่เขาเพิ่งจะแกว่งปากหาเรื่อง เอาคอไปพาดคมดาบ ตอนนี้หลี่หลินหวาดกลัวเป็นอย่างมาก หากเขารู้ว่าฉีฉีและฉีอวี้เป็นเชื้อพระวงศ์ เขาคงไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกไปแน่
“กระหม่อมจะสั่งสอนเจ้าเด็กไม่รู้ที่ต่ำที่สูงคนนี้ให้ดีเอง ขอฮองเฮาโปรดเมตตาไว้ชีวิตเขาสักครั้ง”
ลั่วชิงซานรีบคุกเข่ากล่าวขอความเมตตา พลางจ้องมองหลี่หลินด้วยสายตาดุดันราวกับโกรธเกลียดหนักหนา
“เอาเถอะ เด็กน้อยคงไม่รู้ความ ท่านก็อย่าไปตำหนิเขานักเลย”
ฮองเฮาเหวินหย่ายิ้ม พระนางไม่ได้คิดถือสาหาความในเรื่องนี้
ฉีอวี้และฉีฉียิ้มออกมา พวกเขาเองก็ไม่ได้โกรธเคืองจนคิดจะเล่นงานหลี่หลินให้ถึงตายแต่อย่างใด
ฉินอวี้โม่เองก็เช่นกัน แค่นี้คนจองหองผู้นี้ก็คงจะหลาบจำไปอีกนานแล้ว เพราะหลังจากกลับไปท่านเจ้าเมืองก็คงจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่
— พรึ่บ! —
หลัวเจี๋ยกระโดดลงมาจากต้นไม้และเดินตรงเข้าไปหาองค์ฮองเฮา
“คารวะท่านหลัวเจี๋ย”
ลั่วชิงซานรีบเข้าไปทักทายหลัวเจี๋ย แม้อายุจะใกล้เคียง แต่ทั้งสถานะและความแข็งแกร่งของตัวเขาเองไม่ได้สูงเท่าเทียมกับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงเรียกหลัวเจี๋ยว่า ‘ท่าน’
“พวกเจ้าทำได้ดีมาก”
หลัวเจี๋ยพยักหน้าชมเชยให้กับหนุ่มสาวทุกคน แต่หันไปมองที่ฉินอวี้โม่
“ขอบท่านลุงหลัวเจี๋ยมาก”
ฉีอวี้และคนอื่นๆ ขอบคุณเขาอย่างสุภาพ
ฉินอวี้โม่เองก็ยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไร
“พี่อวี้โม่ จริงๆ แล้วพวกเราก็คือองค์ชายสามและองค์หญิงน้อยแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ส่วนท่านแม่ของข้าก็คือองค์ฮองเฮา และหลิงเฟิงเขามาจากตระกูลหลิงแห่งนครไป๋อวิ๋น”
ฉีฉีอธิบายเรื่องสถานะของทุกคนให้ฉินอวี้โม่ฟัง
“พี่อวี้โม่ นี่ข้ามอบให้ ถ้าพี่ได้ไปที่นครไปอวิ๋นในอนาคต ใช้มันเพื่อมาพบพวกเราได้ เราจะต้อนรับพี่อย่างดี”
องค์หญิงน้อยฉีฉีส่งป้ายหยกแสดงฐานะแผ่นหนึ่งให้ฉินอวี้โม่ พร้อมกับย้ำเตือนว่าเมื่อนางไปเยือนนครไป๋อวิ๋นก็ให้ไปพบพวกนางในวังหลวง
“พี่อวี้โม่ พี่ต้องไปให้ได้นะ พวกเราจะรออยู่ที่นครไป๋อวิ๋น”
ฉีฉีมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่คาดหวังพร้อมกับกำชับพี่สาวคนโปรด ก่อนจะหันหลังขึ้นรถม้าไป ในเวลานี้เหลือเพียงนางและหลิงเฟิงที่ยังรั้งรออยู่ด้านนอก
หลิงเฟิงเองก็พยักหน้าให้ฉินอวี้โม่แล้วขึ้นรถม้าตามองค์หญิงไปด้วย ส่วนหลัวเจี๋ยนั้นนั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าแล้ว เขาทำหน้าที่เป็นผู้บังคับรถม้าด้วยตัวเอง
“แม่นางอวี้โม่ ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเจ้าจะเติบโตไปถึงจุดไหนในตอนที่ไปถึงนครไป๋อวิ๋น ข้าจะรอดูเมื่อพบเจ้าอีกครั้ง”
หลัวเจี๋ยยิ้มใจดีให้ฉินอวี้โม่และบังคับรถม้าให้ออกเดินทาง
ฉินอวี้โม่โบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม นางมองดูฉีอวี้และฉีฉีที่ยังคงทอแววตาอาลัยอาวรณ์พร้อมกับโบกมือกลับมาให้ อีกไม่นานนางเองก็คงจะได้เดินทางไปยังนครไป๋อวิ๋นเช่นกัน