ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 806 ไล่ล่า (3)

มีกฎข้อหนึ่งทีเรียกว่ากฎป่ามืดมิด ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วหมายความว่าทั้งจักรวาลนั้นเป็นป่าที่มืดมิดและผู้คนที่อาศัยอยู่เป็นนักล่าที่ถือปืนเอาไว้ พวกเขาจะแอบเข้าไปในป่าเหมือนเป็นวิญญาณ  

 

 

นักล่าพวกนี้จะต้องระวังมากเป็นพิเศษเพราะในป่ามืดมิดก็เต็มไปด้วยพวกนักล่าเช่นเดียวกับพวกเขาเอง ถ้าเปิดเผยตัวเองออกไปก็อาจจะโดนเผ่าอื่นๆ ทำลายจนไม่เหลือซากได้  

 

 

ตอนนี้สถานการณ์ในป่าก็เป็นเช่นนั้น ทั้งเครือข่ายฟ้าดินและองค์กรอื่นๆ ก็ไม่รู้ตำแหน่งแน่ชัดของแต่ละฝ่าย ถ้าใครถูกเจอก่อนก็จะเสียเปรียบไปอย่างมาก  

 

 

เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกลุ่มเครือข่ายฟ้าดินถึงต้องระมัดระวังขนาดนั้นในขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้กองไฟ  

 

 

หัวหน้ากลุ่มนึกภาพออกเลยว่าจะมีอีกกี่กลุ่มเดินเข้าไปหากองไฟแบบกลุ่มของเขา พวกเขาก็ดีใจมากเมื่อพบว่าชายหนุ่มอยู่เพียงคนเดียวนั่งอยู่ แต่เดี๋ยวพวกเขาจะหมดหวังในอีกไม่ช้า…  

 

 

เพราะจะมีคนสักกี่คนกันล่ะที่มานั่งก่อกองไฟในป่าอันตรายแบบนี้ ตามธรรมชาติผู้คนจะตามกองไฟไปเพื่อฆ่าคนที่อยู่รอบกองไฟนั้น ถ้ากำจัดศัตรูในแผนที่ไปได้ก็จะทำให้การต่อสู้นั้นง่ายกว่าเดินมาก แต่นี่ไม่ใช่การเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์ที่จะมีรางวัลรออยู่ถ้าชนะเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย  

 

 

แต่การตัดหูศัตรูกลับไปนั้นดูเหมือนจะมีโอกาสได้รางวัลมากกว่าอีก  

 

 

และนี่ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสนามรบ หลี่ว์ซู่โกรธมากที่เห็นว่าร่างไร้ชีวิตของสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินทุกคนถูกตัดหูออกไปที่แคมป์ของพวกเขา  

 

 

ตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็ยิ้มให้กับคนในกลุ่มนั้นและอธิบายให้ฟัง “ทำแบบนี้มันสะดวกกว่าน่ะ ฉันขอเรียกกฎนี้ว่ากฎย้อนป่ามืดมิดแล้วกัน ประหยัดเวลาฉันไปหาพวกมันเองเยอะเลย”  

 

 

พอพูดจบสมาชิกในกลุ่มก็นิ่งไปเลย เหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งจะเคยได้ยินข้ออ้างที่สร้างขึ้นมาเพื่อกลยุทธ์เหยื่อล่อเป็นครั้งแรก  

 

 

“จะเอาวิธีของฉันไปใช้ดูก็ได้นะ ได้ผลดีทีเดียว” หลี่ว์ซู่เสนอ  

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจนะ…”  

 

 

ทั้งกลุ่มตกอยู่ในความตะลึง การที่ชายหนุ่มไม่เกรงกลัวอะไรแบบนี้เป็นเพราะเขามีพลังโจมตีที่ไม่ธรรมดา ดูจากศพที่อยู่รอบๆ ตัวเขาแล้ว เขาต้องล่อมาได้อย่างน้อยๆ สามกลุ่ม แล้วศัตรูที่เขาบอกว่าเพิ่งฆ่าไปที่ป่าด้านตะวันออกอีกล่ะ ชายหนุ่มคนนี้จะต้องฆ่าไปแล้วอย่างน้อยสี่กลุ่มแน่ๆ !  

 

 

หัวหน้ากลุ่มส่งสัญญาณให้สมาชิกคนหนึ่งออกไปสำรวจป่าทางด้านตะวันออก แล้วเขาคนนั้นก็กลับมาด้วยสีหน้าตกใจ “เขาฆ่าไปมากกว่าสี่กลุ่มที่ฝั่งนั้นครับ…”  

 

 

สรุปก็คือหลี่ว์ซู่ฆ่าไปมากกว่าแปดกลุ่มภายในคืนเดียวโดยใช้กลยุทธ์แบบเดิมๆ   

 

 

ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็แค่นั่งรอให้คนเข้ามาหาเขาเฉยๆ แต่เมื่อมีศพกองพะเนินแถวกองไฟขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ค่อยมีใครติดกับดักนี้อีกแล้ว เขาเลยต้องไปตามหาเหยื่อของเขาเองอย่างช่วยไม่ได้  

 

 

หัวหน้ากลุ่มอึ้ง ชายหนุ่มคนนี้มาจากเครือข่ายฟ้าดินหรือเปล่า เท่าที่เขารู้นั้นราชันฟ้าเฟิงและราชันฟ้าหลี่กลับไปพักที่แคมป์แล้ว และพวกเขาก็เคยเห็นหน้าราชันฟ้ามาก่อนหน้านี้เหมือนกัน  

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มแล้วถาม “นายชื่ออะไรล่ะ”  

 

 

“หม่าโหย่วจิน” หัวหน้ากลุ่มตอบกลับอย่างประหม่า  

 

 

หลี่ว์ซู่ประหลาดใจ “ดูท่านายรวยมากเลยนะ…อยู่ระดับไหนแล้วล่ะ”  

 

 

หม่าโหย่วจินตอบ “ระดับ C ขั้นสูงแล้ว เดี๋ยวฉันก็ได้เลื่อนระดับเป็นระดับ B ในอีกครึ่งปีนี่แหละ!”  

 

 

หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับรู้ “ทีนี้ก็กลับไปได้แล้ว ทางข้างหน้านี่อันตรายเกินไปสำหรับนาย”  

 

 

“ไม่มีทางเสียล่ะ” หม่าโหย่วจินปฏิเสธ “ฉันเป็นชายชาติทหาร ไม่กลัวอันตรายอยู่แล้ว เราวางแผนว่าจะไปซุ่มโจมตีที่แม่น้ำขั้นบันไดแล้วฆ่าศัตรูให้ได้มากกว่านี้”  

 

 

หลี่ว์ซู่มองหม่าโหย่วจินใกล้ๆ แล้วยิ้มออกมา “ตรงไปทางเหนือซะ แถวๆ ยอดเขามันอันตรายไปสำหรับนาย”  

 

 

“เราไม่ใช่พวกขี้ขลาดนะ” หม่าโหย่วจินเริ่มอารมณ์เสียนิดหน่อย พวกศัตรูบุกเข้ามาในภูเขาจั่งไป๋และท้าทายอำนาจของเครือข่ายฟ้าดินขนาดนี้แล้ว ทุกคนจึงพร้อมจะสละชีวิตตัวเองเพื่อรักษาดินแดนของตัวเองไว้ “ถ้าพวกเราหนีกลับไปหมดเพราะกลัวอันตราย ใครจะเป็นคนสู้เพื่อประเทศของเรากันล่ะ”  

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มให้แล้วยืนปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของเขา จากนั้นเขาก็ตอบไปว่า “ฉันไงล่ะ”  

 

 

หลี่ว์ซู่เดินหายเข้าไปในป่าท่ามกลางสายตาประหลาดใจของสมาชิกในกลุ่ม ร่างของเขาช่างสูงสง่าราวกับกระบี่คมที่ตัดไปบนท้องฟ้า เผยให้เห็นแสงจากดวงอาทิตย์ส่องลงมาผ่านก้อนเมฆ  

 

 

…  

 

 

ที่เมืองหลวงบนถนนหลิวไห่ เนี่ยถิงกำลังเตรียมตัวออกเดินทางแล้ว รถจี๊ปกำลังจอดรอเขาอยู่บนถนน และคนติดตามไปด้วยก็เป็นพวกหัวกะทิทั้งหลายอย่างห่าวจื้อเชา  

 

 

ห่าวจื้อเชาและคนอื่นๆ ที่อยู่ในชุดเครื่องแบบของเครือข่ายฟ้าดินยืนรอเนี่ยถิงอยู่นอกบ้านเงียบๆ ด้วยความเคารพ  

 

 

พวกเขาเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะเดินทางไปภูเขาจั่งไป๋ ในที่สุดวันที่พวกเขารอคอยก็มาถึงแล้ว  

 

 

ตอนนี้คลังเก็บของไร้รูปของเนี่ยถิงกลับไม่ได้ถูกใช้แล้ว เขาสะพายกล่องสีดำไว้บนหลังแทน จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับเข้าไปในบ้านก่อนกล่าวลา “ไปก่อนนะ”  

 

 

ประตูที่ถูกปิดอย่างแน่นหนามาถึงสองวันอยู่ๆ ก็ถูกเปิดออกกว้าง สือเสวจิ้นเดินออกมาพร้อมถือหนังสือในมือทั้งสองข้าง เขาพูดขึ้นมา “ขอเวลาหน่อยได้ไหม เดี๋ยวฉันหาทางแก้ให้…เดี๋ยวก่อนนะ ต้นวอลนัทฉันหายไปไหนแล้วล่ะ มันหายไปไหน! อย่างน้อยก็น่าจะเก็บลำต้นมันไว้หลังจากที่โค่นมันไปแล้วสิ”  

 

 

สือเสวจิ้นไม่ได้ออกจากห้องมาสองวันแล้ว เขามัวแต่หาวิธีแก้ให้เนี่ยถิง  

 

 

“หลี่ว์ซู่เอาไปแล้วน่ะ…” เนี่ยถิงตอบกลับหลังจากเงียบไปสักครู่  

 

 

[ได้รับแต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +666]  

 

 

จากนั้นสือเสวจิ้นก็พูดย้ำอีกครั้ง “อย่าใช้มันจนกว่าจะจำเป็นจริงๆ นะ!”  

 

 

“ฉันรู้น่า” เนี่ยถิงพยักหน้ารับรู้ “หลี่ว์ซู่น่าจะเข้าไปในบริเวณส่วนกลางของภูเขาจั่งไป๋แล้ว เพราะแนวหน้าของเราถูกบุกตะลุยเข้ามาทางตะวันออกอีกครั้งแล้ว ฉันจะใช้มันตอนเข้าตาจนจริงๆ แต่ฉันจะเห็นแก่ตัวไม่ได้หรอก ฉันต้องปกป้องเครือข่ายฟ้าดินเอาไว้ คนของเรากำลังสละชีวิตเพื่อประเทศของเราอยู่นะ ฉันก็ต้องอยู่ข้างพวกเขาสิ”  

 

 

สือเสวจิ้นยกมือขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ลดมือลงไปอย่างช่วยไม่ได้ “ช่างเถอะ ฉันโน้มน้าวใจนายไม่ได้หรอก นายรู้ว่านายจะต้องทำอะไรตั้งแต่หนุ่มๆ แล้วนี่”  

 

 

ที่จริงสือเสวจิ้นก็รู้ตัวเองเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นที่จะผ่านสามศาสนาเพื่อเปิดเส้นทางที่อันตรายอย่างนั้นหรอก  

 

 

เนี่ยถิงหันหลังแล้วเริ่มเดินออกไป เมื่อเขาเดินเกือบถึงประตูแล้ว อยู่ๆ เขาก็หันกลับมายิ้มให้ “ฉันดูหลี่ว์ซู่ไม่ผิดใช่ไหมล่ะ”  

 

 

สือเสวจิ้นยิ้มตอบ “นายสงสัยว่าเขาเป็นราชาปิศาจสักพักแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงเขาจะทำลายโลกนี้ไม่ได้ แต่เขาก็ทำลายบรรยากาศเก่งเสียเหลือเกินล่ะ ตอนนี้เขาคงกำลังฆ่าอย่างเมามันแล้ว จะเรียกเขาว่าราชาปิศาจก็คงจะไม่มากเกินไปล่ะมั้ง”  

 

 

เนี่ยถิงหยุดคิดไปพักหนึ่งก่อนจะถาม “นายจะว่าไงถ้าให้เขามาเป็นผู้นำคนใหม่ของเครือข่ายฟ้าดิน”  

 

 

สือเสวจิ้นรีบตอบ “เขาจะทำพังน่ะสิ อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ”  

 

 

“ก็จริง” เนี่ยถิงเห็นด้วย จากนั้นเขาก็เดินไปขึ้นรถ  

 

 

เนี่ยถิงนั่งหลับตาอยู่ในเบาะหลังของรถจี๊ปขณะที่มันกำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันออก สัญลักษณ์ที่ปรากฏบนรถบ่งชี้ชัดว่าเป็นรถของเครือข่ายฟ้าดิน  

 

 

หลังจากที่ห่าวจื้อเชาลังเลอยู่นานเขาก็ถามขึ้นมาจากเบาะหน้า “ราชันฟ้าเนี่ยครับ ครั้งนี้หลี่ว์ซู่ฆ่าคนไปเยอะมาก ท่านไม่กลัวเหรอครับว่าเขาจะเสียตัวตนของตัวเองไป”  

 

 

“อย่ากังวลไปเลย” เนี่ยถิงตอบกลับอย่างใจเย็น “ราชันฟ้าสือบอกว่าเนื้อแท้ของเขาเป็นคนจิตใจดี”  

 

 

…  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset