“พรวด”
สายโลหิตสีแดงสดทาทับทั่วทั้งผืนฟ้า กลางอากาศมีศีรษะลูกหนึ่งลอยคว้างอยู่ คมวายุที่เคยลอยระบำก็ได้สลายหายไปพร้อมกับพลังชีวิตของศิษย์ฝ่ายอธรรม
“สำเร็จแล้ว”
ในขณะที่ศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมผู้นั้นได้ล้มลงนอนจมกองโลหิตอยู่บนพื้น ตลอดทั่วทั้งสนามรบก็ได้ไร้ซึ่งวี่แววของศิษย์ฝ่ายอธรรม นี่จึงถือเป็นชัยชนะอันหมดจดของศิษย์ฝ่ายธรรมะเลยก็ว่าได้
ภายในหมู่ผู้คนทั้งหมดมีศิษย์เพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ อีกทั้งยังเป็นอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อพวกเขาได้รับการรักษาจากศิษย์ของศาลาการแพทย์ไปแล้วก็แทบจะฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้ทั้งหมดในทันที
“หลงเฉิน ข้าสังหารคนผู้นั้นได้แล้ว”
ถังหว่านเอ๋อตะโกนเสียงดังเจื้อยแจ้วแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาหลงเฉิน ทว่านางกลับเห็นเพียงใบหน้าเคร่งขรึมและไร้ซึ่งรอยยิ้มของหลงเฉิน แม้แต่ผู้คนที่กำลังโห่ร้องด้วยความยินดีต่างก็ต้องรีบหุบฝีปากลงไปในทันทีราวกับว่าสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดกลัวของหลงเฉิน
“การต่อสู้ในครั้งนี้ถือว่าพวกเราได้เปรียบมากกว่าอย่างถึงที่สุด แล้วเหตุใดพวกเจ้ายังจะกล้าภาคภูมิใจกับชัยชนะในครั้งนี้ออกไปได้อีก?” หลงเฉินเหม่อมองไปยังผู้คนทั้งหมดด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเย็นชา
“ถึงแม้ว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมจะมีกำลังพลเกือบพันคน ทว่ากลับมีศิษย์สายตรงเพียงสี่คนเท่านั้น แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงได้ใช้วิธีการต่อสู้เสมือนกับเด็กเล่นขายของกัน? พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นการละเล่นชนิดหนึ่งหรือ?
เยี่ยจื่อเฟิง เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นถึงสุดยอดมือกระบี่ผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ? คิดว่าสูงส่งมากนักหรืออย่างไรกัน? การที่ได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่ฝีมืออ่อนด้อยกว่าก็ไม่คิดที่จะลงมือเลยอย่างนั้นหรือ?
ไม่แม้แต่จะสนใจว่าผู้คนรอบข้างของเจ้าจะเป็นหรือตายเลยแม้แต่น้อย เอาแต่พุ่งเข้าหากลุ่มคนที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับตัวเอง การกระทำเช่นนี้คือความแข็งแกร่งของเจ้าอย่างนั้นหรือ?
ส่วนศิษย์สายตรงที่เหลือก็อย่าได้คิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือที่ไร้ผู้ต้านภายใต้โลกหล้าแห่งนี้ เพราะพวกเจ้าแต่ละคนต่างก็เป็นได้แค่ตัวโง่งมผู้หนึ่งเท่านั้น”
หลงเฉินทอสีหน้าดุร้ายแล้วหันไปตวาดต่อหน้าผู้คนทั้งหมดด้วยความเกรี้ยวกราด “ข้าเคยบอกพวกเจ้าเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกเราจะต้องรวมกันเป็นหนึ่ง ไม่ใช่แย่งกันเป็นวีรบุรุษของสนามรบ หรือพวกเจ้าอยากจะให้ข้าทำเช่นนั้นด้วย?
พวกเราต้องเชื่อมั่นในหมู่คณะ ร่วมมือกันต่อสู้ให้กับแผ่นหลังของพวกพ้อง คำพูดเหล่านี้ของข้าไม่เคยเข้าไปอยู่ในจิตใจของพวกเจ้าเลยหรืออย่างไรกัน? แล้วแผนการต่อสู้ทั้งหมดที่บอกกับพวกเจ้าไปก่อนหน้านี้ได้ทะลุออกหูขวาไปตั้งแต่รับฟังแล้วอย่างนั้นหรือ?
ศิษย์ฝ่ายอธรรมเหล่านั้นอ่อนแอกว่าพวกเจ้าก็แน่นอนอยู่แล้ว ทว่ากับพวกพ้องของพวกเจ้าไม่ใช่เช่นนั้นเลย การคงอยู่ของศัตรูคือสิ่งที่คุกคามกับพลังชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างมาก
ทว่าพวกเขาทั้งหมดก็พยายามใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อคุ้มกันแผ่นหลังของพวกเจ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วพวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่ คิดว่าพวกเขาเป็นตัวอะไรกัน เป็นเพียงทหารเดนตายหรือเครื่องมือชนิดหนึ่งอย่างนั้นหรือ?”
ศิษย์สายตรงทั้งหมดถูกด่าทอจนใบหน้าชาด้านขึ้นมาเป็นสาย ภายในจิตใจเกิดความละอายเอ่อล้นขึ้นมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ทราบอยู่แก่ใจว่าก่อนหน้านี้ได้หลงระเริงมากจนเกินไปจนเริ่มเปิดศึกต่อสู้เป็นการส่วนตัวกันยกใหญ่ ไม่ได้ดูแลหรือสนใจเหล่าพวกพ้องที่อยู่รอบข้างเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังเกิดจิตมารขึ้นในระหว่างการต่อสู้เพราะเห็นศิษย์สายตรงคนอื่นได้สร้างผลงานโดยการสังหารศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมลงไป เช่นนั้นจึงไม่อยากที่จะน้อยหน้าคนเหล่านั้น จากที่เคยประจำตำแหน่งอยู่เบื้องหน้าขบวนของตัวเองก็เริ่มแยกย้ายกันออกไปฆ่าฟันศัตรูกันอย่างวุ่นวาย ลืมเลือนภาระและหน้าที่ที่หลงเฉินได้บอกกล่าวเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกไปเสียสนิท
เมื่อได้ฟังคำด่าทอจากหลงเฉินก็ทำให้ศิษย์สายตรงหลายคนก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกผิด แม้แต่ความลับในการกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลที่หลงเฉินเคยบอกต่อพวกเขาก็เรียกได้ว่าถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้นด้วยเช่นกัน ไม่แปลกใจเลยที่หลงเฉินถึงได้โกรธเกรี้ยวมากถึงเพียงนี้
“ส่วนเจ้า ถังหว่านเอ๋อ หากเจ้าใช้พลังทั้งหมดโจมตีออกไป มีหรือที่ศิษย์สายตรงผู้นั้นจะต้านทานกระบวนท่าของเจ้าได้ถึงสิบกระบวนท่า?” หลงเฉินหันมากล่าวกับถังหว่านเอ๋อด้วยโทสะ
ถังหว่านเอ๋อตกอยู่ในอาการตะลึงลานขึ้นมาฉับพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินตวาดใส่นางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ “ข้า……”
ในขณะที่ถังหว่านเอ๋อเพิ่งจะเอ่ยวาจาขึ้นมาได้คำเดียว เสียงสะอึกสะอื้นก็ได้ดังขึ้นมาไม่หยุด ฝีปากบางได้แต่ขบเข้าหาจนจนแน่น
ชิงยวูที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นภายในใจจนต้องรีบปรายสายตาไปทางหลงเฉินในทันที ทว่าหลงเฉินกลับไม่ได้สนใจสายตาต่อว่าของนางเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกให้ว่าถ้าหากเจ้าโจมตีออกไปด้วยพลังทั้งหมดที่มี ศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมผู้นั้นจะต้องตายภายในเจ็ดกระบวนท่า ทว่าเมื่อครู่นี้เจ้าใช้ออกไปเกือบห้าสิบกระบวนท่าจึงจะสามารถสังหารเขาได้ แล้วเช่นนี้เจ้ายังพูดได้ว่าสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ สมควรให้ข้ายินดีกับเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?
แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่าการลงมือของเจ้าอาจจะทำให้ขบวนที่อยู่ติดตามมาด้านหลังตกอยู่ในอันตรายได้ หากศิษย์ฝ่ายอธรรมผู้นั้นมีวิชาที่สามารถใช้พิษออกมา ด้วยพลังฝีมืออันแข็งแกร่งของเจ้าคงจะสามารถหลบหนีไปได้ ทว่าผู้คนที่ติดตามเจ้ามาทั้งหมดจะเป็นเช่นไรกัน คิดจะให้พวกเขารับกระบวนท่าแทนเจ้าอย่างนั้นหรือ?
ข้าได้บอกกับเจ้าไม่นับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าศึกในครั้งนี้ไม่ใช่การประลองยุทธ์หรือการแย่งชิงธงของหมู่ตึก เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือการสังหารศัตรูภายในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น
เยี่ยจื่อชิวและกู่หยาง พวกเจ้าเองก็ยังไม่โหดเหี้ยมพอ เห็นๆ กันอยู่แล้วว่ามีโอกาสโค่นศัตรูได้อยู่หลายครั้งด้วยกัน ทว่าพวกเจ้ากลับรีรอไม่กล้าเสี่ยงจนทำให้สูญเสียโอกาสเหล่านั้นไป หากพวกเจ้ายังเกรงกลัวต่อความตายอยู่ก็อย่าฝึกยุทธ์ต่อไปเลย การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างไปจากการเป็นหินลับมีดให้ฝ่ายอธรรมเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ทำให้พวกเจ้าได้เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าแม้จะต้องเผชิยหน้ากับผู้ที่มีพลังการฝึกยุทธ์ที่สูงล้ำกว่าก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด หากจิตใจของเรามีความกล้าพอที่จะเอาชีวิตเข้าแลก แม้แต่ศัตรูก็ยังเกิดหวาดหวั่นไปกว่าครึ่งแล้ว
การลงมือของพวกเจ้าในศึกครั้งนี้ทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จงไสหัวไปให้ไกลจากข้าให้หมด ข้านำพาพี่น้องทั้งสองคนของข้าพร้อมกับพวกพ้องที่เหลือไปล่าสังหารศัตรูยังจะดีเสียกว่ามายืนดูการลงมือไร้สาระของพวกเจ้าจนมีโทสะขึ้นมาเช่นนี้!”
หลงเฉินด่าทอขึ้นมาด้วยโทสะที่ไม่เสื่อมคลายลงไปเลยแม้แต่น้อย ตลอดการเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ก็ได้อธิบายความออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ทว่าศิษย์สายตรงเหล่านี้กลับลืมเลือนสิ่งที่เขากำชับขึ้นมาจนหมด ต่อให้เปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็คงจะรับไม่ได้เช่นกัน
“หลงเฉิน ข้าผิดไปแล้ว……เจ้าหยุดโมโหเถิด ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูดแล้ว เจ้า….ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่?”
ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงสะอึกสะอื้น นางทราบดีว่าโทสะของหลงเฉินเกินกว่าครึ่งนั้นเป็นเพราะการลงมือของนางเอง อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังเป็นนางที่ขอร้องให้หลงเฉินเป็นผู้นำเพื่อทำให้ทุกคนสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ ทว่านางกลับทรยศต่อเจตนาเดิมของตัวเองไปจนหมดสิ้นเอง ซึ่งก็เป็นการทำลายความมุ่งมั่นของหลงเฉินด้วยเช่นกัน
“ต้องปล่อยให้มีคนใกล้ตัวของเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาก่อนหรือจึงจะทำให้เจ้าเข้าใจถึงความเจ็บปวด? จงกลับไปคิดเสียเถิดว่าเป้าหมายในการต่อสู้ครั้งนี้ของเจ้าคืออะไรกัน? กลับเข้ากลุ่มไปได้แล้ว” หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทีที่สงบที่สุด
ถังหว่านเอ๋อกัดริมฝีปากแน่นแล้วก้มหน้าก้มตาเดินกลับเข้าขุมกำลังของตัวเองไป ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบงันประดุจป่าช้า แม้แต่เหล่าทหารที่กำลังยินดีกับการมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็ยังไม่กล้าลิงโลดเฉกเช่นก่อนหน้านี้
หลงเฉินถอนหายใจอีกครั้งแล้วหันไปกล่าวกับผู้คนทั้งหมดว่า “อย่าได้ปล่อยให้เกิดการสูญเสียแล้วถึงจะรู้สึกตัว อย่าได้ปล่อยให้เกิดการสูญเสียจนรู้สึกเจ็บปวดใจ อย่าได้ปล่อยให้เกิดการสูญเสียแล้วค่อยตระหนักได้ว่าสมควรที่จะปกป้อง
ข้าจะขอบอกกับพวกเจ้าโดยไม่เกรงใจเลยว่าจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้หากเหลือรอดกลับมาได้ครึ่งเดียวก็ถือว่าเป็นเมตตาจากสวรรค์แล้ว
หากพวกเจ้ายังไม่รู้จักโตเป็นผู้ใหญ่ก็รีบตายไปกันเถิด ปัญหาทั้งหมดจะได้สิ้นสุดไป เพราะถ้าหากพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็มีแต่จะต้องรู้สึกผิดจนเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต! มีเพียงการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นที่จะทำให้พวกเจ้าไม่มีตราบาปติดตัว!”
“ศิษย์พี่หลงเฉิน ได้โปรดเชื่อใจพวกเราอีกครั้งหนึ่งเถิด ความผิดพลาดเช่นนี้จะเกิดขึ้นแค่ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีครั้งที่สองอย่างแน่นอน”
ศิษย์สายตรงทั้งหมดต่างก็ส่งเสียงขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ภายในจิตใจของพวกเขาต่างก็ยอมรับหลงเฉินไปอย่างหมดจดแล้ว ไม่เพียงแค่ด้านพลังการต่อสู้ ทว่ายังรวมไปถึงด้านสติปัญญาและทัศนคติที่สูงล้ำของเขาด้วย
หลงเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “และหากว่าข้าคาดเดาไม่ผิด ในขณะนี้เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์พี่ทั้งหมดคงจะเริ่มเปิดศึกกับยอดฝีมือของฝ่ายอธรรมกันแล้ว หลังจากนี้พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาพลังของตัวเอง
เพราะว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมเหล่านี้เป็นเพียงแนวหน้ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น ยังมียอดฝีมือของฝ่ายอธรรมที่มีพลังฝีมืออันสูงล้ำกำลังจะบุกเข้ามาบริเวณโดยรอบนี้ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็คงอยู่ในระหว่างการเดินทางอยู่
การที่เรามาอยู่ในบริเวณที่ใกล้กับฝ่ายอธรรมที่สุดก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นก็คือจะไม่มีผู้ใดมาแย่งพวกเราตัดศีรษะของศัตรูได้เลย!”
เมื่อเบื้องหน้าสายตาของพวกเขาปราศจากฝนฟ้าคะนองอย่างบ้าคลั่งแล้ว ใบหน้าของทุกคนก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาด้วยความยินดีอย่างถึงที่สุด
“จู่โจมกันเข้ามาเลย ข้าอยากจะตัดศีรษะของพวกชั่วช้าเหล่านั้นแล้ว!” จู่จู่อาหมานก็แผดเสียงคำรามขึ้นมา
หลงเฉินจึงหันไปบอกกล่าวต่ออาหมานว่า “เจ้าก็ลงมือให้เบาๆ หน่อยเถิด การทุบของเจ้าทำให้สูญเสียแต้มคะแนนไปถึงยี่สิบหมื่นเลยนะ”
“ก็คนผู้นั้นเอาแต่จ้องเขม็งมาที่ข้าเอง” อาหมานกล่าวขึ้นมาพร้อมกับหวดเขี้ยวหมาป่าในมือไปมาด้วยความหมายตัดพ้อว่าตัวเองควรจะเป็นฝ่ายถูกมากกว่า
“เอาเถิด หลังจากนี้ก็ให้ทุบตีไปที่ท่อนล่างแล้วเหลือศีรษะเอาไว้ก็พอ” หลงเฉินกล่าวอย่างอับจนปัญญา พลันก็หันไปถามพลทหารผู้หนึ่งว่า “ขอเรียนถามว่าในละแวกใกล้เคียงนี้มีกำแพงเมืองอยู่อีกหรือไม่?”
“เรียนใต้เท้าผู้มีพระคุณยิ่ง หากมุ่งหน้าไปทางใต้อีกแปดร้อยลี้จะพบเมืองที่มีกำแพงสูงใหญ่กว่าทางนี้กว่าสิบเท่า ทว่าผู้น้อยไม่ทราบว่าที่แห่งนั้นได้ถูกโจมตีไปแล้วหรือไม่” พลทหารยกมือคารวะแล้วกล่าว
หลงเฉินพยักหน้าแล้วยกหัวแม่มือขึ้นมาต่อหน้าพลทหารทั้งหมด “ใช้ชีวิตของตัวเองเข้าปกป้องบ้านเมืองและชาวบ้านเอาไว้ได้ พวกท่านนั้นสมกับเป็นผู้กล้าที่แท้จริง”
เมื่อหลงเฉินกล่าวจบก็ได้นำพาพวกพ้องทั้งหมดมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ในทันที ในขณะที่เดินทางมาเพียงไม่นานนักก็ได้พบกับคนของหมู่ตึกกำลังพาชาวบ้านหลบหนีออกไป
ถึงแม้ว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมที่พวกเขาเพิ่งจะโค่นล้มลงไปเป็นแนวหน้าที่มีความโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ทว่าพวกเขากลับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกองทัพเท่านั้น เนื่องจากยังมียอดฝีมือฝ่ายอธรรมชั้นสูงอยู่ในแนวหลังอีกมากมาย
พวกเขาเหล่านี้ก็คล้ายกับหมาป่ากลุ่มหนึ่งที่ตามเข่นฆ่าเหยื่อผู้ไร้ทางสู้อย่างบ้าคลั่งไม่หยุดเพื่อทำให้พลังการฝึกยุทธ์และจิตวิญญาณของอาวุธแข็งแกร่งขึ้น ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณของชาวบ้านเหล่านั้นจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับศิษย์ฝ่ายธรรมะก็ตามที ทว่าหากเป็นปริมาณที่มากมายก็สามารถทดแทนกันได้
หลังจากที่หลงเฉินวิ่งนำผู้คนจนเบื้องหน้าสายตาของพวกเขาก็มีกำแพงเมืองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ทว่าบริเวณทางเข้าเมืองกลับมีศิษย์ฝ่ายอธรรมกว่าหนึ่งพันคนกำลังวิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
“แย่แล้ว ศิษย์ฝ่ายอธรรมกำลังจะเข้าไปในเมืองแล้ว”
ทุกคนทอสีหน้าแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ หากศิษย์ฝ่ายอธรรมบุกเข้าไปในเมืองได้คงจะต้องเข่นฆ่าชาวบ้านและพลทหารเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
หลงเฉินและพวกพ้องจึงเร่งฝีเท้าหมายที่เข้าไปสังหารศิษย์ฝ่ายอธรรมเหล่านั้นให้เร็วที่สุดเพื่อเป็นการลดทอนอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับชาวบ้านและพลทหารเหล่านั้นให้น้อยที่สุดด้วย
ทว่าจู่จู่รูม่านตาของหลงเฉินก็ขยายใหญ่ขึ้นมาเมื่อเห็นว่าด้านบนของประตูเมืองมีชายหนุ่มในชุดคลุมยาวกำลังยืนอยู่ อีกทั้งยังเปิดเผยให้เห็นใบหน้าตั้งแต่ส่วนจมูกลงมาเท่านั้น
ในมือข้างซ้ายของเขามีคันธนูยาวสีรุ้งที่ให้ความรู้สึกเก่าแก่และงดงาม มือข้างขวากำลังง้างสายธนูออกไปช้าๆ พลันคมศรสีทองสายหนึ่งก็ได้พุ่งออกมาจากคันธนูเล่มงามอย่างรวดเร็ว
“ลูกศรทลายเมฆา”
เสียงทุ้มต่ำทว่าเย็นเยียบหลุดออกมาจากฝีปากของชายหนุ่มคล้ายกับเป็นเสียงสวดท่องคัมภีร์ของเหล่าเทพบนสรวงสวรรค์ ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะไม่ใช่การตะโกน ทว่ากลับทำให้ผู้คนภายในระยะหลายร้อยลี้สามารถได้ยินทุกถ้อยคำได้อย่างชัดเจน
เมื่อเสียงของชายหนุ่มทอดลงไป ประกายแสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งเข้าไปทางศิษย์ฝ่ายอธรรมกลุ่มนั้นในทันที