พวกผู้บำเพ็ญหวังอยากจะกลับไปที่ท่าเรืออาร์เตมกันที่สุด ที่นั่นมีน้ำร้อนและอาหารคอยอยู่ ที่สำคัญคือมีคนระดับ A อยู่ด้วย และพวกเขาก็จะปลอดภัยกัน
การมาถึงของฟรานเชสโกไม่ใช่เป็นความกรุณา แต่หมายความว่าองค์กรใหญ่ๆ ไม่อยากให้พวกผู้บำเพ็ญกลับไปที่ท่าเรืออาร์เตมต่างหาก
ถ้าผู้บำเพ็ญลับพวกนี้กลับไปที่ท่าเรือและหนีไปล่ะ
อีกอย่างก็มีปัจจัยที่ไม่ควบคุมไม่ได้มากเกินไปในกลุ่มคนพวกนี้ ทำไมองค์กรใหญ่ๆ จึงจะต้องมาสนใจว่าผู้บำเพ็ญจะรู้สึกอย่างไรด้วยล่ะ
ผู้บำเพ็ญลับตะโกนกลับอย่างโกรธเกรี้ยว “เราอยากจะกลับไปที่ท่าเรืออาร์เตมและไปจากที่นี่ซะ! เราสู้พวกทหารชุดเกราะทองแดงจากเครือข่ายฟ้าดินไม่ได้หรอก! ชีวิตเรามีค่ากว่าผลประโยชน์ที่เราจะได้นะ! ให้เรากลับไปที่ท่าเรืออาร์เตมซะ!”
พอพูดจบก็มีคนที่อยู่ข้างๆ เขาเข้ามาฟันร่างเขาขาดเป็นสองท่อน
ผู้บำเพ็ญลับรู้สึกหนาวลงไปถึงไขสันหลัง พวกเขาฆ่าคนตายแบบนั้นเลยน่ะเหรอ เพราะว่าแค่พูดอะไรบางอย่างออกไปเท่านั้นเอง
คนพวกนี้โง่กันหรือเปล่า จะหนีไปตอนไหนก็ได้นี่นา ผู้บำเพ็ญจะเดินป่าข้ามภูเขาไปตามใจต้องการ พวกเขาหนีออกไปได้อยู่แล้วตราบใดที่ไม่สร้างปัญหา
พวกเขาไม่มีอาหาร ไม่มีทางออกที่ชัดเจน และอยู่กันด้วยความกลัว ถ้าหลี่ว์ซู่ต้องอยู่แบบนั้น เขาจะไม่ฝากชะตาชีวิตไว้กับองค์กรใหญ่ๆ เด็ดขาด ถึงแม้ว่าเขาจะต้องทนอดอาหารก็ตาม
สีหน้าของฟรานเชสโกไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดถึงแม้ว่าจะมีการฆ่ากันตายต่อหน้าเขา เขาหัวเราะต่อไป “ทุกคนทำตัวกันสบายๆ ที่นี่นะ เดี๋ยวเสบียงจะถูกส่งมาให้เอง ขอโทษที่เต็นท์มีให้ไม่พอสำหรับทุกคน ค่อยๆ แบ่งกันใช้ล่ะ”
ฟรานเชสโก้ออกไปแล้ว แต่มีสมาชิกจากกลุ่มแก่นความเชื่อเดินไปท่ามกลางฝูงชนราวกับว่ากำลังจับตามองพวกเขาอยู่
ผู้บำเพ็ยลับทั้งหลายนั่งลงอย่างเชื่อฟัง พวกเขาไม่กล้าจะขยับกันด้วยซ้ำ คนแค่ไม่กี่ร้อยกำลังคุมผู้บำเพ็ญลับเป็นพันๆ คนเสียอยู่หมัด เหมือนกับเป็นฉากจากหนังแฟนตาซีเลย
ผู้บำเพ็ญลับบางคนเริ่มไปอยู่ขอบๆ เพื่อจะวิ่งหนีแล้ว แต่สมาชิกจากกลุ่มแก่นความเชื่อไล่ตามพวกเขาไปและฆ่าทิ้ง หลังจากที่พวกเขาฆ่าเสร็จแล้วก็กลับมาประจำตำแหน่งกันอีกรอบโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลี่ว์ซู่เห็นแล้วตกตะลึง สมาชิกบางคนสั่งให้ผู้บำเพ็ญลับเอาศพไปทิ้งด้วย เขาไม่เชื่อว่ากลุ่มแก่นความเชื่อจะใจดีมาช่วยผู้บำเพ็ญลับหรอก
เขามองสมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อสั่งให้ผู้บำเพ็ญลับเอาศพออกไปทิ้งในป่าอย่างเงียบๆ แต่เขาไม่เห็นใครวกกลับมาเลย
หลี่ว์ซู่ไม่สนใจเรื่องชีวิตของผู้บำเพ็ญพวกนี้หรอก เขาอยากจะรู้ว่าเขาจะเข้าไปที่ท่าเรืออาร์เตมและปลอมตัวอยู่ที่นั่นได้หรือไม่ แล้วจากนั้นเขาก็จะไปหาผู้ควบคุม
ทันใดนั้นสมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อก็พูดกับหลี่ว์ซู่และผู้คนที่อยู่รอบๆ เขา “ตามฉันมา”
หลี่ว์ซู่และผู้บำเพ็ญลับคนอื่นๆ ตามสมาชิกคนนั้นไปอย่างลังเล พวกเขาเดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ ในป่า สมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อคนนั้นหยุดเดินและหันมาหาพวกเขา เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับตะลึงเมื่อเห็นหน้าหลี่ว์ซู่ เขามองหน้าหลี่ว์ซู่ใกล้ๆ “นี่เราเคยเจอกันหรือเปล่า”
[ได้รับแต้มจากแอนดีร่า ทอมบารี +1000]
หลี่ว์ซู่รีบเก็บกระบี่เฉวียอิน และร่างของเขาไม่มีแม้แต่เลือดไหลออกมาด้วยซ้ำ
ผู้บำเพ็ญลับคนอื่นๆ ตะลึง พวกเขาเกือบจะคุกเข่าลงบนพื้นและเสนอตัวให้เอาชีวิตพวกเขาไปแล้ว
พวกเขาคิดว่ากลุ่มแก่นความเชื่อนั้นสังหารผู้คนอย่างดุเดือดแล้ว แต่ความเร็วของการสังหารที่อยู่ตรงหน้าพวกเขายิ่งเลวร้ายกว่า!
พวกเขาหมดสติไปก่อนที่จะได้ตอบสนองอะไรกลับมา กระบี่เฉวียอินเจาะผ่านกะโหลกของพวกเขาทุกคน เมื่อมีใครจากกลุ่มแก่นความเชื่อจำเขาได้ เขาก็จะไม่ยอมให้พวกมันมีชีวิตกลับไป
หลี่ว์ซู่รู้สึกเศร้าขึ้นมา เขาไม่ได้อยากจะฆ่าใคร แต่มีคนรนหาที่ตายเองนี่นา
แล้วทำไมจะต้องทำให้เขาเปิดเผยตัวตนด้วย ฮะ! ทำไมกัน!
ตอนนี้เขาจะเอายังไงต่อดี เขาควรหนีจากกลุ่มนี้ไปและมุ่งหน้าไปที่ท่าเรืออาร์เตมเลยดีไหม หรือเขาควรจะอยู่ต่อและสร้างปัญหาให้พวกกลุ่มแก่นความเชื่อดี
หลี่ว์ซู่ตัดสินใจไปที่ท่าเรืออาร์เตม ถึงตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผย แต่เขาคงเสียเวลามากถ้าต้องรออยู่ที่นี่เฉยๆ
เขาหันหลังไปและมองต้นไม้ที่อยู่ข้างหลัง และก็มุ่งหน้าที่ท่าเรืออาร์เตมอย่างเด็ดเดี่ยว
ตามความเร็วของการเดินเท้าของผู้บำเพ็ญลับแล้วก็คงไปถึงที่ท่าเรือในอีกสองวัน แต่หลี่ว์ซู่ไปถึงที่ท่าเรือได้ในครึ่งวันเท่านั้น
เขาไม่ได้ตรงดิ่งเข้าไปข้างในท่าเรือ เพราะน่าจะมีผู้มีพลังจับตาผู้บำเพ็ญลับที่มาจากค่ายอยู่ เขาไม่อยากจะไปอธิบายว่าทำไมเขาถึงมาที่ท่าเรืออาร์เตมแค่เพียงคนเดียวได้
เขาเดินตัดผ่านป่าไป จากนั้นก็ข้ามแม่น้ำและปีนผา หลี่ว์ซู่ชอบที่ความสามารถของเขาทำให้เขาทำอะไรก็ได้ และมันก็ง่ายเหมือนกับเขาเดินอยู่บนพื้นเท่านั้นเอง
เขาไปต่ออย่างเต็มกำลังเพื่อแข่งกับเวลา
ทางที่เขาใช้เป็นทางที่ยากที่สุด เขาไม่เห็นผู้มีพลังแม้แต่คนเดียว แต่เมื่อเขาไปถึงที่ท่าเรืออาร์เตมแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะท่าเรือนี้ไม่มีค่อยมีคนเท่าไหร่นัก เขาไม่เห็นองค์กรใหญ่ๆ ลาดตระเวนอยู่แถวท่าเรืออาร์เตมด้วย หลี่ว์ซู่เห็นแค่ทีมขนส่งทำงานกันยุ่งเท่านั้น
แต่พวกเขาไม่เหมือนกับทีมขนส่งของเครือข่ายฟ้าดิน พวกเขาก็แค่เป็นคนธรรมดาที่ถูกจ้างมาทำงานที่นี่เท่านั้น
หลี่ว์ซู่รู้สึกงงงวยอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะแอบเข้าไปอยู่ดี เขาเดินอย่างเงียบๆ ไปที่ทางเหนือของท่าเรืออาร์เตมและเดินเข้าไปในเมืองเล็กๆ จากนั้นเขาก็เดินไปทั่วเมือง เขายืนยันได้แล้วว่าผู้คนส่วนใหญ่ขององค์กรต่างชาติทั้งหลายไม่ได้ประจำอยู่ที่นี่แล้ว
ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ทุกคนหายไปไหนหมด นี่ไม่เหมือนกับที่เขาได้รับข้อมูลมาเลยนี่ มีผู้มีพลังอยู่แค่เพียงหยิบมือในท่าเรืออาร์เตมเท่านั้น และมีผู้เสียชีวิตราวสองพันคน นี่ไม่ใช่กำลังหลักขององค์กรอย่างแน่นอน
จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและถามใครบางคนดู “คนอื่นๆ ไปไหนหมดแล้วล่ะ”
หลี่ว์ซู่ตกใจมากที่ได้ยินคำตอบ…
องค์กรใหญ่ๆ เดินทางไปที่ค่ายของผู้บำเพ็ญโดยใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น ผู้คนจากองค์กรใหญ่ๆ กลับไปที่ค่ายจากที่หลี่ว์ซู่ออกมาเมื่อครู่ พวกเขาไปสร้างฐานที่นั่นและเตรียมแทรกซึมเข้าไปในภูเขาจั่งไป๋!
“เดี๋ยวก่อนนะ…” หลี่ว์ซู่เดินพล่านไปทั่วท่าเรืออาร์เตม เขาพูดไม่ออกเลย เขาทำอะไรลงไปเนี่ย เขาน่าจะอยู่ต่อที่ค่ายนั้นซะ…
ขอเขาปลอมตัวเนียนๆ หน่อยได้ไหม มีสักครั้งที่แผนเขาจะสำเร็จไปด้วยดีสักครั้งไหมเนี่ย
หลี่ว์ซู่มองดูฐานขนส่งที่ท่าเรืออาร์เตม มีของบางอย่างถูกขนไป
หลี่ว์ซู่จะต้องทำเหมือนว่าเงินเป็นเศษดินถ้าเขาอยากจะปลอมตัว แต่คนอื่นๆ ไม่ให้ความร่วมมือกับเขาเลย งั้นเขาจะไม่ปรานีใครหน้าไหนแล้วนะ…