บทที่ 101 ปล้นสะดมตอนไฟไหม้
อาคารกั๋วจี้ ชั้นบนสุด
ถังเฉานั่งดื่มกาแฟอย่างสบาย ของที่วางอยู่ตรงหน้าคือ ข้อมูลส่วนตัวของชายคนหนึ่ง
ก็คือจ้าวเชียนจูน
ก๊อกก๊อกก๊อก —-
ในเวลานี้ ประตูถูกเคาะเสียงดัง เจิงเทียนเสียงก็ผลักประตูเข้ามา
เขาจงใจชะลอฝีเท้าลง เขากลัวว่าเสียงรองเท้าหนังที่กระทบพื้นจะรบกวนความสงบในห้องทำงาน
“คุณถังผมได้แจ้งประธานจูของหลงเถิงกรุ๊ปแล้ว ภายในห้านาที เขาก็จะขึ้นมาพบคุณ” เขาพูดอย่างเคารพ
“รบกวนแล้วนะ”
ถังเฉาพยักหน้า จากนั้นสายตามองไปที่ข้อมูลส่วนตัวของจ้าวเชียนจูน ค่อยๆหรี่ตาลง “จ้าวเชียนจูนคนนี้ เป็นลูกบุญธรรมของจ้าวลิ่ว?”
“ใช่ครับ”
เจิงเทียนเสียงมองไปที่รูปถ่ายของจ้าวเชียนจูนแว๊บหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนที่จ้าวลิ่วยังวัยรุ่นเจ้าชู้เป็นนิสัย สร้างกรรมเรื่องเจ้าชู้ไว้เยอะ จ้าวเชียนจูนคนนี้ เป็นหนึ่งในกลุ่มคนมากมายนั้น”
“กลุ่มคนมากมาย?”
ถังเฉาจับประเด็นสำคัญได้อย่างคล่องแคล่วและถามว่า “จ้าวลิ่วยังมีลูกนอกสมรสอีกเยอะหรอ?”
เจิงเทียนเสียงพยักหน้าและพูดว่า “จ้าวลิ่วยังมีลูกชายอีกหลายคน ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกนอกสมรส”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ถังเฉารีบวางถ้วยชาลงทันที หรี่ตาลง “ข้อมูลเชื่อถือได้ไหม?”
“เชื่อได้แน่นอน”
เจิงเทียนเสียพูดอย่างจริงจัง “ภรรยาของจ้าวลิ่วเสียชีวิตตั้งนานแล้ว เวลานั้นเขามีลูกนอกสมรสมากมายอยู่ข้างนอก แต่ว่า ก่อนที่ภรรยาของเขาจะเสียชีวิต เขาได้ให้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่ง”
“ลูกสาว?”
เจิงเทียนเสียงพยักหน้าอย่างจริงจัง พูดว่า “จ้าวลิ่วมีลูกสาวหนึ่งคน แต่ความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกสาวนั้นแย่มาก หรือพูดได้ว่า ลูกสาวเกลียดจ้าวลิ่วอยู่ฝ่ายเดียว ในปีนั้นก็ไม่ได้อยู่ตระกูลจ้าว ดังนั้นข้อมูลของเธอจึงมีน้อยมาก”
“สำหรับลูกสาวของจ้าวลิ่ว สิ่งเดียวที่ผมรู้คือเธอไม่ได้แซ่จ้าว แต่ตามนามสกุลของแม่ที่เสียไปแล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง … ”
ท่าทีของถังเฉามีซับซ้อนเล็กน้อย อาจเป็นเพราะตอนนี้เขาเป็นพ่อคนแล้ว เมื่อเขาได้ยินว่าลูกสาวของจ้าวลิ่วตามนามสกุลของแม่ หัวใจของเขาก็รู้สึกสะเทือนเล็กน้อย
“ลูกนอกสมรสของจ้าวลิ่วทั้งหมด พอเลยอายุสิบสองก็ต้องเข้าไปอยู่ในตระกูลจ้าว กลายเป็นผู้ช่วยของจ้าวลิ่ว จ้าวเชียนจูนก็เป็นหนึ่งในนั้น”
เจิงเทียนเสียงรายงานต่อ
“แต่จ้าวลิ่วไม่มีความรู้สึกผูกพันกับลูกนอกสมรสพวกนั้น เขาถือว่าพวกเขาเป็นแค่เครื่องมือในการต่อสู้ ในใจของเขามีแต่ลูกสาว คิดไปถึงขั้นที่ว่าเมื่อถึงเวลาที่เขาแก่ตัวลงแล้ว จะยกตำแหน่งผู้นำให้กับเธอ เป็นเหตุทำให้ลูกนอกสมรสไม่พอใจ “
ฟังถึงตรงนี้ ความเฉียบแหลมก็แว๊บเข้ามาในสายตา บางทีจ้าวลิ่วแม้แต่ตัวเองอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเขาเองได้ปลูกต้นตอของโรคที่นำไปสู่จุดจบของตระกูลจ้าว
“ดำเนินการตรวจสอบต่อไป” ถังเฉาสั่ง
สัญชาตญาณบอกเขาว่า ตระกูลจ้าวเป็นปัจจัยที่ไม่มั่นคง
ทันทีที่เจิงเทียงเสียงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ประตูก็ถูกเคาะอีกครั้ง คราวนี้ เป็นชายวัยกลางคนแปลกหน้าเดินเข้ามา
หัวล้านเล็กน้อย รูปร่างถือว่าไม่สูง สูงแค่หนึ่งเมตรเจ็ด และชุดสูทที่อยู่บนตัวของทำให้เขาดูอ้วนท้วมอย่างชัดเจน
ถังเฉาสังเกตเขา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา พูดว่า “คุณคือจูหาว?”
“คุณคือ?” จูหาวมองไปที่ถังเฉาด้วยความระแวดระวัง
เขาไม่เคยได้ยินชื่อเรียกอาคารกั๋วจี้นี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยเจอเจ้าตัวของถังเฉา
“ ผมเป็นใครไม่สำคัญ”
ถังเฉายิ้มเล็กน้อย มองไปที่จูหาวและพูดว่า “สิ่งที่สำคัญคือผมแก้ปมในใจของคุณ และต่อจากนี้ไปจะทำให้ชีวิตของคุณมีแต่ความราบรื่น”
“ ปมในใจ?”
พอได้ยินแล้ว จูหาวก็หัวเราะออกมา “ผมเป็นรองประธานของหลงเถิงกรุ๊ป เงินเดือนเป็นล้าน จะมีปมในใจอะไร?”
ถังเฉาไม่ได้โกรธ แต่พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “คุณเคยได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งไหม? ถ้าคุณอ่อนแอ ก็เป็นความผิดพลาดในตัวเองอย่างหนึ่ง”
“ หมายความว่าไง?!”
ทันใดนั้นดวงตาของจูหาวเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที ความกดดันในใจกลับเพิ่มขึ้นเท่าตัว
แปะ —-
ถังเฉาโยนเอกสารฉบับหนึ่งลงต่อหน้าจูหาว มองเขาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย และถามว่า “เมื่อสามปีก่อน’เหตุการณ์ 16 มีนาคม’ คุณเป็นคนวางแผนใช่ไหม?”
ซ่า—-
ทันทีที่พูดแบบนี้ สีหน้าของจูหาวก็เปลี่ยนในที่สุด “คุณเป็นใครกันแน่? คิดจะทำอะไร?”
“ ผมบอกแล้วผมเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือผมสามารถแก้ปมในใจของคุณได้”
ถังเฉาพูดอย่างไม่แยแสว่า “เดิมทีก็คิดว่าจะช่วยประธานวางแผน ให้ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น คิดไม่ถึงว่ากลับถูกใส่ร้าย ไม่เพียงแต่ถูกเตะออกจากคณะกรรมการ ยังทำเอาสิ้นเนื้อประดาตัว ตั้งแต่นั้นมาอุดมการณ์ก็หดหู่ ทุกวันก็อาศัยเหล้าแก้กลุ้มไปวันๆ เก็บตัวอยู่ที่บ้านว่างมาหนึ่งปี เข้าร่วมหลงเถิงกรุ๊ป เข้าไปเป็นรองประธานที่ไม่มีอำนาจ ถ้าหากชีวิตของผมเป็นแบบนี้ ผมเลือกที่จะตายไปซะดีกว่า”
จูหาวสีหน้าขาวซีด พริบตาเดียวเหมือนเผชิญกับศัตรู ลุกขึ้นมาทันที แล้วชี้ไปที่ถังเฉา แต่แล้วก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ
“พูดไปพูดมา คุณก็เป็นแค่คนธรรมดา ถึงแม้ว่าคุณจะพยายามสู้จนหมดแรง แต่คุณชายในตระกูลรวยถ้าคิดจะเอานายตาย ก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”
ถังเฉามองจูหาวตั้งแต่บนจรดล่าง แล้วพูดอย่างเย็นชา “ในสายตาคุณ เป็นศัตรูที่ชนะไม่ได้ ในสายตาผมกลับอ่อนแอเหมือนมดตัวเล็กตัวหนึ่ง”
“จะใช้ชิวิตอย่างหดหู่ หรือว่าจะทำคุณไถ่โทษ คุณมีสิทธิ์ในการเลือก”
พูดจบ ถังเฉาก็ลุกขึ้นยืน ไม่สนใจจูหาวที่ถูกความโกรธกดทับจนหายใจไม่ออก แล้วเดินออกไปจากห้องทำงาน
โทรศัพท์ที่อยู่หน้าอก สั่นเล็กน้อย เฟิ่งหวงเป็นคนส่งข้อความมา
“บริษัทและอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดภายใต้ชื่อของตระกูลโจวทั้งหมดถูกปลดล็อค”
“โจวเหม่ยหยูนและหลินฉ่ายเวยต่างก็ไปที่บริษัทโอ้ซินแล้ว”
มองดูสองข้อความ รอยยิ้มบนใบหน้าของถังเฉาค่อยๆยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้น
“แค่ชี้ทางสว่างให้ก็เจริญแล้ว … ”
หลังจากพูดจบ ก็รีบไปที่บริษัทโอ้ชิน
ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องประชุม ก็ได้ยินเสียงหงุดหงิดของโจวเหม่ยหยูน
“ คุณยังต้องคิดอะไร ตอนนี้บริษัทภายใต้ตระกูลโจวถูกปลดล็อคแล้ว ต้องใช้เงินมีเงิน ต้องใช้คนมีคน ในด้านของขนาดและปริมาณ ใหญ่กว่าโรงงานที่ล้มละลายของคุณเยอะ เห็นแก่ที่คุณเป็นสามีของฉันฉันถึงได้มาหาคุณ อย่าเป็นคนไม่รู้จักชั่วดี! “
“ใช่ค่ะ คุณพ่อ พ่อยังลังเลอะไรอยู่คะ?”
เสียงของหลินฉ่ายเวยก็ดังขึ้น “ตอนนี้โรงงานไม่มีแล้ว คนงานก็หนีหมด ในเวลาสั้นๆพ่อไม่สามารถหาคนงานได้ แล้วก็ใกล้เวลาส่งของแล้ว พ่อไม่ได้ของ เงินแม้แต่บาทเดียวก็จะไม่ได้นะ”
สีหน้าของหลินเจิ้นสงเคร่งขรึม โกรธจนสั่นไปทั้งตัว “ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ แต่มีคนที่คอยรังแกคนอย่างพวกเธอ ห้าแสน ก็อยากจะซื้อโครงการนี้ พวกเธอยื่นมือเข้ามาช่วย หรือฉวยโอกาสจะมาปล้น?”
“ หลินเจิ้นสง!”
โจวเหม่ยหยูนโกรธขึ้นมาทันที แววตามองไปที่หลินเจิ้นสงด้วยความโหดร้าย ตะโกนว่า “เรื่องที่คุณให้ฉันโขกหัวขอโทษฉันยอมให้มันผ่านไปได้ แต่โครงการนี้คุณจำเป็นต้องให้ตระกูลโจวมาทำ ไม่มีพวกเรา คุณคิดว่าคุณสามารถทำได้หรอ?”
“ ทำไมถึงทำไม่ได้?”
ทันทีที่โจวเหม่ยหยูนพูดจบ ก็มีเสียงดังก้องกังวาลเข้ามา
ทุกคนหันศีรษะด้วยความประหลาดใจ เห็นถังเฉาก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องประชุมและมองไปที่โจวเหม่ยหยูนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “อาโจวคิดว่าตระกูลโจวทำได้ทุกอย่างหรอ ลืมเรื่องที่เมื่อวานตระกูลโจวสร้างเรื่องเดือดร้อนไปทั่วแล้วหรอ?”
“ถังเฉา ไอ้ขยะอย่างนายอีกแล้วหรอ … “
เมื่อเห็นถังเฉาเดินเข้ามา สายตาของโจวเหม่นหยูนโหดร้ายขึ้นมาทันที
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอรู้สึกว่าถังเฉาน่าเบื่อกว่าหลินเจิ้นสง
“พวกคุณกลับไปเถอะ”
ถังเฉาโบกมือและพูดว่า “โครงการของตระกูลหลินกับลี่จิงกรุ๊ปเป็นไปไม่ได้ที่จะมอบให้ตระกูลโจว แม้ว่าจะมอบให้กับตระกูลโจว แต่ตระกูลโจวจะสามารถทำได้ดีจริงหรอ?”
“ นี่คุณกำลังสงสัยความสามารถของตระกูลโจวหรอ?”
โจวเหม่ยหยูนหัวเราะด้วยความโกรธ และมองไปที่ถังเฉาด้วยความดูถูก “น่าขำ ตระกูลโจวอย่างฉันพูดยังไงก็เป็นครอบครัวอันดับหนึ่งในเมืองหมิงจู พูดถึงการผลิต ความสามารถก็เหนือกว่าตระกูลหลินมาก ฉันทำเพื่อครอบครัวนี้ ตระกูลหลินถ้าอยากเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ยังต้องพึ่งพาพวกเรา พึ่งเขาไม่มีทางสำเร็จ”
สีหน้าของหลินเจิ้งสงดูไม่ได้เลย แต่กลับไม่พูดสักคำ เพราะที่โจวเหม่ยหยูนพูดนั้นเป็นความจริง บ้านพ่อตาแม่ยายของเขา เหนือกว่าเขามาก
“ ถ้างั้นผมคงต้องลองดูหน่อยแล้วหล่ะ”
ถังเฉาไม่รู้สึกหวั่นไหวไปกับ แล้วพูดอย่างนิ่งๆว่า “โครงการนี้ไม่สามารถให้พวกคุณได้ อีกอย่าง พรุ่งนี้ โครงการก็จะถูกสร้างขึ้นมาตามปกติ ถึงเวลานั้นตระกูลโจวและพนักงานทั้งหมดสามารถมาดูได้”
“ เสี่ยวเฉา นายพูดอะไร?”
พอคำพูดนี้ออกมา หลินเจิ้งสงสีหน้าเปลี่ยนทันที เขาใช้สายตาเพื่อส่งสัญญาณให้ถังเฉาหยุดพูด
โจวเหม่ยหยูน หลินฉ่ายเวย โจวเหม่ยหลิง ต่างก็ชะงักไปสักครู่ จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฉันฟังไม่ผิดนะ? พรุ่งนี้ก็สามารถเริ่มงานได้?”
“พวกคุณหนึ่งไม่มีโรงงาน สองไม่มีคนงาน พวกคุณจะเอาอะไรมาเริ่มงาน? อาศัยฝีปากคุณเนี่ยนะ?”
โจวเหม่ยหยูนยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบมองไปที่ถังเฉาและพูดประชดประชันว่า “ดี งั้นพวกเรามาดูกันว่าพรุ่งนี้พวกคุณจะเริ่มงานยังไง”
“แต่ว่า มีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
โจวเหม่ยหยูนหันกลับมาและพูดว่า “ถ้าคุณไม่สามารถเริ่มงานได้ในวันพรุ่งนี้ ก็หมายความว่าคุณไม่สามารถทำโครงการนี้ได้ คุณต้องให้ตระกูลโจวทำ”
“ไม่มีปัญหา” ถังเฉายิ้มและพยักหน้า
เมื่อเห็นว่าถังเฉาตอบว่องไวขนาดนี้ โจวเหม่ยหยูนก็ถึงกับชะงัก
แต่ครู่เดียว เธอก็จ้องมองถังเฉา แล้วพาคนจากไป
ก่อนจากไป มองถังเฉากับกับหลินเจิ้งสงด้วยความดีใจ พูดหยอกล้อว่า
“ พรุ่งนี้ คุณอย่าทำให้พวกเราผิดหวังนะ ถึงเวลา ฉันจะพาคนทั้งตระกูลโจวมาดู ว่าพวกคุณจะเริ่มงานยังไง”