บทที่ 51 เบาะแสในปีนั้น เข้าวัง (2)
โดย
Ink Stone_Romance
ผู้จัดการชุยเอ่ยอย่างจริงจัง “ดี! กำลังดี! นายท่านเชิญหมอมาที่หอหยกขาว อีกทั้งยังเชิญหมอที่โด่งดังในยุทธจักรมาทำยารักษาร้อยโรคให้คุณหนูอีกด้วย อาการไข้ทรพิษดีขึ้นครึ่งหนึ่งแล้ว! หมอยังบอกอีกว่า บุพเพสันนิวาสของนางไม่ดีนัก ในชีวิต สิ่งที่จะเกิดก็ต้องเกิด ในชีวิต สิ่งที่กำหนดไว้แล้วว่าไม่มีทางจะเกิด ก็ไม่ต้องอ้อนวอนร้องขอ เมื่อนายท่านได้ยินเช่นนี้ ก็ตกใจมาก คิดว่าคุณหนูถูกลิขิตให้ไม่อาจออกเรือน สาเหตุที่ทำให้ต้องเป็นไข้ทรพิษ เพราะเขาบังคับให้คุณหนูออกเรือน ต่อไปผู้ใดก็อย่าได้บังคับให้นางแต่งงาน หากคุณหนูอยากแต่งก็แต่ง ไม่แต่งก็ไม่เป็นไร นายท่านจะดูแลนางตลอดไปเอง!”
นี่สิถึงจะเหมือนวาจาที่พ่อแท้ๆ จะเอ่ย
เมื่อรู้ว่าไป๋ถังสบายดี อวี๋หวั่นก็รู้สึกโล่งใจ
ยามนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วรอเพียงโอกาสเท่านั้น ว่าพี่ชายของเธอจะรวบรวมความกล้าไปขอไป๋ถังแต่งงานเมื่อใด
ทว่า……
เมื่อนึกขึ้นได้ ความเขินอายของเด็กสาวก็พลันฉายชัดในดวงตาของอวี๋หวั่น
ก็ไม่รู้ว่าใครจะขอแต่งก่อน…
“คุณชาย!”
ณ จวนคุณชาย อิ่งสือซันเดินเข้าไปในห้องทำงาน
เยี่ยนจิ่วเฉารีบพลิกปิดหนังสืออนุปฏิทินอย่างแนบเนียน
อิ่งสือซันเหลือบมองหนังสืออนุปฏิทินที่ถูกพลิกจนขดงอ เอ่อ…รีบลุกออกจากที่นอนแต่เช้า เพื่อปีนขึ้นมาดูสิ่งนี้น่ะรึ? ของที่เพิ่งส่งไปให้ เขายังมิทันได้ตอบรับ ท่านก็เลือกวันเสียแล้วหรือ?
“มีเรื่องอันใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถามเบาๆ
อิ่งสือซันยื่นจดหมายเล็กๆ ที่ผูกติดมากับนกพิราบส่งข่าวให้เยี่ยนจิ่วเฉา “มีข่าวมาจากอิ่งลิ่ว พบเบาะแสที่ก้งเฉิงแล้ว ทว่าการจัดการค่อนข้างยากเสียหน่อย เขาขอร้องให้ระดมกำลังหน่วยกล้าตายมาช่วยสนับสนุน”
หลังจากอ่านจดหมาย เยี่ยนจิ่วเฉาก็โยนมันเข้าไปในเตาอั้งโล่เพื่อเผาทิ้ง “เมื่อคืนเจ้าบอกว่า เจ้าพบร่องรอยของโจวไหว มันคือที่ใด?”
อิ่งสือซันเอ่ย “ก็คือที่ก้งเฉิงขอรับ”
“บังเอิญจริงๆ” เยี่ยนจิ่วเฉาเคาะนิ้วกับโต๊ะเบาๆ “เจ้าไปเตรียมรถ คุณชายผู้นี้จะไปก้งเฉิงด้วยตนเอง”
อิ่งสือซันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “…ขอรับ”
…
ณ วังเสียนฝู ชายในชุดดำคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นห้องโถง “ข้าน้อยขอคารวะ”
ในห้องโถงมีเพียงสวี่เสียนเฟยกับมามาผู้ดูแลเพียงสองคน
สวี่เสียนเฟยส่งสายตาให้มามาผู้ดูแล มามาผู้ดูแลเข้าใจความหมาย จึงเดินไปที่ประตูเพื่อดูลาดเลา
“สืบพบหรือไม่?” สวี่เสียนเฟยเอ่ยถาม
ชายชุดดำเอ่ยตอบ “พบแล้ว ทว่า…ไม่เพียงแต่ข้าน้อยเท่านั้นที่จับตาดูนาง ยังมีอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็น…สายลับขององค์ชายรอง”
เป็นหนึ่งในเรื่องที่นางคาดไว้ สวี่เสียนเฟยจึงไม่แปลกใจ หากมิใช่เพราะสนใจนางถึงเพียงนี้ ก็คงไม่ถึงกับเมินเฉยเหล่าสนมที่นางเลือกมาให้
สวี่เสียนเฟยยกมือขึ้นพลางโบกอย่างแผ่วเบาให้ชายชุดดำเอ่ยต่อ
ชายชุดดำเอ่ยต่อว่า “สกุลของหญิงผู้นั้นคืออวี๋ นางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเหลียนฮวา”
มือที่ถือถ้วยชาของสวี่เสียนเฟยพลันหยุดชะงัก “หมู่บ้าน? สาวชาวบ้านรึ?”
นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าบุตรชายที่มีสายเลือดกษัตริย์จะชื่นชอบสาวชาวบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่าหญิงในหอโคมเขียวสักเท่าไหร่!
ไฟโทสะของสวี่เสียนเฟยลุกท่วม!
ชายในชุดดำเอ่ยต่อ “ข้าน้อยยังรู้มาว่า นางเคยหมั้นหมายมาก่อน ทว่าก็ถูกยกเลิกการแต่งงานและย้ายออกไป”
สวี่เสียนเฟยโกรธจนหงายหลัง!
มิใช่เพียงสาวชาวบ้านเท่านั้น ทว่ายังเป็นสาวชาวบ้านที่ถูกยกเลิกการแต่งงาน…บุตรชายของนางตาบอดไปแล้วหรือ?!
“และบิดาของนางก็คืออวี๋เซ่าชิง”
สวี่เสียนเฟยขมวดคิ้ว “ผู้บัญชาการกองพันที่แย่งความดีความชอบทางทหารของเหยียนโฮ่วผู้นั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับ”
หากจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ เพียงแค่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย เช่นนั้นในจุดนี้ ก็นับว่ามีชาติกำเนิดที่มีมลทิน เหยียนฉงหมิงคือผู้ที่ได้รับการคุ้มครองจากฮ่องเต้ การแย่งความดีความชอบทางทหารกับเขา ก็คือแย่งความดีความชอบทางทหารกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้สอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด ทว่าความจริงมันเป็นเพียงฉากบังหน้า เหยียนฉงหมิงมีไหวพริบเฉลียวฉลาด เมื่อรอให้เรื่องอำนาจสูงกลบนาย[1] ผ่านพ้นไป คดีความนี้ก็จะได้ข้อสรุป
และในท้ายที่สุด อวี๋เซ่าชิงก็ต้องถูกส่งตัวเข้าคุกอีกครั้ง
สวี่เสียนเฟยกำมือแน่นพลางเอ่ยว่า “องค์ชายรองจะชอบใครก็ไม่ชอบ ไฉนกลับไปชอบบุตรสาวของอาชญากร? นี่มิใช่เป็นการต่อต้านบิดาฮ่องเต้ของเขาหรอกรึ? ข้าจำได้ว่าคดีนี้ถูกส่งไปให้องค์ชายรองสอบสวน แล้วองค์ชายรองจะสอบสวนได้อย่างไร?”
ชายชุดดำเอ่ย “ข้าน้อยไม่ทราบ ทว่าข้าน้อยคิดว่า ในเมื่อองค์ชายรองชอบบุตรสาวของอวี๋เซ่าชิง เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกลับคําพิพากษาอวี๋เซ่าชิงเป็นแน่”
สวี่เสียนเฟยปวดหัว “ไปบอกองค์ชายรองว่าเขาไม่จำเป็นต้องตรวจสอบคดีนี้อย่างละเอียดแล้ว บอกเพียงว่านี่เป็นความคิดเห็นของข้า!”
“ขอรับ!”
ชายชุดดำรับคำสั่ง และหนึ่งชั่วยามถัดมา เขาก็กลับเข้าวังมาด้วยความรีบร้อน
“องค์ชายรองตรัสว่าอย่างไร?” สวี่เสียนเฟยถามขณะมองไปที่เขา
ชายชุดดำลังเลที่จะเอ่ย
ดวงตาของสวี่เสียนเฟยเย็นเยือก “หากเจ้ามีอันใดจักเอ่ยก็เอ่ยมาตรงๆ อย่ามาอ้ำๆ อึงๆ กับข้า!”
ชายชุดดำเอ่ยด้วยความร้อนรน “องค์ชายรองบอกว่าอย่างไรเขาก็จะสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดให้ถึงที่สุด”
สวี่เสียนเฟยคว่ำถ้วยที่อยู่ในมือ!
น้ำชาร้อนกระเด็นโดนเท้าของนาง มามาผู้ดูแลรีบเข้าไปหา และย่อตัวลงเช็ดรองเท้าที่เปียกด้วยผ้าเช็ดหน้า พร้อมกับเอ่ยว่า “พระสนมโปรดระงับโทสะ!”
สวี่เสียนเฟยระเบิดโทสะที่เก็บงำมาหลายครา “เจ้าจะให้ข้าระงับโทสะได้เยี่ยงไร? บุตรชายข้าชอบคนที่ฮ่องเต้หมายจะประหาร! เขาคิดว่าตนเองยังโดดเด่นไม่พออีกหรือ? องค์หญิงแห่งซยงหนูก็กำลังจะให้ฮ่องเต้ยัดเข้ามาตรงหน้าเขาแล้ว เป็นตายอย่างไรก็ยังจะไม่เห็นอีกหรือ? ข้าทำเพื่อเขามากถึงเพียงนี้ เขากลับทำเหมือนตาบอดใช่หรือไม่?”
มามาผู้ดูแล “พระสนม!”
ชายในชุดดำก้มศีรษะลง
“เจ้าออกไปก่อน” มามาผู้ดูแลสั่งอย่างเย็นชา
ชายในชุดดำทำความเคารพสวี่เสียนเฟย และถอยออกไปด้านหลังฉากกั้น
มามาผู้ดูแลถอดรองเท้าของสวี่เสียนเฟยออกและพบว่าถุงเท้าของนางเปียก นางจึงรีบถอดถุงเท้านั้นออก
น้ำชาร้อนๆ ทำให้หลังเท้าของนางเป็นสีแดงฉาน
มามาผู้ดูแลหยิบยาขี้ผึ้งมาทาให้สวี่เสียนเฟยอย่างระมัดระวัง
สวี่เสียนเฟยโกรธจัดจนกระทั่งนางไม่อาจรับรู้ความเจ็บปวดที่หลังเท้าของนาง “ข้าเลี้ยงดูบุตรชายจนเติบใหญ่เช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขากล้าต่อต้านข้า เพียงเพราะผู้หญิงหนึ่งคน ข้าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเขา แล้วคิดว่าข้าจะทำร้ายเขาไม่ได้หรือ?”
มามาผู้ดูแลเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “องค์ชายโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง”
สวี่เสียนเฟยเอ่ยด้วยความโกรธ “เมื่อสองปีก่อน ข้าบอกกับเขาว่า อย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องในสวี่โจว เขาไม่ฟังคำแนะนำของข้า แล้วเป็นอย่างไรเล่า? เขาเกือบเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งในสวี่โจว ตอนนี้เขาก็ไม่ฟังข้าอีก ข้าคิดว่าเขาคงไม่ต้องการตำแหน่งรัชทายาทแล้ว!”
มามาผู้ดูแลไม่ตอบ
“มีอันใดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นอีก เจ้าเอ่ยมาได้!” สวี่เสียนเฟยเอ่ยกับชายชุดดำ
ชายชุดดำซึ่งยืนอยู่หลังฉากกั้นเอ่ยอย่างนอบน้อย “นางติดต่อกับหอหยกขาวและหอจุ้ยเซียน ข้าน้อยได้ยินคนที่หอจุ้ยเซียนเรียกนางว่ารองผู้ดูแล”
“รองผู้ดูแลของหอจุ้ยเซียนรึ?” สวี่เสียนเฟยหรี่ตาลง
…
“รองผู้ดูแล! รองผู้ดูแล!”
ด้านนอกของบ้านเก่าสกุลอวี๋ มีรถม้าคันหนึ่งหยุดลงอย่างช้าๆ นายท่านฉินรอไม่ไหวจึงเปิดม่านและกระโดดลงมา
อวี๋หวั่นเพิ่งกลับมาจากในตำบลและกำลังปอกหน่อไม้อยู่ที่สวนหลังบ้าน เมื่อได้ยินเสียงนายท่านฉิน เธอก็ลุกขึ้นและกล่าวทักทาย “ชั่วยามนี้ เหตุใดนายท่านฉินจึงมาที่นี่ได้? วันนี้ที่หอจุ้ยเซียนไม่ยุ่งหรือ?”
“ยุ่ง! ยุ่งมาก!” นายท่านฉินเอ่ยอย่างกระปรี้กระเปร่า และเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับอวี๋หวั่น
เมื่ออวี๋หวั่นเห็นว่าเขาเหงื่อออกมาก ก็รินชาสมุนไพรถ้วยหนึ่งให้เขา
นายท่านฉินยกถ้วยขึ้นดื่มจนหมด พร้อมกับเช็ดปากและโพล่งออกมา “เจ้าต้องเดาไม่ออกแน่ว่าข้ามาที่นี่เพื่ออะไร?”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้ม “ข้าต้องการฟังรายละเอียด”
นายท่านฉินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ชื่อเสียงหอจุ้ยเซียนของเรานับว่าโด่งดังแล้ว ตอนนี้แม้กระทั่งพระสนมในวังก็ยังต้องการลิ้มรสชาติอาหารของเรา! เจ้ารีบไปเตรียมตัว อีกประเดี๋ยวตามข้าไปเข้าวัง!”
…………………………………
[1] อำนาจสูงกลบนาย หมายถึง ขุนนางที่มีความสามารถและมีอำนาจที่ไม่ประมาณตน จนทำให้กษัตริย์เกิดความระแวง