ทุกคนต่างรู้กันดีว่าตอนที่ท่านผู้ชายเฉินเสียชีวิต ท่านได้โอนสมบัติทั้งหมดให้แก่ท่านผู้หญิง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวัตถุโบราณสมัยราชวงศ์ถัง ซ่ง หมิง ชิงที่ล้ำค่าและหายาก โดยมีด้วยกันสองหีบเต็มๆ หรืออาจจะกล่าวในอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า ท่านผู้หญิงคือสมบัติที่แท้จริง
จึงไม่อาจล่วงเกินได้เป็นอันขาด
“ในบ้านตระกูลเฉิน คุณย่าคือผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การเคารพนับถือที่สุดแล้วครับ” จู่ๆ
เฉินเป่ยชวนก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มและไม่เย็นชาอย่างหาได้ยากแบบนั้น “พวกเราล้วนอยากให้คุณย่ามีสุขภาพที่แข็งแรง อายุยืนเป็นร้อยปีกันทั้งนั้น ใครจะกล้าโมโหคุณย่าล่ะครับ?”
“คุณย่า เป่ยชวนพูดถูกเลยค่ะ” เฉียวชูเฉี่ยนรีบลุกขึ้นเดินไปอยู่ข้างๆ ท่านผู้หญิง จากนั้นเธอก็ตักน้ำซุปร้อนๆ มาเสิร์ฟตรงหน้าท่าน แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “คุณย่าทานน้ำซุปเรียกน้ำย่อยก่อนค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักหนูไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้หลังบ้านเป็นเพื่อนคุณย่านะคะ”
ท่านผู้หญิงเห็นแก่เฉียวชูเฉี่ยน ตอนนี้จึงคลายปมบนคิ้วออกแล้วพยักหน้ารับ “ดี นังหนูนี่ดีจริงๆ”
เฉินเป่ยชวนแอบชำเลืองมองเฉียวชูเฉี่ยนอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็รีบถอนสายตาตัวเองกลับมา
ในที่สุดประเด็นนี้ก็จบลงได้
หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนก็ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้หลังบ้านเป็นเพื่อนท่านผู้หญิง
ท่านผู้หญิงไม่รู้เบื้องหลังของเหตุการณ์ที่ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนกับเฉินเป่ยชวนหย่ากัน ท่านจูงมือเธอพูดนู่นพูดนี่ไม่หยุด เอาแต่พูดว่าเฉินเป่ยชวนนั้นไม่ยอมพูด เอาแต่ปิดบัง และหวังให้เฉียวชูเฉี่ยนอภัยให้เฉินเป่ยชวน
เฉียวชูเฉี่ยนเม้มปากยิ้มๆ คอยพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างใจเย็น
หนึ่งผู้เฒ่า หนึ่งผู้อ่อนวัยพูดคุยสัพเพเหระอยู่ที่สวนดอกไม้หลังบ้านจนถึงสี่ทุ่มกว่า
เฉียวชูเฉี่ยนเห็นว่าดึกมากแล้ว จึงเอ่ยลาท่านผู้หญิง ท่านผู้หญิงอยากให้เฉียวชูเฉี่ยนพักอย่ที่นี่ แต่เธอก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงตลอด ในที่สุดท่านก็ยอมแพ้
“คุณย่ากลับไปเถิดค่ะ เดี๋ยวก็มีคนมารับหนูแล้วค่ะ” เฉียวชูเฉี่ยนพูด แต่ท่านผู้หญิงไม่ยอมเสียอย่าง จากนั้นก็เอาผ้าคลุมกันลมมาห่มที่ไหล่เธอ ดึงดันจะไปส่งเธอที่นอกคฤหาสน์
ที่หน้าประตู มีรถยี่ห้อมายบัคสีดำคันหนึ่งจอดเงียบอยู่ตรงนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว
และชายหนุ่มรูปหล่อ รูปร่างสูงใหญ่กำลังพิงอยู่ข้างรถด้วยสีหน้าและท่าทางที่ดูไม่เป็นแบบแผนและไร้ซึ่งความอดทนอดกลั้น ช่วงขายาวบึกบึนทรงพลังชวนมอง ใต้รองเท้าหนังของเขามีก้นบุหรี่ตกอยู่เป็นจำนวนมาก
“เป่ยชวนเอ๊ย ยังไม่กลับอีกหรือ?”
เมื่อท่านผู้หญิงเห็นเฉินเป่ยชวนก็อึ้งไปชั่วขณะก่อน จากนั้นก็จะดึงเฉียวชูเฉี่ยนให้เดินไป ท่านยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า: “ดึกมากแล้ว เธอไปส่งนังหนูหน่อยแล้วกัน”
ไม่ใช่การสอบถาม แต่เป็นคำสั่ง
ท่านผู้หญิงพูดเช่นนี้ทำให้คิ้วของเฉียวชูเฉี่ยนกระตุกขึ้นมา “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณย่า หนูกลับเองได้ค่ะ”
“ไฮ้ ดึกขนาดนี้แล้ว อย่าให้คนอื่นมารับเธอเลย” ท่านผู้หญิงพูดแล้วดึงเธอไปทาง
เฉินเป่ยชวน “เป่ยชวนก็จะกลับเข้าเมืองอยู่พอด ก็ให้เขาแวะส่งเราเลยแล้วกัน”
เฉียวชูเฉี่ยนถูกผลักกะทันหัน เธอไร้การป้องกัน จึงตกไปที่อ้อมอกอันแข็งแกร่งของเฉินเป่ยชวน
เหมือนจะได้กลิ่นหอมจางๆ แต่สดชื่นของมิ้นท์
เธอตื่นตกใจรีบพาตัวเองออกมาจากอ้อมอกเขา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาคู่นั้นที่ทั้งสุกใสและลุ่มลึกได้จ้องมองเธออยู่นานแล้ว จากนั้นเขาก็โยนบุหรี่ในปากลงพื้นแล้วใช้รองเท้าเขี่ยๆ ให้ไฟดับ
“ครับ คุณย่าวางใจได้ ผมจะส่งเธอกลับไปเองครับ”
ในระหว่างที่เฉียวชูเฉี่ยนตกตะลึงตาค้างอยู่ เฉินเป่ยชวนได้ก้มตัวลงไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว ดูราวกับเชิญเชิญให้ขึ้นไปนั่ง
ท่านผู้หญิงส่งยิ้มจนตาหยีมาให้ “นังหนูถึงบ้านแล้วก็ส่งข้อความมาบอกย่าด้วยนะ”
เฉียวชูเฉี่ยนตอบรับก็ไม่ใช่ ปฏิเสธก็ไม่เชิง ได้แต่ลังเลอยู่สักพักใหญ่ๆ แต่แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็ลาก่อนนะคะคุณย่า ไว้วันหลังหนูมีเวลาจะเข้ามาเยี่ยมคุณย่าใหม่ค่ะ” จากนั้นเธอก็เข้าไปนั่งในรถ
“ดีๆ!” ท่านผู้หญิงพยักหน้ารับอย่างยิ้มๆ แล้วหันหน้าไปทางเฉินเป่ยชวนด้วยสีหน้าที่เย็นชาอีกครั้ง: “ถนนในตอนกลางคืนขับยากอยู่ เธอขับรถช้าๆ หน่อยแล้วกัน ตัวเธอจะเกิดเรื่องหรือไม่ฉันไม่สน แต่อย่าให้กระทบไปถึงหนูน้อยของย่าล่ะ”
เฉินเป่ยชวนส่งเสียงตอบรับกลับไป เขาเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับ จากนั้นก็สตาร์ทรถและขับออกไป
ไม่นาน รถก็วิ่งเข้าสู่บริเวณที่มืดมาก
ภายในรถเป็นไปอย่างเงียบเชียบกันทั้งสองคน
ต่อมาเสียงโทรศัพท์มือถือของเฉียวชูเฉี่ยนก็ดังขึ้นทำลายความเงียบแบบแปลกๆ นี้ เธอกดรับสาย: “ฉี”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนหรือครับ ผมจะได้เข้าไปรับ?”
“……ไม่ต้องแล้วค่ะ” เฉียวชูเฉี่ยนเหลือบมองไปทางเฉินเป่ยชวนอย่างรวดเร็วแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า: “ฉันจะถึงบ้านในอีกสิบห้านาทีนี้แล้ว จิ่งเหยียนทำตัวดีไหมคะตอนอยู่กับคุณ?”
ลู่ฉีหัวเราะเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงชวนฟังออกไปว่า: “เพิ่งจะงอแงออกมาว่าอยากทานพิซซ่า แต่พอทานไปได้ชิ้นเดียวก็หลับไปแล้วครับ”
เมื่อนึกถึงท่าทางที่ซื่อตรงและน่ารักของเจ้าซาลาเปาน้อย เฉียวชูเฉี่ยนก็หัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว “ฉี ลำบากคุณแล้ว”