ถ้าหากหลินรุ่ยฟังริษยา เช่นนั้นฮูหยินหลิวที่อยู่ในห้องพระเล็กผู้นั้นก็คงเกลียดชังคับแค้นแล้ว
เสิ่นเสวี่ยออกเรือนฮูหยินหลิวยังออกไปไม่ได้ ตอนนั้นนางท้อแท้ใจจริงๆ ภายหลังเสิ่นเสวี่ยไปเยี่ยมนาง นำของกินของใช้และเงินไม่น้อยมาให้นาง ชีวิตของนางก็ค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย ไม่กี่วันก่อนหน้านี้แม่นมจางที่หกล้มขาหักก็กลับจวนมาเยี่ยมนาง ร้องทุกข์ถึงชีวิตที่ลำบากในบ้าน ทั้งสองสาปแช่งคนร้ายด้วยกัน “ฮูหยิน ท่านอย่าได้ถอดใจ บ่าวยังรอให้ท่านออกไปเป็นนายอยู่ ท่านยังมีคุณชายหก ชั่วพริบตาคุณชายหกก็จะโตแล้ว นายท่านจะขังท่านไว้ตลอดชีวิตได้จริงๆ หรือ ก่อนหน้านี้บ่าวแอบไปเยี่ยมคุณชายหกมาแล้ว เรียนหนังสือมีพัฒนาการแล้ว หลังจากนี้เขาแต่งภรรยามีบุตรยังต้องให้ท่านเป็นห่วง ฮูหยินท่านควรจะลุกขึ้นสู้ ท่านทำร้ายตนเองจนตายมิใช่ว่าจะเป็นการเสียเปรียบคนนอกหรอกหรือ บ่าวอยู่ข้างนอกจุดธูปวันละสามครั้ง ขอพระคุ้มครองให้ท่านออกมาโดยเร็ว”
ฮูหยินหลิวเปลี่ยนความคิด ใช่แล้ว นางยังมีอี้เอ๋อร์อยู่ ไม่มีนางดูแลอี้เอ๋อร์จะไม่ถูกคนชั่วสองคนนั้นกลั่นแกล้งตายหรือ นางจะยอมรับชะตาชีวิตไม่ได้ นางต้องวางแผน นางต้องออกไป ไม่เพียงแต่ทำเพื่ออี้เอ๋อร์ ยังมีเสวี่ยเอ๋อร์ ยายแก่ฮูหยินอวี้จวนจงอู่โหวผู้นั้นมีสิทธิอะไรมารังแกเสวี่ยเอ๋อร์ของนาง นางต้องคิดหาวิธีออกไปหนุนหลังเสวี่ยเอ๋อร์
ได้ยินว่าลูกเลี้ยงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่นางก็เคียดแค้นอย่างถึงที่สุดแล้ว ตอนนี้ได้ยินว่าพระชายาจิ้นอ๋องเชิญนางไปสนทนาที่จวน นางก็ยิ่งแค้นจนดึงปิ่นปักผมบนศีรษะปักลงบนกำแพงอย่างแรง เด็กชั่ว เหตุใดชะตาเจ้าถึงได้ดีเพียงนั้น พระชายาจิ้นอ๋องไม่ใช่แม่เลี้ยงสามีของนางหรือ มีสิทธิ์อะไรถึงใจดีให้เกียรตินางเพียงนี้ นางมีสิทธิ์อะไรถึงโชคดีได้พบแม่สามีที่ดีเพียงนี้ ส่วนเสวี่ยเอ๋อร์ของตัวเองกลับต้องเจอแม่สามีใจร้ายอย่างฮูหยินอวี้
นางสาปแช่ง สาปแช่งให้นางไม่มีจุดจบที่ดี สาปแช่งให้คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องผู้นั้นมีชีวิตอยู่ไม่ถึงหนึ่งปี ให้นางแต่งเข้าไปแล้วก็ต้องครองตัวเป็นหม้าย อ้อไม่ คุณชายใหญ่ผู้นั้นน่าจะตายเสียตอนนี้ ให้นางไม่ได้แต่งงานไปจนตายจึงจะลดความเคียดแค้นในจิตใจของนางลงได้
หน้าพระพุทธรูปที่เมตตาสรรพสิ่ง ฮูหยินหลิวใบหน้าดุร้าย ราวกับปีศาจที่โผล่ออกมาจากนรก
ชั่วพริบตาวันมะรืนก็มาถึงแล้ว เหล่าสาวใช้เรือนเฟิงหวายุ่งกันตั้งแต่เช้าตรู่ ที่เตรียมน้ำก็เตรียมน้ำ ที่เร่งทำอาหารก็เร่งทำอาหาร ที่หาเสื้อผ้าก็หาเสื้อผ้า ที่ขนชาดขนแป้งก็ขนชาดขนแป้ง นับไปนับมาก็นับได้ว่าเจ้านายเสิ่นเวยว่างที่สุด นางขอเพียงแค่นั่งหาวอยู่ตรงนั้นปล่อยให้เหล่าสาวใช้จัดการก็พอแล้ว
แม้แต่แม่นมกู้ที่ไปเรือนเจวี๋ยเอ๋อร์แล้วก็ยังวิ่งมาหาอย่างอดไม่ได้ จับมือของแม่นมมั่วไหว้วานแล้วไหว้วานอีก “ท่านพี่ ท่านเก่งยิ่งนัก ท่านมีความสามารถ คุณหนูของพวกเราก็ฝากท่านไว้แล้วกัน” น้ำตาหยดลงมาด้วยความดีใจ ปากก็พึมพำว่าคุณหนูผ่านทุกข์ผ่านสุขกว่าจะมีชะตาที่ดีบ้าง ในที่สุดฮูหยินก็สามารถสบายใจได้แล้วต่างๆ นานา
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของแม่นมกู้กับคุณหนูแน่นแฟ้น พากันโน้มน้าวนาง
เสิ่นเวยปล่อยให้เหล่าสาวใช้จัดการตนเองอย่างสะลึมสะลือ เมื่อเปิดตาขึ้นมามองเห็นหญิงงามสว่างต้องตาผู้นี้ในกระจกก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง คิ้วขมวด กล่าว “รีบล้างออก”
หลีฮวากับเถาจือและคนอื่นๆ ก็รีบปลอบนาง “คุณหนู บ่าวรู้ว่าท่านไม่ชอบแต่งหน้า แต่ครั้งนี้ไปจวนจิ้นอ๋อง หากท่านไปด้วยใบหน้าเรียบๆ พระชายาจิ้นอ๋องจะต้องคิดว่าท่านไม่เคารพนางเป็นแน่ บ่าวว่า ท่านควรแต่งตัวสวยๆ ให้จิ้งหวังเฟยเห็นว่าท่านไม่ด้อยเลยแม้แต่นิดเดียว”
เสิ่นเวยกลอกตาขาว กล่าว “พวกเจ้าเคยเห็นคนถือศีลกินเจบำเพ็ญเพียรอยู่ในวัดหนึ่งเดือนกว่าแล้วไม่ซีดเซียวแต่กลับมีชีวิตชีวาสดใสหรือไม่ นี่ไม่ใช่จะทำให้คนสงสัยหรือไร ข้าสวยมาตั้งแต่เกิด ต่อให้ไม่แต่งอะไรพวกนี้ก็ดูดีเหมือนกัน เร็วๆ ล้างให้หมด ล้างให้หมด”
ดวงตาของแม่นมมั่วที่ยืนสงบเงียบอยู่ข้างๆ ก็มีความชื่นชมแวบผ่าน คุณหนูสี่ผู้นี้ยังคงเป็นคนรอบคอบจริงๆ
สาวใช้ทั้งหมดต่างก็งงงัน “ต้องล้างออกจริงๆ หรือ คุณหนูแบบนี้ดูดีอย่างยิ่ง” แม้จะรู้ว่าคุณหนูพูดถูก แต่ก็ตัดใจลบเครื่องประทินโฉมที่ดูดีเช่นนี้ไม่ลง
ท่าทีของเสิ่นเวยแข็งกร้าวอย่างถึงที่สุด “ต้องล้าง” วันนี้ข้าจะไปสืบสถานการณ์ศัตรู ความงามที่มีลักษณะรุกรานเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก ดอกไม้ขาวดอกเล็กๆ ที่อ่อนแอซีดเซียวจึงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในวันนี้
เสิ่นเวยล้างหน้าแล้วก็หันกลับไปหน้ากระจกอีกครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบสายตาของแม่นมมั่ว ใจเต้นอย่างอดไม่ได้ กล่าว “รบกวนแม่นมมั่วมาแต่งหน้าให้ข้าหน่อย”
แม่นมมั่วสวามิภักดิ์กับนาง นางเองก็เห็นด้วย ระหว่างทางที่ไปอวิ๋นโจวนางพอใจอย่างยิ่งกับท่าทีของแม่นมมั่ว แต่ความสามารถด้านอื่นๆ ของแม่นมมั่ว นางยังอยากจะขุดค้นอีกหน่อย
“บ่าวน้อมรับคำสั่ง” แม่นมมั่วไม่เล่นตัว ก้าวขึ้นไปหยิบแป้งละเอียดขึ้นมาเติมลงบนหน้าของเสิ่นเวย
มือของแม่นมมั่วเบายิ่งนัก แต่งหน้าก็เร็วอย่างยิ่งเช่นกัน “คุณหนูท่านดูสิว่าพอใจหรือไม่” แม่นมมั่วถอยไปข้างๆ กล่าวด้วยความเคารพ
เสิ่นเวยจ้องมองไปยังกระจก เห็นเพียงใบหน้าของเด็กสาวในกระจกลดความหนักแน่นลงไปหลายส่วน มีความอ่อนโยนเพิ่มขึ้นหลายส่วน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็งามยิ่งนัก เมื่อตั้งใจมอง กลับมองเห็นความซีดเซียวบนใบหน้า มุมปากของเสิ่นเวยยกขึ้นน้อยๆ พอใจจนยิ้มออกมา
ในความงามมีความซีดเซียวและอ่อนแอ แสดงผลลัพธ์ที่นางต้องการออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ “แม่นมมั่วมีฝีมือนี่นา” เสิ่นเวยกล่าวชม “เช่นนั้นก็รบกวนแม่นมมั่วเลือกเครื่องประดับพร้อมกันเลย”
“มิบังอาจรับคำชมคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ นี่ล้วนแต่เป็นงานส่วนในของบ่าว” แม่นมมั่วไม่ประจบไม่วางก้าม ในใจเข้าใจดีว่านี่คือแบบทดสอบอีกอย่างหนึ่งของคุณหนู ดวงตาของนางกวาดผ่าน**บเครื่องประดับปราดหนึ่ง หยิบปิ่นปักผมที่เลี่ยมดอกเหมยเล็กๆ ใหญ่ๆ สามดอกเสียบเข้าไประหว่างผมเสิ่นเวย จากนั้นจึงเลือกหวีสับที่งามประณีตหนึ่งอัน พู่ระย้าไข่มุกห้าพวงที่ห้อยลงมาจากหวีสับกระจายอยู่บนผมงดงามที่แผ่อยู่ด้านหลังของเสิ่นเวยอย่างเป็นธรรมชาติ เปล่งประกายระยิบระยับ จับตาอย่างถึงที่สุด สุดท้ายนางก็หยิบต่างหูไข่มุกทรงหยดน้ำหนึ่งคู่มาใส่ลงบนหูของเสิ่นเวย
เสิ่นเวยส่ายหน้าเบาๆ ต่างหูไข่มุกก็แกว่งไกวเบาๆ เสิ่นเวยกะพริบตา พอใจอย่างถึงที่สุด
“วันนี้แม่นมมั่ว หลีฮวา เถาจือตามข้าไปแล้วกัน” เสิ่นเวยเรียกชื่อกล่าว “เห็นปากน้อยๆ ที่เบ้ลงของเถาฮวาก็อดใจเต้นไม่ได้ แก้คำกล่าว “หลีฮวา เจ้าอยู่ที่นี่ ให้เถาฮวาไปแล้วกัน” วันนี้นางไปแสดงท่าทีอ่อนข้อ พาเถาฮวาเด็กโง่ผู้นี้ไปด้วยไม่แน่ว่าอาจจะมีผลสำเร็จที่คาดไม่ถึงก็ได้
เถาฮวาได้ยินว่าคุณหนูยอมพานางไปด้วย ก็แย้มยิ้มอย่างดีใจทันที หลีฮวาถูกเปลี่ยนตัวก็ไม่ผิดหวัง เพราะนางรู้ว่าคุณหนูจัดการเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลของคุณหนูแน่นอน ช่วงเวลาที่รับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูยิ่งนานก็ยิ่งเข้าใจ ไม่ต้องแย่งความรัก ไม่จำเป็นต้องแย่งความรัก ขอเพียงแค่ทำเรื่องทุกเรื่องที่คุณหนูสั่งให้ดี เชื่อฟังคุณหนู สายตาของคุณหนูนั้นก็จะมองเห็นเจ้า
“ไม่ใช่บอกว่าแม่นมผู้นั้นประจำกายพระชายาจิ้นอ๋องมาถึงแล้วหรือ ไปเถอะ อย่าให้นางรอนานแล้วบอกว่าจวนจงอู่โหวของเราไม่มีมารยาท” เสิ่นเวยยกย่างก้าว เดินไปข้างนอกอย่างสง่าผ่าเผย
“ท่านย่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่” เสิ่นเวยทำความเคารพอย่างสุภาพ
นายหญิงผู้เฒ่ามองประเมิณเสิ่นเวยปราดหนึ่ง เห็นว่าไม่ได้แต่งหน้าไม่เหมาะสมอะไร บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มจางๆ ชี้สตรีแปลกหน้าผู้นั้นแล้วแนะนำ “เวยเอ๋อร์ นี่คือแม่นมซือประจำกายพระชายาจิ้นอ๋อง”
เสิ่นเวยยิ้มบางๆ เล็กน้อย โค้งตัวทำความเคารพแม่นมซือกึ่งหนึ่ง “อรุณสวัสดิ์แม่นมซือ” เสียงไพเราะเสนาะหูราวกับลำธารที่ไหลผ่านระหว่างภูเขานั้น
แม่นมซือไหนเลยจะกล้ารับการคารวะจากเสิ่นเวย รีบหลบทันที จากนั้นจึงเคารพกลับ กล่าวด้วยความประหลาดใจ “มิกล้า มิกล้า บ่าวไหนเลยจะกล้ารับการคำนับจากคุณหนู”
นายหญิงผู้เฒ่ากล่าว “นางเป็นเด็ก เจ้าเป็นคนเก่าคนแก่ที่มีความสามารถข้างกายพระชายาจิ้นอ๋อง รับการคำนับกึ่งหนึ่งของนางก็เป็นสิ่งสมควร”
แม่นมซือยังคงโบกมือ “มิกล้า มิกล้า” ทว่าสายตากลับมองประเมิณคุณหนูสี่ที่เลื่องชื่อผู้นี้ตรงหน้าอย่างเงียบๆ ท่าทีสง่างามผ่าเผย หน้าตาดั่งภาพวาด ดูดีจริงๆ มิน่าเล่าคุณชายใหญ่ที่เย็นชาผู้นั้นในจวนถึงได้ชอบใจ
“สายแล้ว พระชายาจิ้นอ๋องในจวนยังรอคุณหนูสี่อยู่ บ่าวขอตัวก่อน” แม่นมซือกล่าวอย่างจริงใจกับนายหญิงผู้เฒ่าและสวี่ซื่อ
นายหญิงผู้เฒ่าพยักหน้าช้าๆ “ไปเถอะ เวยเอ๋อร์ตามแม่นมซือไป ถึงจวนจิ้นอ๋องแล้วก็อย่าได้ซุกซน”
“เจ้าค่ะ ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านย่า” เสิ่นเวยคำนับหนึ่งครา แล้วจึงหันหลังจากไป ท่านป้าสะใภ้ใหญ่สวี่ซื่อจับมือของนาง ไปส่งนางถึงประตูใหญ่ตลอดทาง
รถม้าของจวนจิ้นอ๋องหรูหราอย่างถึงที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าข้างในจะสบายหรือไม่
แม่นมซือเปิดม่านอย่างกระตือรือร้น ทำท่าเชิญเสิ่นเวย “คุณหนูสี่เชิญขึ้นรถ”
เสิ่นเวยกล่าวลำบากแล้วคราหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นรถม้าภายใต้การพยุงของเถาจือเถาฮวา แม่นมซือเองก็ตามขึ้นไป แม่นมมั่วข้างๆ พูด “ท่านพี่ซือ คงไม่ถือสานั่งเบียดกับน้องในรถหรอกกระมัง”
แม่นมซือเพิ่งจะสังเกตเห็นแม่นมมั่ว ตกใจในใจอย่างอดไม่ได้ แม่นมมั่วเคยเป็นแม่นมในวังสมัยฮ่องเต้องค์ก่อน นางเป็นแม่นมที่มีเกียรติข้างกายพระชายาจิ้นอ๋อง ย่อมต้องเคยเห็นแม่นมมั่ว เพียงแต่ไม่คิดว่าตอนนี้แม่นมมั่วผู้นี้จะอยู่ประจำกายคุณหนูสี่แซ่เสิ่นแล้ว
แม่นมซือย่อมปฏิเสธไม่ได้ ทำได้เพียงขึ้นรถคันหลังกับแม่นมมั่ว เพียงแต่ตลอดทางนางดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย