Advent of the Archmage – ตอนที่ 179: วิกฤติที่ใกล้เข้ามา

หอคอยอสุรา, สถาบันเวทมนตร์อีสโควฟ
มีหอคอยสีขาวแห่งนึงตั้งตระง่านอยู่ เสมือนกับชายแก่เขร่งขรึมที่ยืนอย่างเงียบสงบตรงเนินเขาเฝ้ามองทั้งสถาบันเวทมนตร์อีสโควฟ
มันคือสถานที่สำหรับพวกปีศาจและพวกชั่วร้ายที่ถูกขับไล่จากโลกภายนอกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้มีความลับมากมายถูกฝังเอาไว้ในหอคอยแห่งนี้ ซึ่งแม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่แห่งสถาบันเวทมนตร์อีสโควฟก็ไม่อาจจะขุดมันขึ้นมาได้
มีอะไรเกิดขึ้นในหอคอยสีขาวแห่งนี้? นักโทษที่อยู่ข้างในนั้นกำลังคิดวางแผนทำอะไรกัน? เรื่องพวกนั้นไม่มีใครอาจจะรู้ได้
เบล นั่งไขว่ห้างอยู่ในกรงของเขาในหอคอยสีขาว ดูจากภายนอกแล้วมันดูเหมือนกับว่าเขาจะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร การ์ดประจำหอคอยที่มีหน้าที่ในการรักษาสมดุลของธาตุในร่างกายของนักโทษเดินผ่านเขาไปโดยไม่ได้ชายตามองเลย
ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่า เบล นั้นมีระดับจิตวิญญาณที่ดีมาก เขากำลังคุยกับนักโทษคนหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในชั้นใต้ดินลึกของหอคอยแห่งนี้
“นี่เจ้าคิดจะให้ข้าเชื่อหุ่นเชิดอย่างเจ้าเนี่ยนะ?” เสียงที่ดูมืดมนดังขึ้นในหัวของ เบล “นี่เจ้าคิดจริงๆเหรอว่าข้าจะเชื่อว่าเจ้าสามารถพาพวกข้าหนีออกไปได้?” เจ้าของเสียงนั้นถูกขังอยู่ที่นี่เป็นเวลากว่า 300 ปีแล้ว ดังนั้น เบล ที่มีอายุ 70 ปีนั้น ในสายของของเขาจึงเป็นแค่เด็กน้อยคนนึงเท่านั้น

 

“ข้าขอเอาวิญญาณของข้าเป็นประกันเลย” เบล สาบาน “ข้าจะหาทางพาพวกเราหนีให้ได้”

“เฮอะ! เอาวิญญาณของเจ้าเป็นประกันงั้นหรอ! มันอาจจะคุ้มกับเงินเพียงแค่ไม่กี่เหรียญทองแดงเท่านั้นแหล่ะ!” มีอีกเสียงดังขึ้นมา “แต่ว่า แผนการของเจ้าก็ไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นนะ ถ้า ทราวิส ถูกปล่อยออกมา ทั้งสถาบันอีสโควฟจะต้องถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านแน่”
“แต่ถึงอีสโควฟจะกลายเป็นกองขี้เถ้าแล้วยังไงหล่ะ? มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าอยู่ดีนี่” เสียงนี้ดูโหดร้ายเป็นอย่างมากเพราะว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นสัตว์วิเศษที่มีระดับสติปัญญาสูง “ไอกลุ่มคนน่าสมเพศที่เรียกตัวเองว่านักเวทย์ขังข้าเอาไว้ที่นี่เป็นเวลากว่า 200 ปีแล้ว! ข้ารอไม่ไหวแล้ว ข้าจะออกไปกินพวกมันให้หมด!”
“แน่นอนสิว่าสถาบันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแก แกมันก็แค่สัตว์ดุร้ายตัวนึง!” มีอีกเสียงนึงตอบ “แต่ว่าข้าเป็นสมาชิกของสถาบัน และพวกที่จับข้ามาขังไว้ก็ตายไปหมดแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่มีเหตุผลให้เกลียดสถาบันแล้ว”
“ถูกต้อง” มีเสียงดังประสานขึ้นพร้อมกัน “ข้าไม่เชื่อในแผนการที่มีสัตว์ป่ารวมอยู่ด้วยหรอก!”
“แกเรียกใครว่าสัตว์ป่าห้ะ!” เสียงของสัตว์วิเศษดังขึ้น “พอข้าออกไปได้ข้าจะกัดหัวของพวกเจ้าทุกคนให้ขาดเลย!”
“ไอสัส เย็xแม่เอ้ย!” มีอีกเสียงตอบกลับมาในทันที
เป็นช่วงเวลาหนึ่ง ที่กลุ่มสัตว์ประหลาดที่ถูกขังอยู่ในหอคอยแห่งนี้เป็นเวลากว่า10ปีหรือแม้กระทั่ง100 ปีได้เริ่มด่าทอกันในจิตใจของ เบล พวกเขาลืมไปหมดแล้วว่าพวกเขามาคุยเรื่องอะไรกันในตอนแรก

หัวของ เบล แทบจะระเบิดกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสื่อสารทางจิตกับนักโทษคนอื่นในหอคอยอสุรา ทุกครั้งที่พวกสัตว์ประหลาดพวกนี้มารวมตัวกันพวกเขามักจะจบด้วยการตีกันเสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยตกลงอะไรกันได้เลย
จากนั้นเขาก็หยุดใช้เวทย์เชื่อมต่อวิญญาณ และเสียงทั้งหมดในหัวของเขาก็หายไปในทันที โลกกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
ข้าจะทำยังไงดีนะ? เบล คิดพลางกับนวดขมับของเขาไปด้วย เขาฟื้นฟูมานาในร่างกายของเขากลับมาได้ 70% ของพลังดั้งเดิมของเขาแล้วและดวงตาของเขาก็กลับมาทำงานได้แล้ว ซึ่งนี่มันเป็นการพัฒนาที่ดีจริงๆ
ด้วยพลังขนาดนี้ เขาน่าจะสร้างความวุ่นวายในหอคอยอสุราได้ แต่ก็ไม่อาจจะทำลายมันได้ ในตอนนี้, เขาอาจจะยังไม่สามารถจัดการกับการ์ดประจำหอคอยที่เดินผ่านกรงของเขาทุกวันได้ ซึ่งการโจมตีของพวกเขานั้นง่ายมาก พวกเขาเพียงแค่ยิงลูกศรธาตุออกมาอย่างต่อเนื่อง และมันก็เคลื่อนเร็วมากและมีพลังเท่ากับเวทย์เลเวล 6
เมื่อคุณถูกล้อมด้วยการ์ดจำนวนมากและโจมตีคุณด้วยลูกศรธาตุมากมายหลายแบบนั้น มันไม่เกี่ยวหรอกเลเวลคุณจะสูงขนาดไหนหรือแข็งแกร่งขนาดไหน ความจริงก็คือ แม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่ แอนโทนี่ เองก็ไม่อาจหนีออกจากสถานการณ์เช่นนั้นได้โดยไร้รอยขีดข่วน
มีทางเดียวที่สามารถทำลายหอคอยอสุราและหนีออกจากที่นี่ได้ก็คือการปลดปล่อยปีศาจ ทราวิส และทางเดียวที่จะทำอย่างนั้นได้ก็คือต้องรวมพลังของนักโทษทั้งหมดในหอคอยนี้ แต่ว่าพวกนักโทษนั้น…. พวกเขามาจากหลายๆที่และมีเบื้องหลังที่แตกต่างกัน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะให้พวกเขามาร่วมมือกัน
ขณะที่ เบล กำลังครุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกวูบไปแปปนึง ทันใดนั้นเขาก็เห็นแสงสีขาวปรากฏขึ้นภายในส่วนลึกของจิตใจของเขา และแสงนั้นมันก็ชัดเจนมากจนเขาสามารถมองเห็นมันได้
จากนั้นเขาก็หมดสติไป
หลังจากนั้น เบล ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเป็นตาของ ลิซ ที่ดวงตาทั้งสองข้างลุกไหม้ด้วยไฟสีเขียว สีของไฟนั้นมันไม่เหมือนเดิมเพราะว่าร่างกายของเขานั้นถูกคนอื่นสิงอยู่

 

ไม่เลวเลยนี่ เบล คนใหม่คิด ตาแก่นี่ขยันมาก พละกำลังของมันฟื้นฟูขึ้นมากเลยในเวลาไม่กี่เดือนมานี้
เบล ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่เขาจะสลบไป แต่มันน่าจะเกี่ยวข้องกับรูนสื่อสารที่เขาแตะไปก่อนหน้านี้
หัวหน้าสภาซิลเวอร์มูนของดาร์กเอลฟ์, แมนรอต เป็นนักเวทย์เลเวล 8 ที่แทบจะไร้คู่ต่อสู้ เขาแข็งแกร่งกว่านักเวทย์ทั่วไปมาก เป็นรองแค่ราชินีแห่งไฮเอลฟ์เท่านั้น

ด้วยรูนสื่อสาร แมนรอต สามารถส่งเสียงเข้าไปในจิตใจของ เบล ได้ และเขาก็สามารถส่งสิ่งต่างๆเข้าไปในจิตใจของเขาได้เช่นกัน รวมทั้งเมื่อถึงเวลาจำเป็น เขาก็สามารถควบคุมร่างกายของ เบล โดยใช้กระแสจิตได้ด้วย
แต่การควบคุมร่างกายของ เบล แบบนี้ก็มีข้อจำกัดที่มากมายเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือเวลา มันไม่ใช่เพราะร่างกายของ เบล รับมันไม่ไหว แต่วิญญาณของ แมนรอต เองนั่นแหละที่ไม่สามารถทนต่อการส่งพลังงานอันมหาศาลออกมาจากร่างของเขาได้ ถ้าเกิดว่าเขาข้ามขีดจำกัดของเขาไปหล่ะก็ วิญญาณของเขาก็จะสลายไปในทันที
ฉันสามารถอยู่ที่นี่ได้แค่ 3 วันสินะ แมนรอต คิด  แต่ว่าความสำเร็จของแผนกบฏจันทราทมิฬนั้นขึ้นอยู่กับแผนการนี้ ดังนั้นเขาจะทำมันพลาดไม่ได้
โดยปกติแล้วมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เขามาทำภารกิจที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้  แต่ว่าแผนการได้เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่กองทหารของอาณาจักรนอร์ตันแข็งแกร่งขึ้น ดาร์กเอลฟ์พ่ายแพ้ไปมากมายหลายครั้งและสูญเสียข้อได้เปรียบทางกลยุทธ์ไป ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันก็มีความเป็นไปได้ที่อาณาจักรพาแลคจะพ่ายแพ้ ต่อให้มีการเปิดใช้อุปกรณ์เทพก็ตาม
และแล้วเขาก็มาที่นี่
เขาตรวจดูความทรงจำของ เบล และเข้าใจสถานการณ์ในหอคอยอย่างรวดเร็ว
มีแต่พวกโง่เต็มไปหมด แมนรอต คิดพร้อมกับยิ้มมุมปาก
มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปคุยด้วยเหตุผลกับไอพวกโง่อย่างนี้ ทางที่ดีที่สุดก็คือการแสดงความยิ่งใหญ่ พลังและความมั่นใจ พวกเขาจะเชื่อในตัวคุณอย่างรวดเร็วถ้าพวกเขารู้ว่าคุณมีสิ่งที่กล่าวมา จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มเชื่อคุณว่า คุณจะสามารถพาพวกเขาออกจากที่นี่ได้จริงๆ
โชคร้ายที่ เบล ไม่มีพลังในการทำเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงติดอยู่กับการใช้เหตุผลกับพวกโง่ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องจบลงด้วยการทะเลาะวิวาท
จากนั้น แมนรอต ก็ตรวจสอบพลังที่ร่างของ เบล มี และเขาก็เลือกที่จะร่ายเวทย์ลึกลับอีกครั้ง-เชื่อมต่อวิญญาณ

เชื่อมต่อวิญญาณ

เวทย์ลึกลับเลเวล 6

ผล: สร้างเครือข่ายการสื่อสารที่ลับมากๆโดยการเชื่อมต่อผู้ใช้เข้ากับวิญญาณที่อยู่รอบๆตัวผู้ใช้ผ่านทางพลังงานมานาลึกลับ

(หมายเหตุ: ต้องการที่จะสื่อสารกับคนอื่นแบบลับๆงั้นเหรอ? งั้นเรียนเวทย์นี้สิ)
จากนั้นเมื่อเวทย์ถูกร่าย แมนรอต ก็สังเกตเห็นจุดของแสงรอบตัวเขา เขารู้ว่าแสงพวกนี้คือวิญญาณ และวิญญาณพวกนี้ก็คือนักโทษทั้งหมดที่อยู่ในหอคอยอสุรา

วิญญาณพวกนี้ค่อยๆถูกเชื่อมต่อทีละคนๆ และเสียงของพวกเขาก็เริ่มที่จะดังในหัวของ แมนรอต
“ไอระยำ!” เสียงพูดขึ้นมา “ข้ากำลังพูดอยู่เลย ทำไมแกถึงหยุดไอเวทย์บ้านั่นห้ะ?”
“ไอลูกกะxรี่” อีกเสียงนึงพูดขึ้นมา “คนอย่างแกจะพาพวกเราออกจากที่แย่ๆอย่างนี้ได้จริงเรอะ?”
“ไอหนู ข้าจะบอกให้” มีอีกเสียงดังขึ้นมา “ข้าสัญญาว่าจะร่วมมือกับเจ้า แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อย ทราวิส หล่ะก็ ข้าขอไม่เอาด้วยนะ!”
เสียงนั้นปะปนกันจนกลายเป็นเสียงรบกวน แต่ แมนรอต ก็ยังคงใจเย็นและรอให้เสียงมันสงบลงก่อนที่เขาจะเข้าไปร่วมพูดคุยด้วย
“ข้าจะไม่พูดมาก” ในที่สุดเขาก็พูด “ดูที่แปลนผนึกเวทมนตร์นี่ซะ” ขณะที่เขาพูด เขาก็ส่งแปลนผนึกเวทมนตร์ให้กับวิญญาณทุกคนที่อยู่ที่นี่
“ไอนี่มันคืออะไร?” สัตว์วิเศษที่ดุร้ายพูด เขาเชื่อเฉพาะเขี้ยวเล็บของเขาเองเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยจะสนใจเกี่ยวกับผนึกเวทมนตร์หรืออะไรอย่างอื่นเลย
แต่สำหรับคนอื่นนั้นแตกต่าง นักโทษส่วนใหญ่ในหอคอยอสุรานั้นเป็นนักเวทย์ ในตอนที่ แมนรอต ส่งแปลนผนึกเวทมนตร์ไปให้ นักเวทย์พวกนี้เพียงแค่มองไปที่มันเท่านั้นก่อนที่จะเริ่มเข้าใจเนื้อหาของมัน ในเวลาไม่นานพวกเขาก็เริ่มจมลงสู่ความเงียบ

ใช่แล้วก่อนที่พวกเขาจะถูกจับขังไว้ในหอคอยต้องสาปนี้ นักโทษส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ในจุดสูงสุดของช่วงเวลาของพวกเขา คุณสามารถเจอจอมเวทย์เลเวล 6 ได้ทั่วไปในหอคอยนี้ และยังมีบางคนที่เป็นเลเวล 7 ถึงแม้ว่าในพวกเขาจะไม่มีเลเวล 8 เลยก็ตาม ในตอนที่พวกเขามองไปที่แปลนผนึกเวทมนตร์ พวกเขาต่างก็อึ้งจนพูดไม่ออก

เป็นเวลานาน ที่เสียงในหัวของ แมนรอต นั้นลดลงไปถึง 90% เพราะพวกเขาส่วนใหญ่นั้นต่างก็เงียบกันหมด
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดก็มีนักเวทย์คนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ด้วยสิ่งนี้ ข้ามั่นใจว่าพวกเราจะสามารถออกจากที่นี่ได้” เขาพูด
“แต่ ทราวิส ก็ต้องถูกปลดปล่อยออกมาด้วยนะ…”คนอื่นตอบ
“ข้าไม่ห่วงเรื่องสถาบันหรอก” มีอีกเสียงนึงตอบขึ้นมา “ข้าต้องการแค่จะออกจากที่นี่เท่านั้น!”
“ข้าจะเข้าร่วมแผนการนี้ด้วย!” นักโทษคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น

“เฮ้ พวกแกพูดเรื่องบ้าอะไรกัน?” สัตว์วิเศษถาม “พวกแกเข้าร่วมอะไรกัน?” เขารู้สึกได้ว่าแผนการในครั้งนี้มีโอกาสที่จะสำเร็จ สิ่งนี้จะให้โอกาสเขาได้มีอิสระในการออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ด้วยความที่เป็นสัตว์วิเศษที่มีสติปัญญาสูง ไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการอีกแล้วนอกจากการได้เป็นอิสระอีกครั้ง เขายังคงจำสัตว์เพศเมียที่มีขนสวยๆที่อยู่ในป่าเขตร้อนทางใต้ได้อยู่เลย ร่างกายอันนุ่มนวล เสียงคำรามอันน่าดึงดูด-เขายังคงจำทุกรายละเอียดได้แม้ว่าเขาจะถูกจำคุกมาเป็นศตวรรษแล้วก็ตาม
แมนรอต ไม่สนใจเจ้าสัตว์ร้ายและคุยกับพวกนักเวทย์ต่อ
“ถ้าเกิดว่าไม่มีใครปฏิเสธ” เขาพูด “งั้นพวกเราจะเริ่มแผนการกันคืนนี้เลย มีคำถามไหม?”
เกิดความเงียบขึ้นในจิตใจของ แมนรอต จากนั้นในที่สุดก็มีคนตอบออกมา
“เอาสิ” “มันจะดีที่สุดถ้าเราเริ่มมันเลยคืนนี้”
“เห็นด้วย” มีเสียงตอบพร้อมกันเป็นจำนวนมาก
“เฮ้ อย่าลืมข้าด้วยสิ!” สัตว์ร้ายพูด “เอาข้าไปกับเจ้าด้วย ข้าจะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน พวกเราจะทำอะไรกันหน่ะ? ฮัลโหล?” เสียงของสัตว์ร้ายนั้นได้สูญเสียความดุร้ายไปแล้วและเริ่มกระวนกระวายเล็กน้อยในตอนนี้ ดูเหมือนว่าทุกคนจะทิ้งเขาเอาไว้ เขาไม่ต้องการที่จะถูกทิ้งอยู่ในสถานที่ที่เปียกชื้นเช่นนี้!
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทะเลาะกันมาโดยตลอด แต่พวกเขาก็อยู่ด้วยกันมาเป็นศตวรรษ แล้วพวกเขาจะทิ้งเขาไว้เพียงเพราะแผนการที่ดูดีนี้งั้นเหรอ? มันจะโหดร้ายเกินไปแล้ว!
แต่ว่า ไม่ว่าเขาจะพยายามส่งเสียงยังไง ก็ไม่มีใครสนใจเขาอีกเลย
จากนั้น อยู่ๆก็มีเสียงแหบแห้งดังขึ้นในหัวของ แมนรอต
“ข้าไม่เอาด้วย” เสียงนั้นพูดขึ้นมา “ข้าจะอยู่ที่นี่ ยังไงซะที่นี่ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวหรอก”
“เฮอะ!เจ้าแน่ใจนะ?” แมนรอต ไม่เข้าใจว่าเจ้าของเสียงนั้นคิดอะไรถึงตัดสินใจแบบนั้น
“แน่นอน ข้ามั่นใจ” เสียงนั้นตอบอย่างเยือกเย็นและแน่วแน่ จากนั้นเขาก็พูดต่อ “พวกเจ้าทุกคนรู้ใช่มั้ยว่าแผนการนี้จะทำลายทั้งสถาบันอีสโควฟจนเละไม่เหลือสิ้นซาก? ไม่สิ ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากที่ ทราวิส ถูกปลดปล่อย ทั้งดินแดนแห่งแสงจะถูกทำให้กลายเป็นเถ้าถ่าน ข้า แวนซ์ ข้าอาจจะทำความผิดมากมายในอดีต แต่ข้าก็ไม่มีวันเข้าไปมีส่วนร่วมกับแผนการชั่วร้ายแบบนั้นเด็ดขาด แกมั่นใจนะว่าแกเป็น เบล คนเดียวกับที่คุยกับเราก่อนหน้านี้? แกพูดเหมือนกับเป็นคนละคนกันเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่-“

ก่อนที่ แวนซ์ จะพูดจบ แมนรอต ก็ตัดการเชื่อมต่อวิญญาณของ แวนซ์ ออกจากเครือข่าย ซึ่งนั่นทำให้เสียงของเขาหายไปจากหัวของทุกคน
“พวกเราจะไม่เป็นไรต่อให้ไม่มีเขาก็ตาม”แมนรอต พูด “ข้าคือคนที่ต้องการจะออกจากที่นี่ มีใครจะไปกับข้ามั้ย?”
“ข้า!”
“แด่อิสระภาพ!”
“เฮ้ แล้วข้าล่ะ?” สัตว์วิเศษพูดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีใครสนใจเขา
“ดีมาก ถ้างั้น”แมนรอตพูด”พวกเราจะเริ่มแผนการกันในคืนนี้!”

Advent of the Archmage

Advent of the Archmage

Type: Author: , ,
เรื่องย่อ ลิงค์เป็นอาร์จเมจที่เก่งที่สุดในทุกๆเซิร์ฟเวอร์ เขาเพิ่งจะโค้นล้มบอสที่แข็งแกร่งที่สุด,เจ้าแห่งความลึก โนโซม่า ด้วยปาร์ตี้ของเขา อย่างไรก็ตาม,แทนที่เขาจะกลับไปที่เมื่อง เขากลับถูกส่งตัวไปที่พื้นที่ลับด้วยพิกเซลCG มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสูญญากาศ และภายในนั้นก็ได้มีเสียงที่ยิ่งใหญ่และมากด้วยอำนาจที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าแห่งแสงสว่างดังขึ้น “ลิงค์ เจ้าเต็มใจที่จะเป็นผู้ช่วยชีวิตที่จะดึงโลกแห่งฟิรูแมนออกจากความปั่นป่วนไหม?” ภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้มันอะไรกัน! ถ้ามันเป็นโลกจริง ลิงค์ คงจะปฏิเสธไปในทันที อย่างไรก็ตามเขาก็มีความแน่วแน่ที่จะเป็นฮีโร่ในเกมส์ “จัดไปเลย!” ลิงค์ ตอบอย่างมั่นใจ “ถ้างั้นก็ขอให้เจ้าโชคดี” และนั่นจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่เต็มไปด้วย เวทย์มนตร์,มิตรภาพ,การทรยศ,ความรัก และความสิ้นหวังของ ลิงค์ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของฟิรุแมน Link was the top Archmage in the entire server. He had just defeated the strongest boss, the Lord of The Deep, Nozama with his party. However, instead of going back to town, he was transported to a secret location with pixelated CG. It sort of felt like a vacuum, and within it came a glorious and commanding voice that calls himself the God of Light. “Link, would you be willing to be the saviour who will pull the World of Firuman out from the churning abyss?” What a huge mission! If it was in the real world, Link would have rejected it immediately. However, he was bent on being the hero in game. “Bring it on!” Link answered confidently. “Then, best of luck.” And so began Link’s journey of magic, friendship, betrayal, love and despair in the ever changing World of Firuman.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset