บทที่ 587 ไฟที่ลุกโหมไหม้บ้าน
แต่คนที่ทำให้เธอต้องมาท้องตอนแก่ก็คือโจวชิงไป๋ ซึ่งชะตาได้ลิขิตมาแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
“อย่ากลัวไปเลยครับ” โจวชิงไป๋พูดปลอบ
“พอคลอดเสร็จแล้ว ตอนพวกเราจะกลับ คุณก็ไปจัดการกับรถคันนี้เสียนะคะ ใครอยากได้ก็ขายให้เขาไปเลย” หลินชิงเหอพูด
“ทำไมต้องขายล่ะครับ” โจวชิงไป๋พูดอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ขายแล้วคุณจะขับกลับไปเหรอคะ? ฉันได้ยินเจ้าสามบอกว่าข้างนอกนั้นวุ่นวายเละเทะมาก” หลินชิงเหอพูด
โจวชิงไป๋เหลือบมองภรรยาอย่างจนใจ แล้วก็เอ่ยขึ้น “ภรรยาครับ คุณลืมไปแล้วเหรอว่าพวกเราขนรถบรรทุกกลับปักกิ่งกันไปยังไง?”
หลินชิงเหอนิ่งอึ้งไป หลังจากนั้นก็มองโจวชิงไป๋อย่างกระอักกระอ่วน พอเธอท้องแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองจะ….โง่ลงไป 3 ปีหรือเปล่านะ?
“หึ ภรรยา กินเค้กข้าวก่ำหน่อยไหมครับ?” โจวชิงไป๋เปลี่ยนเรื่องพูด
หลินชิงเหอเหลือบมองเขาด้วยความเคืองขุ่นเงียบ ๆ ก่อนจะพูด “เอามาให้ฉันชิ้นหนึ่งค่ะ”
เธอเปลี่ยนความคับแค้นใจมาลงกับความหิวแทน หลังจากที่บอกว่าจะกิน 1 ชิ้น เธอกลับหยุดกินจริง ๆ ในชิ้นที่สาม พอกินเสร็จก็เข้านอน
แม้ว่าตัวเองจะกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว แต่หลินชิงเหอก็ยังขยันอ่านหนังสือต่อไป ด้วยไม่อยากให้ภาษาอังกฤษของตนเองตกต่ำลงอีก
เนื่องจากสภาพแวดล้อมของเธอไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ ไม่เหมือนกับภาษาจีนที่เป็นภาษาแม่ เธอจึงต้องเรียนรู้ทุกวันเป็นธรรมดา
เข้าสู่เดือนกันยายนแล้ว เดิมทีอากาศที่ร้อนอบอ้าวก็กลับมาดีขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ได้อบอ้าวขนาดนั้นแล้ว
เมื่อถึงวันไหว้พระจันทร์กลางเดือนเก้า หลินชิงเหอก็โทรศัพท์กลับไปหาพี่สะใภ้ใหญ่โจว
“ลิ่วนีเด็กคนนั้นทำให้ตระกูลโจวของพวกเราขายหน้าจนแย่แล้วจ้ะ” สะใภ้ใหญ่โจวก่อนหน้านี้เดิมไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้หลินชิงเหอรู้ แต่หล่อนอดไม่ได้แล้ว
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” หลินชิงเหอถาม
“มีคนลือกันว่าหล่อนกับลุงเขยสามไปลุยไร่ข้าวโพดกัน* สร้างความวุ่นวายไปหมดเลย” สะใภ้ใหญ่โจวพูด หล่อนช่างขึ้นชื่อเรื่องทำลายชื่อเสียงจริง ๆ
(*ความหมายโดยนัยคือ การแอบมีอะไรกันนอกสถานที่ในไร่ข้าวโพด)
หลินชิงเหอพูดอย่างตะลึงงัน “ยังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกไหมคะ? มีคนจับได้หรือเปล่า?”
แม้ว่าโจวลิ่วนีจะมีแซ่โจว แต่หลินชิงเหอก็ได้ตัดชื่อหล่อนออกจากตระกูลไปแล้ว เธอเพียงอยากฟังเรื่องซุบซิบก็เท่านั้น
“ไม่โดนจับจ้ะ ครอบครัวของหล่อนเป็นคนพูดแก้ต่างให้ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้คงไม่จบเร็วแบบนี้หรอก” สะใภ้ใหญ่โจวพูด
แต่เรื่องนี้ไม่มีลมก็คงไม่เกิดคลื่น ถ้าถ้ำไม่มีรูก็คงไม่มีลมผ่าน* ถ้าไม่มีอะไรแล้วคนอื่นจะยกเรื่องนี้มาพูดไร้สาระได้อย่างไร เพียงแค่ถูกกล่าวชื่อขึ้นมาแม้ว่าจะไม่ได้ถูกจับได้ มันก็สร้างความอับอายขายหน้าให้คนอื่นอย่างเหลือแสนแล้ว
(*ไม่มีสาเหตุ เรื่องก็ไม่เกิด)
“ท่าทางของบ้านรองเป็นยังไงบ้างคะ?” หลินชิงเหอถาม
“พี่ชายรองโกรธมาก ส่วนสะใภ้รองก็ไปตบลิ่วนีทันทีเลยจ้ะ” สะใภ้ใหญ่พูด
“หล่อนกลัวว่าจะกระทบกับงานแต่งของเซี่ยเซี่ยสินะคะ” หลินชิงเหอพูดสิ่งที่คิดออกมา
“ใช่จ้ะ เดิมทีแฟนของเซี่ยเซี่ยก็ไม่ค่อยพอใจครอบครัวเราที่นี่อยู่แล้ว ต้องบอกว่าเห็นบ้านใหม่นี่แล้ว ต่อไปเซี่ยเซี่ยก็คงไม่กลับมาอยู่บ้านเก่าหรอกจ้ะ หล่อนถึงได้ตกลงแต่งงานด้วย ตอนนี้สะใภ้รองรักชื่อเสียงตัวเองมาก พอมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น มันไม่ใช่เป็นการทำลายชื่อเสียงครอบครัวตัวเองหรอกเหรอจ๊ะ?” สะใภ้ใหญ่โจวพูด
โชคดีที่พวกเขาแยกบ้านไปตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นบ้านอื่นต้องถูกลากไปโยงด้วยเป็นแน่ ตอนนี้จึงมีเพียงบ้านรองที่เละเทะอยู่บ้านเดียว
“ฉันบอกแล้วว่าถ้าไม่อบรมหล่อนดี ๆ หล่อนจะต้องก่อเรื่องขึ้นแน่” หลินชิงเหอพูด “แล้วฝั่งผู้ชายล่ะคะเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทะเลาะกันยกหนึ่ง ตอนนี้แยกบ้านกันอยู่แล้ว คนข้างเคียงก็ไม่มีแล้ว” สะใภ้ใหญ่โจวพูด
หลินชิงเหอไม่พูดถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว และเปลี่ยนไปถามกิจการเลี้ยงเป็ดของสะใภ้ใหญ่โจวขึ้นมาแทน
พอพูดถึงกิจการของตัวเอง สะใภ้ใหญ่โจวก็พูดอย่างอารมณ์ดีขึ้นมา “ดีมากเลยจ๊ะ เป็ดพวกนี้ชอบไปวางไข่ข้างนอก เผลอ ๆ ไข่ก็ออกมาแล้ว”
จากนั้นหล่อนจึงพูดถึงบ้านพี่ชายสามโจวและบ้านน้องชายสามหลิน ว่านอกจากพี่ชายสามโจวกลับมาพูดว่าท่านพ่อหลินที่อยู่ทางนั้นพาพี่ชายสองคนไปทะเลาะกับน้องชายสามหลิน ก็ไม่มีเรื่องอะไรอื่นอีก
หลินชิงเหอไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้นแล้ว น้องชายสามของเธอควรต้องไปประสบพบเจอเรื่องนั้นด้วยตัวเอง และเขาก็จะได้เห็นว่าพี่ชายสองคนนั้นกับพ่อของเขาเป็นคนประเภทไหน
ปลายปีที่แล้วที่เธอกลับไปหาพวกเขาก็ถือว่ามีน้ำใจมากแล้ว ความมีน้ำใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องดูด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร
หลังคุยกับสะใภ้ใหญ่โจวจบแล้ว เธอจึงถือโอกาสโทรไปหาโจวเสี่ยวเหมยด้วย เธอวางสายรอให้เถ้าแก่ไปเรียนคนมา หลังจากรออยู่สักพักค่อยโทรไปอีกครั้ง โจวเสี่ยวเหมยก็รับสายแล้ว
“พี่สะใภ้สี่คะ ฉันรู้อยู่แล้วว่าพี่จะต้องโทรกลับมาหาในเทศกาลไหว้พระจันทร์” โจวเสี่ยวเหมยพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็คุณลุงหวังสบายดีกันไหมจ๊ะ” หลินชิงเหอยิ้มขณะพูด
“สบายดีกันหมดเลยค่ะ พี่สะใภ้สี่ไม่ต้องเป็นห่วง นับ ๆ ดูแล้วท้องพี่คงจะแก่มากแล้วสินะคะเนี่ย” โจวเสี่ยวเหมยพูด
หลินชิงเหอมองเห็นโจวชิงไป๋เดินมาทางนี้แล้ว คาดว่าเธอคงจะออกมาโทรศัพท์นานเกินไปหน่อย เขาเลยออกมาตามหา
ในความจริงแล้วมันก็เป็นเช่นนี้
เธอส่งสายตาให้โจวชิงไป๋ หลังจากนั้นก็คุยกับโจวเสี่ยวเหมยต่อ “น่าจะประมาณวันชาติ 2-3 วันนั้นแหละจ๊ะ”
“งั้นก็อีกไม่นานแล้วน่ะสิคะ ช่วงนี้ให้ฉันไปอยู่ด้วยดีไหมคะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ เธอดูแลครอบครัวให้ดีก็พอ ทางนี้มีพี่สี่ของเธออยู่นะ” หลินชิงเหอรู้ว่าโจวเสี่ยวเหมยคิดอะไร นี่ก็คือความเป็นห่วงของหล่อน
“พี่สี่ของฉันจะทำอยู่คนเดียวไหวได้ยังไงคะ ฉันว่าฉันไปหาพวกพี่สักครั้งดีกว่าฉันถึงจะวางใจได้ อีกอย่างฉันพูดกับต้าหลินและคุณแม่แล้ว พวกเขาก็เห็นด้วยกับฉันเหมือนกัน” โจวเสี่ยวเหมยพูด
“งั้นถ้าเธอมาแล้ว ร้านซาลาเปาก็เหลือแค่น้องเขยสิจ๊ะ แล้วเขาจะไหวเหรอ?” หลินชิงเหอพูด
“ก็ไม่ต้องให้เขาออกไปตั้งแผงลอยก็ได้ค่ะ พี่สะใภ้สี่ไม่ต้องห่วง เดือนนี้ฉันจะต้องไปดูพี่ให้ได้ มีพี่ชายสี่ที่เป็นผู้ชายอยู่ด้วยคนเดียว พวกฉันไม่วางใจเลยจริง ๆ ค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยว่า
“หรือจะให้โจวซื่อนีมาดีล่ะ?” หลินชิงเหอพูด
ที่จริงเธอคิดว่ามีชิงไป๋ของเธอแล้วจะไม่มีปัญหาอะไร แต่คนในครอบครัวทางนั้นกลับไม่อาจวางใจได้ ให้โจวเสี่ยวเหมยมาก็ไม่เป็นไร ร้านซาลาเปานั่นยังมีพวกเด็ก ๆ ช่วยดูแลอยู่
ดังนั้นก็เหลือเพียงต้องดูโจวซื่อนีแล้ว
“ให้ฉันไปฉันยังสามารถจัดการให้เรียบร้อยได้ แต่ถ้าพี่สะใภ้สี่ต้องการให้โจวซื่อนีไปล่ะก็ งั้นเย็นนี้พอหล่อนมากินข้าว ฉันจะลองบอกหล่อนนะคะ พี่สะใภ้ใหญ่ก็โทรมาบอกเอ้อร์นีสองสามประโยคว่าจะให้ซื่อนีไป ซื่อนีเองก็เคยเอ่ยปากบอกด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่พอฉันเห็นกั๋วต้ง เลยคิดว่าฉันควรจะไปเองมากกว่า” โจวเสี่ยวเหมยพูด
“แม้แต่กั๋วต้งก็ยืดเวลาออกไปไม่ไหวเหมือนกันเหรอเนี่ย” หลินชิงเหอขำ
“พี่สะใภ้สี่อย่าเอ็ดไปค่ะ กั๋วต้งเขาเหมือนไฟที่ลุกโหมไหม้บ้านยากจะดับ*ได้แล้วค่ะ เผลอแป๊บ ๆ ก็มาหาที่บ้านนี้ตลอด” โจวเสี่ยวเหมยพูดขำ
(*เปรียบเทียบ ผู้ชายวัยกลางคนที่ตกอยู่ในห้วงความรักจนเกินจะเยียวยาแล้ว คลั่งรักนั่นเอง)
“เขาชอบหล่อนจริง ๆ แล้วเหรอคะเนี่ย?” หลินชิงเหอยิ้มพูด
“ซื่อนีเด็กคนนั้นทำอะไรคล่องแคล่วดีจริง ๆ ค่ะ บริหารบ้านเรือนเป็น บ้านของพวกเราก็ถูกหล่อนจัดการเสียจนสะอาดเรียบร้อย อย่างนี้แล้วทำไมเขาจะไม่ชอบล่ะคะ ถือว่าดวงตาของเขามีแววใช่ได้” โจวเสี่ยวเหมยพูด พูดแล้วก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “มีก็แต่ซื่อนีเนี่ยแหละค่ะ ฉันมองท่าทางหล่อนแล้วเหมือนหล่อนจะยังไม่ชอบเขาอย่างนั้นแหละ?”
“ไปบ่อยขนาดนั้น ซื่อนีก็ยังไม่ชอบเขาอีกเหรอ?” หลินชิงเหอพูดอย่างประหลาดใจ
“น่าจะยังไม่เชื่อใจกั๋วต้งว่าเขาจะจริงจังกับหล่อนล่ะมั้งคะ เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าหล่อนไม่ได้จริงจังจะคบกับกั๋วต่ง แต่หล่อนคงคิดไม่ถึงว่ากั๋วต่งจะจริงจังกับหล่อนขึ้นมาจริง ๆ ” โจวเสี่ยวเหมยยิ้มพูด
หลินชิงเหอเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เธอยังห่วงกลัวว่าซื่อนีจะเป็นฝ่ายชอบเวิงกั๋วต้งก่อนเลย สุดท้ายกลับเป็นเวิงกั๋วต้งเสียเองที่เป็นฝ่ายชอบหล่อน
……………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พ่ออย่าล้อแม่สิคะ ก็สารอาหารอะไรทุกอย่างลงไปอยู่ที่ว่าที่ลูกสาวหมด แม่จะลืมนึกไปว่าตัวเองมีมิติเก็บของอยู่ก็ไม่แปลก
ลิ่วนีเธอเปรี้ยวไม่แผ่วเลยอะ ขนาดแต่งงานแล้วก็ไม่เลิกเปรี้ยว
สรุปกั๋วต้งมาลงเอยกับซื่อนีสินะคะ คุณแม่เวิงรู้คงซับน้ำตาปลาบปลื้ม
ไหหม่า(海馬)