โยวหมิงอวี่และจ้าวหย่งเฉินแน่ใจกันมากว่าพวกเขาจะโน้มน้าวให้หลี่ว์ซู่ไปที่ภูเขาจั่งไป๋ได้ พวกเขาไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะปฏิเสธกลับมาเลย! เหตุผลน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเขากลายเป็นหัวหน้าของวิทยาลัยลั่วเสินแล้วน่ะสิ แล้วเขาจะทิ้งนักศึกษาไปที่เทือกเขาจั่งไป๋ได้อย่างไรกัน
โยวหมิงอวี่และจ้าวหย่งเฉินพยายามจะบอกว่าถ้าเขาไปเขาจะได้สู้กับผู้บำเพ็ญในต่างประเทศด้วยนะ และทุกอย่างที่เขาเจอในการเดินทางนั้นจะกลายไปเป็นของเขาหมดเลย!
แต่พวกเขาก็ต้องตกใจเพราะหลี่ว์ซู่ก็ยังปฏิเสธอยู่ดี!
นี่ล้อเล่นกันแน่ๆ โยวหมิงอวี่และจ้าวหย่งเฉินไม่รู้ว่าสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินที่กักเก็บวิญญาณมานั้นจะเป็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่สงสัยว่าคนร้ายอาจจะเล็งเป้ามาที่เขาเองนี่แหละ
เมื่อพวกเขาบอกว่าหลี่ว์ซู่ควรจะไปที่ภูเขา หลี่ว์ซู่ก็ไม่ไป เพราะที่นั่นก็มีเนี่ยถิงอยู่แล้ว เนี่ยถิงเอาชนะกลุ่มของคนระดับ A ได้ง่ายๆ แล้วเขาจะเอาตัวเองไปเสี่ยงทำไม ถ้ามีคนจัดฉากนี้ขึ้นมาล่ะ
หลี่ว์ซู่เป็นเหมือนกับโจร เขาถูกขู่แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในอันตราย แต่หลี่ว์ซู่เองก็ไม่คิดว่าเขาฉลาดหรอก เขาวางแผนไม่ค่อยเก่ง และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปสู้กับคนที่เชี่ยวชาญกว่าในพื้นที่ของคนพวกนั้นด้วย
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วโยวหมิงอวี่และจ้าวหย่งเฉินก็เสียใจมาก พวกเขามีปัญหาที่ชายแดนกันอย่างหนัก องค์กรขนาดใหญ่ต่างๆ ก็จับตามองพวกเขาอย่างน่าหวาดกลัว ถึงพวกเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญระดับ B อยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ต้องย้ายเฟิงเยี่ยหมิง เฟิงอวิ๋นลู่ และเฉินไป่หลี่ออกไป พวกเขาเลยไม่ค่อยมีผู้เชี่ยวชาญไปช่วยที่ชายแดนเท่าไหร่
เครือข่ายฟ้าดินเพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขากำลังเข้าใกล้จุดสูงสุดของความแข็งแกร่ง และในที่สุดก็จะได้คลายกังวลเรื่องชายแดนของพวกเขาเสียที
แต่ตอนนี้พวกเขากลับเจอปัญหาใหญ่ที่สุดตั้งแต่เครือข่ายฟ้าดินถูกจัดตั้งขึ้นมา ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้มีอำนาจในการกำจัดเครือข่ายฟ้าดินหรอก แต่การที่พวกเขาข้ามพรมแดนเข้ามากันทีละมากๆ แบบนี้ เครือข่ายฟ้าดินเองก็ไม่แข็งแกร่งพอจะถือว่าโลกภายนอกทั้งหมดเป็นศัตรูได้
เฟิงเยี่ยหมิงรีบออกไปเพียงแค่คืนเดียวก่อนการแข่งขันเท่านั้น ก่อนเขาจะไปเขาก็มาตามหาหลี่ว์ซู่
เฟิงเยี่ยหมิงยังอยู่ในชุดนักศึกษาอยู่ เขายังสวมหูฟังไว้ที่คอและถือคีย์บอร์ดด้วย เฟิงเยี่ยหมิงหัวเราะออกมา “นายน่าจะมาที่ภูเขาจั่งไป๋กับเราด้วยนะ”
หลี่ว์ซู่สงสัย “การไปภูเขาจั่งไป๋ไม่ทำให้เสียเวลาเล่นเกมเหรอครับ”
“บางครั้งก็มีเรื่องที่สำคัญกว่าการเล่นเกมเหมือนกันนะ” เฟิงเยี่ยหมิงยิ้มตอบ “จะไม่มากับเราจริงๆ เหรอ”
“ไม่ล่ะครับ” หลี่ว์ซู่ส่ายหัว
เฟิงเยี่ยหมิงไม่ได้พูดอะไรต่อ ทุกคนรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่มีความขัดแย้งอะไรบางอย่างกับเทือกเขาจั่งไป๋อยู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเขาก็คงบังคับให้หลี่ว์ซู่ไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว
หลังจากที่เฟิงเยี่ยหมิงออกไป หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยก็มา พวกเขาก็จะไปที่เทือกเขาจั่งไป๋เหมือนเฟิงเยี่ยหมิงเหมือนกัน พวกเขามาโน้มน้าวใจหลี่ว์ซู่เช่นเดียวกัน แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังคงปฏิเสธ
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีบรรยากาศน่าอึดอัดอยู่ เหมือนกับว่าผู้คนรอบๆ ตัวเขากำลังเตรียมตัวพร้อมสู้ แต่เขาไม่ได้บอกใครเลยว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นคนที่กักเก็บวิญญาณไว้ เขาบอกไม่ได้ เพราะเขารู้สึกว่าคนร้ายไม่ได้เล็งเป้าไปที่ภูเขาจั่งไป๋หรือสิ่งมีชีวิตในหุบเขาลึก หรือมูลนิธิหรอก แต่เป็นเขาต่างหาก
ทุกอย่างที่เขาคาดเดาล้วนมาจากพื้นฐานของความจริงทั้งนั้น แต่หลี่ว์ซู่บอกไปไม่ได้ เขาทำได้แต่มองสถานการณ์และดูเพื่อนของเขาจากไปทีละคน
วันรุ่งขึ้นจะมีพิธีเปิดการแข่งขันระหว่างวิทยาลัยจัดขึ้น พิธีเปิดนี้เป็นพิธีง่ายๆ เหมือนกับพิธีเปิดโอลิมปิก จะมีการแสดงและจะมีขบวนผู้เข้าแข่งขันเดินเข้างานมาด้วย
พวกเขาจะไม่ทำตัวสบายๆ เหมือนกับการแข่งขันกีฬาฤดูใบไม้ผลิหรอก จงอวี้ถังก็จะมากล่าวเปิดงานในพิธีด้วย
คนที่จะมากล่าวเปิดงานควรต้องเป็นหลี่อีเสี้ยว ไม่ว่าเขาจะเอาแน่เอานอนไม่ได้แต่อย่างไรแล้วเขาก็เป็นราชันฟ้า แต่หลี่อีเสี้ยวออกไปจากเมืองตั้งแต่คืนก่อนแล้ว จงอวี้ถังเลยต้องมาทำหน้าที่แทนอย่างช่วยไม่ได้
ไม่มีใครคิดจะให้หลี่ว์ซู่ขึ้นไปพูด เพราะหลี่ว์ซู่ยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมในงานนี้ จงอวี้ถังเองก็กลัวว่าสิ่งต่างๆ จะเกิดความผิดพลาดไปก่อนที่จะเปิดงานด้วยซ้ำ…
ที่วิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินมีสนามจัดแข่งขันเล็กๆ เท่านั้น และรองรับคนได้แค่ 7000 คน
ตอนแรกพวกเขาก็อยากให้นักศึกษาคนอื่นๆ รออยู่ข้างนอก เพราะในสนามไม่ได้มีที่มาก แต่ข้างนอกมีที่เหลือเฟือ
แต่นักศึกษาทุกคนกลับไม่เห็นด้วย พวกเขาอยากมาดูพิธีเปิดกับตา ถึงแม้จะต้องยืนไปตลอดก็เถอะ ดังนั้นในสนามเลยมีนักศึกษาเต็มไปหมด และหนึ่งในสามของพวกเขาจะต้องยืนตลอดงาน
เมื่อผู้เข้าแข่งขันเดินเข้ามาในสนามก็มีเสียงเชียร์ดังลั่น นักศึกษาของหลู่โจวเดินเข้ามาด้วยเสื้อกีฬาสีแดงและก็เดินออกไป หัวหน้าทีมของพวกเขาถือธงที่เขียนไว้ว่า ‘ชนะแน่’
พวกนักเรียนหัวกะทิดูโดดเด่นกันมาก พวกเขาดูเต็มไปด้วยพลังและดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง
เมื่อทีมที่สองเดินออกมา ทันใดนั้นก็มีกลิ่นดินปืน มีคำว่า ‘กำจัดทุกคน’ ถูกเขียนไว้บนเสื้อกีฬาและธงของพวกเขา
บรรทัดที่สองยิ่งมีคำที่ก้าวร้าวกว่าเดิมปรากฏอยู่บนธงว่า ‘ขอโทษนะ แต่ฉันอยากชนะว่ะ’
ทุกคนที่เข้ามาดูตื่นเต้นมาก พวกเขาอยากจะเห็นการแข่งขันว่าจะออกมาแบบไหนแล้ว! ก่อนหน้านี้ทุกคนกำลังเครียดกันเรื่องภูเขาจั่งไป๋ และการแข่งขันนี้ก็ช่วยให้พวกเขาได้ระบายอารมณ์อึดอัดออกไป
นักศึกษาจากวิทยาลัยอื่นๆ ก็พูดเรื่องนี้บนกระทู้ นี่เหมือนเป็นกับงานเทศกาลระหว่างเจ็ดวิทยาลัยผู้บำเพ็ญเลย!
เหมือนกับว่าทุกทีมเตรียมตัวกันมาอย่างดี คำขวัญของพวกเขาเริ่มก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ บางคำขวัญก็เขียนด้วยความหยาบคาย
ธงพวกนี้ไม่ใช่แค่การแสดงเกียรติของตัวเองอย่างเดียว แต่เป็นการยั่วยุต่างหาก!
เมื่อทั้งหกทีมออกมากันหมดแล้ว พวกนักศึกษาก็เห็นว่ามีคำสามคำถูกพิมพ์ลงบนเสื้อกีฬาสีดำว่า ‘ออมมือด้วย’
ผู้ชมทั้งหมดเป็นนักเรียนจากวิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินนั่นเอง ผู้คนกระซิบกระซาบกันทั่ว “ทีมวิจัยสายพันธุ์ของเราแข็งแกร่งกันมาก พวกเขาก็น่าจะได้คำขวัญที่ดีกว่านี้ใช่ไหม”
“แน่ล่ะ! ทำไมพวกเขาจะต้องถ่อมตัวด้วย” ใครบางคนหัวเราะขึ้นมา ถึงแม้ว่าท่านหลี่ว์จะถูกบังคับให้ดูการแข่งขันเฉยๆ แต่ทีมวิจัยสายพันธุ์ก็เป็นความภาคภูมิใจของวิทยาลัยอยู่ดี
ผู้ชมจากวิทยาลัยบำเพ็ญลั่วเสินเดินออกมาแล้ว หลี่ว์ซู่เดินนำอยู่ข้างหน้าและถือธงสี่ด้าน…
ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ คนอื่นๆ ถือธงที่มีคำพูดพิมพ์ออกมาแค่ด้านเดียว แต่ท่านหลี่ว์กลับถือธงที่พิมพ์ออกมาสี่ด้าน…
แล้วบนธงเขียนว่าอะไรกันนะ ‘ร้านเกมแครี่และอินเทอร์เน็ตยินดีต้อนรับ เราอยู่ห่างจากวิทยาลัยไป 500 เมตรเท่านั้น’
แล้วด้านอื่นล่ะ ‘ชาสมุนไพรกระป๋องแดง ขายดีที่สุดในประเทศ’
แล้วทั้งสนามก็เงียบไปหมด ทีมอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้ามองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เฉินจู่อาน และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่หลังหลี่ว์ซู่ใส่เสื้อกีฬาที่พิมพ์ไว้ว่า ‘พื้นที่ว่างให้โฆษณา’
[ได้รับแต้มจากจงอวี้ถัง +666]
[ได้รับแต้มจากโยวหมิงอวี่…]
[ได้รับแต้มจาก…]