ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 808 ไล่ล่า (5)

คืนนี้เพิ่งจะเริ่มต้น ใบไม้ในป่าปลิวไปตามสายลม ราวกับว่ามีนักล่าซ่อนตัวอยู่ในเงามืดรอเข้าตะครุบเหยื่อ  

 

 

หัวหน้ากลุ่มยืนอยู่ข้างศพของสมาชิกในกลุ่ม เขาค่อย ๆ ตรวจดูสภาพศพโดยไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวดหรือความเศร้า เหมือนว่าเขาเป็นสัตว์เลือดเย็นอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

ที่จริงแล้วพวกเขาเพิ่งจะมารวมกลุ่มกันเพียงแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกเขาต้องฝึกซ้อมกันเป็นทีม พวกเขาไม่ได้มีความผูกพันอะไรกันแต่แรกอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้แสดงความเสียใจต่อสมาชิกในกลุ่มจากองค์กรอื่น  

 

 

หัวหน้ากลุ่มนั่งลงเพื่อตรวจสภาพศพใกล้ๆ และคนตายก็พูดไม่ได้เสียด้วยสิ เมื่อดูจากร่องรอยของแผลแล้ว เขาบอกได้เลยว่าหลี่ว์ซู่ใช้พลังระเบิดที่ใกล้เคียงกับคนระดับ B และการควบคุมกล้ามเนื้อของหลี่ว์ซู่ก็แม่นยำเหลือเชื่อ รอยเท้าที่อยู่บนพื้นก็แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีวิธีการออกแรงที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมาก  

 

 

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประมาทพลังที่แท้จริงของศัตรูไป ตอนนี้ทั้งกลุ่มกำลังคิดหนัก  

 

 

แล้วหัวหน้ากลุ่มก็ประกาศออกมา “ยืนยันว่าเขาเป็นระดับ B แน่นอน หรืออาจจะอยู่ระดับ B ขั้นกลางด้วยซ้ำ กระจายตัวกันออกไปซะและระวังตัวด้วย เริ่มการไล่ล่าได้!”  

 

 

ในน้ำเสียงของเขามีความดีใจเจืออยู่ ก่อนยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนนั้นทุกคนในกลุ่มถูกเรียกกันว่าเป็นเครื่องจักรสังหาร แต่พวกเขาไม่ได้มีโอกาสปลดปล่อยพลังของตัวเองในยุคที่สงบสุขอย่างนี้มาหลายปีแล้ว  

 

 

ตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีของพวกเขา พวกเขาจะไล่ล่าศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยเจอมา และมันก็เป็นช่วงเวลาที่น่าสนุกสุดๆ  

 

 

สมาชิกในกลุ่มคนหนึ่งก้มลงเพื่อตัดหูออกมาจากศพของสมาชิกที่ตายไป จากนั้นเขาก็หัวเราะ “ฉันขอเจ้านี่นะ พอได้ฆ่าไอ้หนุ่มนั่นเสร็จ ฉันจะได้เข้าไปเอาหน้าด้วยเลย”  

 

 

เขาทำท่าสบายๆ เพราะเมื่อสมาชิกตายไปแล้วก็ยังเหลือแค่ประโยชน์อย่างเดียวให้คนอื่นๆ ได้  

 

 

หัวหน้ากลุ่มมองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น “เรื่องเอารางวัลล่ะเร็วนัก เดี๋ยวฉันจะตัดหูแกสองข้างตอนแกตายเลย”  

 

 

แล้วผู้ชายคนนั้นก็แยกเขี้ยวตอบ “งั้นรอให้ฉันตายก่อนแล้วกัน”  

 

 

ที่จริงก็ไม่มีใครว่าอะไรเรื่องการตัดหูนี่อยู่แล้ว เพราะพวกเขาสามารถเอาหูข้างหนึ่งไปแลกศิลาวิญญาณได้หนึ่งเม็ดเมื่อกลับแคมป์ ยิ่งชีวิตถูกเอาไปแลกแค่ศิลาวิญญาณเม็ดเดียว คุณค่าของชีวิตมนุษย์ก็ยิ่งลดลง  

 

 

และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องฆ่าคนสำคัญในเครือข่ายฟ้าดินเพื่อไปรับเอารางวัลที่ใหญ่กว่าเดิม  

 

 

ซึ่งนั่นก็หมายถึงราชันฟ้าทั้งหลาย  

 

 

…  

 

 

กลุ่มนี้ตามร่องรอยของหลี่ว์ซู่ไป เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตามอยู่ในกลุ่มด้วยจึงทำให้พวกเขาแกะรอยได้รวดเร็วขึ้น  

 

 

ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นนั่งลงและหยิบกระดาษห่ออาหารที่อยู่บนพื้นขึ้นมา เขาหันไปพยักหน้ากับหัวหน้ากลุ่ม “เรามาถูกทางแล้ว กระดาษห่ออาหารนี่เพิ่งถูกทิ้งได้ไม่นาน ฝุ่นยังไม่เกาะเลย”  

 

 

“ไล่ล่าต่อไป” หัวหน้ากลุ่มสั่งด้วยน้ำเสียงใจเย็น  

 

 

แต่เขาก็สับสนว่าชายหนุ่มคนนี้จะนำทางไปทางไหน แคมป์ของพวกเครือข่ายฟ้าดินอยู่ทางทิศตะวันตก แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับวิ่งไปทางเหนือ  

 

 

เขาไม่ได้วิ่งหนีกลับไปขอความช่วยเหลืองั้นเหรอ หรือว่าอยากจะตายบนภูเขานี่กัน  

 

 

“เขาวิ่งไปไหนน่ะ” หัวหน้ากลุ่มถาม  

 

 

“มีแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ที่อีกฝั่งของภูเขา ถ้าเขายังวิ่งไปตามทางนี้แล้วล่ะก็…เอ่อ เขาลดความเร็วลงแล้วล่ะ เราน่าจะจับเขาได้ก่อนที่เขาจะวิ่งไปถึงแม่น้ำเอ้อร์เต้าไป๋ ถ้าเราออกวิ่งไปเต็มกำลัง!” ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์  

 

 

แต่มีอะไรบางอย่างกวนใจหัวหน้ากลุ่มอยู่ ตอนแรกพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบสวรรค์ แต่พืชพรรณที่อยู่รอบทะเลสาบเริ่มเบาบางลงไปจนไม่เหมาะกับการซ่อนตัวแล้ว แล้วเขาจะวิ่งมาที่นี่ทำไมนะ หรือมีพวกเครือข่ายฟ้าดินซุ่มรอโจมตีอยู่งั้นเหรอ ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะหัวหน้ากลุ่มรู้ว่าคนระดับ B สองคนจากกลุ่มแก่นความเชื่อและกลุ่มฟีนิกซ์ได้ออกเดินทางไปทางนั้นเมื่อสี่วันก่อนแล้ว  

 

 

ดูจากเวลาแล้ว ระดับ B ทั้งสองน่าจะเดินทางป่านทะเลสาบสวรรค์ไปแล้ว และน่าจะเดินทางต่อไปที่ทิศตะวันตก พวกเขาน่าจะไม่มาเจอกันได้หรอก  

 

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าร่วมกับกลุ่มแก่นความเชื่อและกลุ่มฟีนิกซ์เพื่อจับชายหนุ่มคนนั้นได้ อย่างน้อยๆ พวกเครือข่ายฟ้าดินก็ไม่น่าจะมาหลบอยู่ที่นี่หรอก  

 

 

ทั้งกลุ่มไล่ล่าร่องรอยที่หลี่ว์ซู่ทิ้งไว้ต่อไป แต่ร่องรอยบางอย่างก็สามารถถูกลบไปได้  

 

 

ถ้าวิ่งในป่าแบบนี้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะทำกิ่งไม้หักหรือทำใบไม้เป็นรอยได้ ถึงจะลบรอยเท้าตัวเองได้แต่ใบไม้และกิ่งไม้ที่หักไปก็ไม่สามารถกลับไปติดได้ที่เดิม   

 

 

อีกอย่างผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าประสบการณ์ต่อสู้ในป่าของหลี่ว์ซู่ยังไม่ชำนาญเท่าไหร่ เขาไม่ลบรอยเท้าตัวเองเลย ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่ารอยเท้าพวกนี้จะเปิดเผยที่ซ่อนของเขาได้  

 

 

กลุ่มคนที่ไล่ตามเขากำลังหัวเราะอย่างทะนงตัวและเย็นชา พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยให้เป้าหมายเล็ดลอดไปได้ด้วยประสบการณ์หลายปีในป่าอย่างนี้หรอก  

 

 

แต่ทันใดนั้นเองก็มีเงาเคลื่อนลงมาจากกิ่งไม้ข้างบนและสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารทันที!  

 

 

กว่าที่เขาจะรู้ตัวว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวก็สายไปเสียแล้ว!  

 

 

หลี่ว์ซู่เข้าโจมตีแบบมือเปล่าอย่างที่เคยทำ สมาชิกในกลุ่มพยายามจะเอี้ยวตัวหลบและใช้กระดูกสันหลังซึ่งเป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายมนุษย์ปกป้องตัวเองไว้  

 

 

แต่หมัดที่หลี่ว์ซู่ปล่อยออกไปสู่กระดูกสันหลังของเขานั้นหนักแน่นเหมือนกับสายฟ้าฟาด ขนาดคนที่อยู่ข้างหลังสุดยังได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก หลี่ว์ซู่หักกระดูกสันหลังของคนระดับ C ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว!  

 

 

ชายคนนั้นล้มลงไปบนพื้นโคลนที่มีใบไม้เน่ากองอยู่ในขณะที่กำลังสูญเสียสมดุล ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาประมาทไปและฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่มือใหม่แน่นอน!  

 

 

ที่จริงเขาพูดถูกเรื่องหลี่ว์ซู่ไม่เก่งเรื่องการลบรอยเท้า และหลี่ว์ซู่ก็เลือกวิ่งไปตรงๆ ในป่าอย่างมุทะลุ ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วการกระโดดจากกิ่งไม้หนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่งเป็นเรื่องง่ายมาก  

 

 

หลี่ว์ซู่จึงหลอกให้พวกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นพวกเคลื่อนไหวช้า เพราะเขาไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด และพวกเขาก็คิดผิดที่คิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนระดับ B ขั้นกลาง  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ก็เห็นอะไรแปลกๆ เช่นกัน หัวหน้ากลุ่มระดับ B คนนั้นหายตัวไปแล้วยังไงล่ะ!  

 

 

ทันนั้นพื้นที่หลี่ว์ซู่ยืนอยู่ก็เหมือนเป็นพื้นทรายดูด หัวหน้ากลุ่มเป็นผู้มีพลังธาตุดิน เขาเข้าไปซ่อนตัวในพื้นและโจมตีหลี่ว์ซู่ด้วยการกลืนเขาเข้าไปในทรายดูด  

 

 

ก่อนหน้านี้สมาชิกในกลุ่มที่โดนหลี่ว์ซู่หักกระดูกสันหลังไปยังร้องโอดครวญว่าเขาคงต้องใช้ชีวิตบนรถเข็นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แต่ตอนนี้เขากลับเจอเรื่องน่ากลัวกว่านั้นก็คือหัวหน้ากลุ่มอยากให้เขาสละชีวิตโดนกลืนเข้าไปในทรายดูดนี้ด้วย  

 

 

ทุกชีวิตช่างเปราะบางนักในสงคราม และความเชื่อใจก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ทั่วไปในสนามรบอยู่แล้ว  

 

 

ทรายดูดหมุนเร็วเหมือนเครื่องโม่และพร้อมจะดูดกลืนชีวิตของหลี่ว์ซู่อยู่ทุกวินาที แต่ผู้มีพลังธาตุดินระดับ B นั้นกลับยืนอยู่ใกล้ๆ โดยไม่เป็นอันตรายอะไรเลย!  

 

 

แต่เขาก็ทำพลาดไป หลี่ว์ซู่ไม่อยู่ตรงบริเวณที่เขาหักกระดูกชายคนนั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้อยากจะอยู่ตรงนั้นต่อไปนานๆ!  

 

 

นอกจากนี้หลี่ว์ซู่ยังป้องกันตัวเองจากการโจมตีของสมาชิกคนอื่นๆ ได้ เหมือนกับว่าไม่มีใครหยุดเขาได้เลย!  

 

 

ว่าแต่เขาจะหนีไปทำไมถ้าเขาแข็งแกร่งขนาดนี้!  

 

 

หัวหน้ากลุ่มเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี มีสองทางที่เป็นไปได้ ทางแรกก็คือชายหนุ่มนั้นไม่ได้เก่งมากอย่างที่แสดงให้เห็น หรืออีกอย่างก็คือเขากำลังวางแผนสำหรับบางใหญ่ที่ยิ่งใหญ่และเ**้ยมโหดกว่านี้มาตั้งแต่แรกแล้ว!  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset