บทที่ 94 สู่ขอ
Ink Stone_Romance
ซั่งกวนเยี่ยนและคนอื่นๆ ไปหอหยกขาวซึ่งเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในตำบลเหลียนฮวา
พวกเขารออยู่ที่นั่นจนพลบค่ำ สตรีพิษน่าจะถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉาเสร็จแล้ว พวกเขาจึงเดินทางกลับหมู่บ้านไป
เมื่อพวกเขาเข้าไปในบ้าน ก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จากนั้นก็เห็นรอยเลือดกองใหญ่ซึ่งดูคล้ายกับยังเช็ดไม่หมด รอยเลือดนั้นหยดเป็นทางไปถึงห้องของสตรีพิษ
ปรมาจารย์รีบเดินเข้าไป
เดิมทีสตรีพิษหมดสติอยู่บนพื้น อิ่งสือซันรู้สึกขัดตาจึงพานางไปนอนบนเตียงของนาง และแน่นอนว่าเขาไม่อาจสวมเสื้อผ้าให้นางได้ จึงทำได้เพียงใช้ผ้าห่มคลุมให้ลวกๆ
ปรมาจารย์ไม่รู้ว่าบนร่างของลูกศิษย์ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด จึงดึงผ้าออก ทันใดนั้นเขาก็ถึงกับตกตะลึง
“ฉงเอ๋อร์!” ซั่งกวนเยี่ยนวิตกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาพบกับเรื่องไม่คาดฝัน จึงก้าวเท้าหมายจะรีบไปยังห้องของเยี่ยนจิ่วเฉา
เซียวเจิ้นถิงหยุดนางไว้ แล้วเดินเข้าไปก่อน
ในห้อง แสงจากตะเกียงริบหรี่ดุจเมล็ดถั่ว
เยี่ยนจิ่วเฉานอนอยู่บนเตียง หลังพิงกับหมอน บนขามีผ้าห่มคลุมอยู่
กลิ่นของยาปลุกกำหนัดจางไปนานแล้ว อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วก็เก็บกวาดห้องเรียบร้อยแล้ว จนมองไม่ออกว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น
เซียวเจิ้นถิงไม่คิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะตื่นอยู่ จึงไปสบตากับเขาเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว หัวใจของเขาบีบเค้นแน่น “ฉะ…ฉงเอ๋อร์”
เยี่ยนจิ่วเขามิได้สนใจ เขาหันหน้ากลับไป และยังคงนั่งเงียบ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นไร เซียวเจิ้นถิงก็พลอยโล่งใจ
เซียวเจิ้นถิงรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ยินดีที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ จึงรีบหันหลังเดินออกไป
เขาเดินไปข้างหน้าซั่งกวนเยี่ยน แล้วพยักหน้ากับนาง “ฉงเอ๋อร์ฟื้นแล้ว เจ้าเข้าไปดูเถิด”
ซั่งกวนเยี่ยนกระวีกระวาดเข้าไปยังเตียงของเยี่ยนจิ่วเฉา
“ฉงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
นางถามพลางนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากของเยี่ยนจิ่วเฉา “เหตุใดเจ้าไม่พูดเล่า? ไม่สบายตรงไหนหรือ? เจ้าหมดสติไปหลายวัน หิวหรือไม่? แม่จะไปทำอะไรให้เจ้ากิน”
ซั่งกวนเยี่ยนอยู่ในจวน นางไม่เคยต้องทำสิ่งใดเอง ทว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ มีสิ่งใดล้วนต้องทำเอง นางเรียนรู้การทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ จากสตรีในหมู่บ้าน รสชาตินับว่าพอกินได้
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ตอบ
บรรยากาศในห้องพลันน่าอึดอัดใจขึ้นมา
ซั่งกวนเยี่ยนนึกบางอย่างออก จึงถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ด้านนอกมีรอยเลือด มีมือสังหารเข้ามาหรือ? เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ซั่งกวนเยี่ยนไม่ได้ถามว่าได้ทำอะไรกับสตรีพิษแล้วหรือยัง
สำหรับนางแล้ว ลูกชายป่วยหนักถึงเพียงนี้ เขาฟื้นขึ้นมาได้ อีกทั้งพลังหยินหยางยังปรับสมดุลแล้ว เพียงเท่านี้ก็นับว่าคุ้มค่า
“ข้าจะไปทำอะไรให้เจ้ากิน” ซั่งกวนเยี่ยนลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังประตู
ทว่ายังเดินไปได้สองก้าว เยี่ยนจิ่วเฉาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ฮูหยินเซียว คราวหน้าคราวหลังอย่าตัดสินใจแทนข้าอีก”
ซั่งกวนเยี่ยนปวดแปลบที่หัวใจ การที่เยี่ยนจิ่วเฉาโมโหมิได้อยู่เหนือความคาดหมายของนาง นางรู้ว่าหากเยี่ยนจิ่วเฉาได้สติอยู่ เขาต้องไม่เห็นด้วยกับการใช้สตรีพิษมาถอนคำสาปให้อย่างแน่นอน แม้จะรู้ว่าเขาไม่ชอบ แต่นางก็ยังทำเช่นนั้น เหตุผลก็คือนางเป็นแม่ของเขา นางต้องช่วยเขา! ต่อให้วันนี้เขาจะกล่าวโทษนางก็ตาม หากต้องให้เลือกอีกครั้ง นางก็ยังจะตัดสินใจแบบเดิม
“เจ้าอยากกินโจ๊กหรือไม่? หรือว่าอยากกินหมี่?” ซั่งกวนเยี่ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าฟื้นแล้ว พวกท่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่”
ซั่งกวนเยี่ยนอ้าปากพะงาบ นางกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็เห็นอิ่งสือซันพาลุงวั่นเข้ามา
“พระชายา” ลุงวั่นทักทายอย่างมีมารยาท
หลายวันมานี้ซั่งกวนเหยียนให้ลุงวั่นอยู่ในจวน เพื่อให้ตนเองได้ดูแลเยี่ยนจิ่วเฉา บัดนี้เยี่ยนจิ่วเฉาเชิญลุงวั่นมา ก็เพื่อบอกให้นางรู้ว่า ที่นี่มิใช่ธุระกงการของนางอีกต่อไป
“ดูแลคุณชายให้ดี” ซั่งกวนเยี่ยนบอกลุงวั่น แล้วกลับเมืองหลวงไปกับเซียวเจิ้นถิง
ทั้งสองกลับเมืองหลวงไปก็เพราะคิดว่าสตรีพิษได้ถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงเตรียมเงินเอาไว้ รอให้ปรมาจารย์มารับเงิน
อีกห้องหนึ่ง สตรีพิษก็ฟื้นขึ้น
ปรมาจารย์ให้นางสวมเสื้อผ้าเสียก่อน จากนั้นจึงไต่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น “…เป็นปรมาจารย์วิชาพิษอีกคนหนึ่งมาหาเรื่องหรือ?”
สตรีพิษส่ายหน้าพลางสะอึกสะอื้น “ไม่ใช่เจ้าค่ะ แต่เป็นเยี่ยนจิ่วเฉา!”
ปรมาจารย์ไม่คิดไม่ฝันว่าผู้ที่ทำร้ายศิษย์รักของเขาจะเป็นเยี่ยนจิ่วเฉาไปได้ เขาอ่อนแอถึงเพียงนั้น จะมีแรงทำร้ายนางได้อย่างไร? อีกอย่าง เขาให้ยาปลุกกำหนัดแก่เยี่ยนจิ่วเฉามากเป็นสองเท่า เพื่อให้เขาคงประสิทธิภาพได้นาน ยาไม่ได้ทำให้เขามีความปรารถนาบ้างเลยหรือ?
เขาทนได้อย่างไรกัน?
“เขาไม่ชอบเจ้ารึ?” ปรมาจารย์ถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งต้าโจว จะไม่เคยเห็นหญิงงามได้อย่างไร ลูกศิษย์ของเขาก็งดงามพอสมควร แต่เกรงว่าก็ยังไม่อยู่ในสายตาของเขา
สตรีพิษไหนเลยจะยอมรับว่าตนไม่มีเสน่ห์มากพอ
นางเล่าเรื่องที่อวี๋หวั่นมีหนอนพิษซึ่งแข็งแกร่งมากอยู่ในร่างให้อาจารย์และศิษย์พี่ฟัง
แน่นอนว่านางไม่ได้เล่าเรื่องที่ตนลอบโจมตีอวี๋หวั่น เพียงแต่บอกว่าตนแกล้งหมดสติ จึงได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่
อันที่จริง นางไม่รู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่นางรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรอาจารย์ก็จะไม่ไปหาเรื่องเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น เพราะฉะนั้นจึงปัดความผิดทั้งหมดไปให้พวกเขา
ปรมาจารย์เอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลงใจ “เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม? เจ้าเพิ่งรู้เรื่องวันนี้จริงหรือ?”
“ข้าสาบานได้!” สตรีพิษยกมือขึ้นมา
ปรมาจารย์ให้ความสำคัญกับคำสาบาน แต่สตรีพิษมิได้เป็นเช่นนั้น กระนั้นเขาก็คิดว่านางจะเป็นเหมือนเขา จึงเลือกที่จะเชื่อใจนาง
ประสาทสัมผัสของปรมาจารย์ว่องไวต่อกลิ่นของหนอนพิษ แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นของมันจากเด็กคนนั้น อาจเป็นเพราะลูกศิษย์ของเขาฟังผิด แท้จริงแล้วเด็กคนนั้นไม่ได้มีหนอนพิษอยู่ในร่าง หรือไม่ก็เป็นเพราะราชันสัตว์พิษตัวนั้นแข็งแกร่งเสียจนสามารถอำพรางกลิ่นได้
“นางไม่ได้เป็นแค่สตรีชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือ? จะไปมีราชันสัตว์พิษได้อย่างไรกัน?” ปรมาจารย์พึมพำ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ หากนางมีหนอนพิษที่แข็งแกร่งกว่าหนอนพิษของเจ้า เหตุใดไม่บอกตั้งแต่แรก?”
ก็เพราะนางไม่รู้น่ะสิ สตรีพิษนัยน์ตาเป็นประกายวูบหนึ่ง “อาจารย์ ข้าไม่รู้”
“หรือว่า…ที่จริงแล้วนางไม่อยากช่วยเยี่ยนจิ่วเฉา?” ศิษย์ชายพูด
สตรีพิษหรี่ตา “ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! อาจารย์! นางให้กำเนิดลูกของเยี่ยนจิ่วเฉา ขอเพียงเยี่ยนจิ่วเฉาตาย ทรัพย์สินทั้งหมดของเยี่ยนจิ่วเฉาก็จะตกเป็นของนาง! สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใยเยี่ยนจิ่วเฉาเสียเหลือเกิน แต่แท้จริงแล้วกำลังคิดจะทำร้ายเขาอยู่! อาจารย์ หนอนพิษเหล่านั้นของพวกเรา ต้องถูกนางไล่ไปและฆ่าตายเป็นแน่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้พวกเรารักษาเยี่ยนจิ่วเฉา ไหนเลยจะรู้ว่าอาจารย์ได้คิดแผนอันชาญฉลาดเอาไว้แล้ว โดยให้ข้าถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉา ทีนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมต้องช่วยเยี่ยนจิ่วเฉาได้สำเร็จ แต่หากข้าทำ ข้าก็อาจตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของเยี่ยนจิ่วเฉา ไม่สู้นางทำเองจะดีกว่า แล้วนางก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของเยี่ยนจิ่วเฉา”
ปรมาจารย์วิชาพิษรู้สึกว่าคำอธิบายของลูกศิษย์ของตนไม่สอดคล้องกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นหลายวันมานี้ เพียงแต่ว่านั่นเป็นเรื่องในบ้านของเยี่ยนจิ่วเฉา ไม่ว่าอวี๋หวั่นจะจัดการเยี่ยนจิ่วเฉาหรือไม่ ทรัพย์สมบัติของเขาก็มิได้ตกเป็นของนางอยู่ดี เช่นนั้นจะทำไปเพื่ออะไรกัน? ว่างนักหรืออย่างไร?!
เยี่ยนจิ่วเฉามียาถอนพิษที่ดีกว่า เช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้ลูกศิษย์ของเขาแล้ว เกรงว่าเงินที่เหลือก็คงไม่ได้แล้วเช่นกัน เงินอีกห้าหมื่นตำลึงคงจะถูกเซียวเจิ้นถิงนำกลับจวนไปแล้ว
ปรมาจารย์สายตาหลุกหลิก เขาเร่งเร้าลูกศิษย์ทั้งสอง “รีบไปเก็บของเร็ว พวกเราจะออกจากที่นี่คืนนี้!”
“ออกจากที่นี่แล้วไปไหนหรือ?” อิ่งสือซันโผล่มาในทันใด เขากอดอก หลังพิงเสาประตูด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ปรมาจารย์สะดุ้งโหยง พูดจาตะกุกตะกัก “พะ…พวกเราจะออกไปเดินเล่น”
อิ่งสือซันมองไปยังมือของเขา “ออกไปเดินเล่นต้องขนสัมภาระออกไปด้วยหรือ? ข้าว่าพวกเจ้าคิดจะหนีมากกว่า?”
ปรมาจารย์ซ่อนห่อผ้าให้ด้านหลัง “ปะ…เปล่าเลย!”
อิ่งสือซันก้าวไปข้างหน้า แล้วจับปรมาจารย์ที่คอเสื้อด้านหลัง ลากเขาไปยังห้องของเยี่ยนจิ่วเฉา และเหวี่ยงเขาลงบนพื้นข้างเตียง
“โอ๊ย!” ปรมาจารย์ล้มก้นจ้ำเบ้า เขาลุกขึ้นแล้วลูบก้นอันแสนเจ็บปวดของตน
ขาของเยี่ยนจิ่วเฉายังขยับไม่ได้ เขานั่งนิ่งอยู่บนเตียง ท่าทางน่าเกรงขามของเขาทำให้ปรมาจารย์รู้สึกหายใจไม่ออก
“ได้ยินว่า เจ้าจะหนี?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยปากอย่างมิได้ยี่หระ ไม่ได้ถามถึงอาการของตนแม้แต่น้อย
เยี่ยนจิ่วเฉาทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “พวกข้าไม่ได้หนี อาการป่วยของเจ้าไม่ได้รักษาหายแล้วหรอกรึ? พวกข้าก็ไปได้แล้วนี่!”
ปรมาจารย์วิชาพิษให้ยาเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ไม่เพียงพอให้เขาตื่นได้นานถึงเพียงนี้ ในเมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้หมดสติไปอีกครั้ง เขาจึงคิดไปโดยปริยายว่าอวี๋หวั่นถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าไม่ได้รักษาอาการป่วยของข้า แต่กลับนำเงินไปมากขนาดนั้น ออกจะไม่ซื่อสัตย์ไปหน่อยกระมัง?”
นัยน์ตาของปรมาจารย์วิชาพิษกระตุกวูบหนึ่ง เขาพูดอย่างวางก้าม “เจ้าจะพูดแบบนี้ไม่ได้! เจ้าไม่ให้ข้ารักษาเอง ไม่ใช่เพราะข้าไม่รักษาเจ้าสักหน่อย! ก่อนหน้านี้ก็บอกไว้แล้ว ว่าถ้าข้ารักษาเจ้า ท่านพ่อเจ้าก็จ่ายเงิน พวกเราตกลงกันไว้แล้ว! หากวิชาแพทย์ข้าไม่ดี ข้าก็คงยอมรับไปแต่แรกแล้ว แต่เจ้าดึงดันไม่ยอมให้ข้ารักษา ทั้งยังทำร้ายลูกศิษย์ข้าอีก เรื่องนี้เป็นปัญหาของข้าหรืออย่างไร?”
เยี่ยนจิ่วเฉาใคร่ครวญจริงจัง “จะว่าไปก็ถูก อิ่งสือซัน ปล่อยพวกเขาไป”
ช่างอ่อนเยาว์และไม่รู้ความ ไม่เท่าไรเขาก็ข่มขู่เยี่ยนจิ่วเฉาได้สำเร็จ! ปรมาจารย์รู้สึกลำพองใจ ทว่ายังคงต้องรักษาสีหน้าเศร้าสลด “เอาเถอะๆ เห็นแก่ที่ได้พานพบกัน ข้าจะไม่เอาเรื่องที่เจ้าทำกับลูกศิษย์ข้า!”
ปรมาจารย์กลับห้องไป รีบเก็บของอย่างรวดเร็ว แล้วพาลูกศิษย์ออกไปในคืนนั้น
ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันออกจากหมู่บ้านเหลียนฮวา ก็ถูกอิ่งสือซันจับกลับมาจนได้
ปรมาจารย์มองเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างหมดอาลัยตายอยาก “เจ้าคงไม่ได้เสียดายหรอกกระมัง?! เจ้าเป็นบุรุษ! ไยกลับกลอกเช่นนี้เล่า!”
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว “ใครบอกว่าข้ากลับกลอก?”
“ชะ…เช่นนั้นเจ้าจะทำอะไร?” ปรมาจารย์มีสีหน้ามึนงง
เยี่ยนจิ่วเฉายกยิ้มมุมปาก แล้วตอบไปตามตรง “ปล้นเงินเจ้า!”
ปรมาจารย์วิชาพิษ “…”
ราตรีมืดมิด ลมโหมพัดรุนแรง
ปรมาจารย์วิชาพิษถูกลักของไปจนเหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว นั่งหน้าซีดอยู่บนเกวียนผุพัง ศิษย์รักทั้งสองของเขาจมูกเขียวหน้าบวมเป่งนั่งอยู่ด้านข้าง ทรัพย์สินที่ทั้งสามเหลือติดตัวอยู่ตอนนี้คือเต้าหู้เหม็นหนึ่งไหซึ่งปรมาจารย์อุ้มอยู่
“ข้า…บอกท่านไปแล้ว….ว่าอย่าเรียกราคาสูง…ถึงเพียงนี้…ที่หนานเจียง…ก็มีเงินทองมากมาย…อยู่แล้ว…ท่านมานี่…ยังเรียกทองคำตั้งหนึ่งแสนตำลึง…ละ…แล้วจะไม่ให้…ถูก…ตีได้อย่างไร?” ลูกศิษย์ชายของเขาจับใบหน้าบวมฉุราวกับหัวหมู ฟันหน้าหักหลุดออกไป
จะมาเสียดายตอนนี้ก็สายไปแล้ว เขาก็เพียงอยากหาเงินสักก้อน หลังจากนี้จะได้ไม่ต้องทำงานแล้ว…
ปรมาจารย์เสียใจ เขาอยากร้องไห้
ฮือๆ …คนจงหยวนน่ากลัวเหลือเกิน…เขาจะไม่กลับมาจงหยวนอีกแล้ว…
……
อิ่งสือซันเข้ามาในห้อง นำกล่องผ้าไหมมาให้เยี่ยนจิ่วเฉา “คุณชาย ข้านำตั๋วแลกเงินมาแล้ว เป็นเงินทั้งหมดห้าหมื่นตำลึงทอง ยังมีที่สกุลเซียวอีกห้าหมื่นตำลึงทอง เดิมทีคิดว่าจะจ่ายหลังจากที่รักษาคุณชายจนหายดี คุณชายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เรื่องนี้พวกเขาทำเอง”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างเย็นชาว่า “แน่นอนว่าพวกเขาทำตัวเอง! ตัวข้ามีราคาแค่หนึ่งแสนตำลึงทองเองหรือ? ตาบอดกันหรืออย่างไร?!”
อิ่งสือซันอยากจะบ้า
เอ่อ…สรุปแล้ว ที่ท่านทุบตีพวกเขา ไม่ใช่เพราะพวกเขาเรียกเงินมากเกินไป แต่เป็นเพราะพวกเขาเรียกเงินน้อยเกินไป ดูถูกความยิ่งใหญ่ของท่านน่ะหรือ…
……
อวี๋หวั่นหมดสติไปจนถึงเช้า เมื่อเธอลืมตาขึ้น ก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียง
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอิ่งสือซันหรือไม่ก็อิ่งลิ่วเป็นคนแอบพาเธอกลับมา
ไอ้เยี่ยนจิ่วเฉาบ้า ช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ กลับตีเธอจนสลบเนี่ยนะ
เรื่องแบบนี้ยังทนไหว เขาเป็นหลิ่วซย่าซุ่ย[1]หรืออย่างไร?
หรือว่าเขาเป็นหมันจริงๆ?
หรือว่า…เขาไม่รู้สึกอะไรกับร่างกายของเธอ?
ความมั่นใจของเธอพังทลาย!
เธอโมโหสุดขีด
ทันใดนั้นเอง ศีรษะน้อยๆ ทั้งสามก็แทรกเข้ามาในอ้อมกอดของเธอ
ความโกรธของอวี๋หวั่นพลันหาย หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่น
เธอยกมือขึ้นมาลูบศีรษะน้อยๆ พร้อมกับหอมหน้าผากของพวกเขา “พวกเจ้าน่ารักกว่าอีก!”
เยี่ยนจิ่วเฉากลับจวนไปในวันที่สาม
อวี๋หวั่นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วยกกำปั้นขึ้นมา “หนีไปเร็วเชียวนะ!”
หลังจากอาหารเช้า ลุงวั่นก็มาที่บ้านด้วยท่าทางร่าเริง เขามาพร้อมกับแม่สื่อตู้ แม่สื่อชื่อดังจากเมืองหลวง
…………………………………..
[1] หลิ่วซย่าซุ่ย วิญญูชนในสมัยราชวงศ์โจว ใช้เปรียบกับผู้ที่มีความอดทนอดกลั้น มีความสามารถในการควมคุมตนเอง แม้เผชิญกับการยั่วยุทางกามารมณ์