ตรอกหลิวไห่ เมืองหลวง
เป็นหน้าร้อน พุ่มไม้จากต้นวอลนัทสูงใหญ่ปกคลุมแสงแดด สือเสวจิ้นนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ใต้ร่มไม้นั้น
เขาอ่านไปอย่างช้าๆ อ่านอยู่หลายสิบนาทีถึงจะพลิกซักหน้า คนอื่นเห็นก็คงคิดว่าเขากำลังนั่งเหม่อไม่ได้นั่งอ่านหนังสือ
“วิธีนั้นจะใช้ได้จริงหรือ” เนี่ยถิงถามขึ้นลอย
“ไม่มีคำตอบ ลงมือทำถึงจะรู้” สือเสวจิ้นยิ้มอย่างใจเย็น
“ถ้าไม่มีคำตอบล่ะ” เนี่ยถิงเหลือบมองเขา
“ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ต้องมีคำตอบ” สือเสวจิ้นหัวเราะ
หนทางนั้นมันเดียวดาย เขาถือว่าโลกนี้เป็นแบบฝึกหัดที่ยิ่งใหญ่ และเขาต้องค่อยๆ ค้นหาตัวแปรในความจริงนั้นไป สุดท้ายก็จะได้คำตอบที่เป็นไปได้สำหรับแบบฝึกหัดนี้
มันอาจจะถูกหรืออาจจะผิด แต่ไม่เป็นไร
“ถ้าเหล่านักปราชญ์ไม่เดินไปตามหนทางที่แตกต่างกัน จะมีความรู้เรื่องการบำเพ็ญอย่างวันนี้ได้อย่างไร” สือเสวจิ้นดูไม่ค่อยใส่ใจ
“ฉันจะไปภูเขาฉางไป๋อีกครั้งอาทิตย์หน้าดู นายดูทางนี้ให้ดีๆ ” เนี่ยถิงพูด “ปรมาจารย์หุ่นเชิดมีนิสัยแปลกประหลาด ข้อมูลที่เราได้รับจากมูลนิธิอาจไม่ครบถ้วนหรือ…แม้แต่มูลนิธิยังไม่ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน “
สือเสวจิ้นก็ยังงุนงงกับเรื่องนี้ “เดิมทีฉันคิดว่าพวกเขาไปหาอาซานเพื่อควบคุมผู้ฝึกที่นั่นลับๆ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ทำเช่นนั้น ดูราวกับว่า…พวกเขาดูถูกผู้บำเพ็ญระดับนี้”
“เป้าหมายของปรมาจารย์หุ่นเชิดคืออะไรกันแน่” เนี่ยถิงเหมือนจะถามสือเสวจิ้นและถามตัวเองไปด้วย
จากบันทึกของมูลนิธิ ปรมาจารย์หุ่นเชิดผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ มีชีวิตอยู่เพื่อราชาแห่งดินแดนเนรเทศ สาบานว่าจะจงรักภักดี ฝ่ายนั้นมาจากดินแดนแล้วประกาศว่าจะอัญเชิญองค์ราชาเสด็จกลับ จากบันทึกเนี่ยถิงจึงเข้าใจว่า ปรมาจารย์หุ่นเชิดพวกนี้เป็นทัพหน้าของราชา ราชาของพวกเขาจะเสด็จกลับโลกจากดินแดนเนรเทศ
แต่ราชาคือราชาแห่งดินแดนเนรเทศ เขาก็จึงควรอยู่ที่ดินแดนนั้น แต่ปรมาจารย์หุ่นเชิดพวกนี้ทำลายกำแพงได้อย่างไร และหลังจากที่อีกฝ่ายมายังโลกก็ดูไม่รีบร้อนจะทำลายกำแพงต่อ แต่เหมือนเขากำลังรวบรวมกองกำลังเก่าอยู่
บนโต๊ะหินด้านหน้าเนี่ยถิงมีกองแฟ้มหนาๆ นั่นเป็นเอกสารที่มูลนิธิมอบให้เครือข่ายฟ้าดินและยังมีเอกสารขององค์กรอื่นอีก เนื้อหาทั้งหมดคือการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับดินแดนเนรเทศ
แต่ข้อมูลพวกนี้ไม่ถูกต้องซะทีเดียว ข้อมูลบางอย่างเป็นสิ่งที่มูลนิธิยืนยัน แต่ก็มีบางข้อมูลที่เป็นเบาะแสที่รวบรวมจากข้อมูลที่ทราบ
เบาะแสเหล่านี้บางส่วนเป็นตำนานโบราณ บางส่วนเป็นประวัติท้องถิ่นแต่ก็ไม่น่าเชื่อถือซะทีเดียว และแม้แต่หลี่เสียนอียังบอกว่าสิ่งเหล่านี้ให้ใช้อ้างอิงคร่าวๆ เท่านั้น
เรื่องราวในปีนั้นเหมือนจะถูกลบไปจากโลกด้วยพลังอันยิ่งใหญ่และเนี่ยถิงดูเหมือนจะรู้เหตุผลของมัน การดำรงอยู่ของราชานั้นเหมือนมารร้ายในตำนานที่แข็งแกร่งขึ้นจากการกลืนกินความกลัวของผู้อื่น ดังนั้นแม้แต่แค่ชื่อของมารร้ายก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องห้ามเมื่อเวลาผ่านไป
ราชาที่กลายเป็นมารร้ายตนนั้นดูเหมือนเขาจะครอบครองดินแดนเนรเทศทั้งหมดและแม้แต่จักรพรรดิทั้งจัตุรทิศในตำนานของดินแดนเนรเทศก็ยังต้องถวายความกลัวเป็นบรรณาการแด่เขา และมนุษย์ทุกคนที่รู้ความจริงต่างเรียกเขาเป็นศัตรูในจินตนาการ
แต่ทำไมปรมาจารย์หุ่นเชิดถึงไม่ทำลายกำแพง เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนในคืนที่มีพายุตกหนัก พวกเขาได้ลอบเข้ามาแต่ถูกมูลนิธิล้อมเอาไว้ จนในที่สุดก็ต่อสู้จนปางตายและหลบหนีออกไปได้
ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา มูลนิธิพยายามตามหาร่องรอยของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหายไปในกลีบเมฆ แต่กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเอาตอนนี้ และมีพลังที่สูงขึ้นไปอีกระดับอย่างไม่น่าเชื่อ
สิบเจ็ดปีที่มูลนิธิเฝ้าระวังมา แต่ดูเหมือนพวกนั้นไม่ได้คิดจะทำอะไรและอยู่ๆ ก็หายไป แม้แต่มูลนิธิเองก็เกือบคิดว่าตนเองทำผิดพลาดอะไรไป…
“ทำเพื่ออะไร” เนี่ยถิงคิดด้วยความใจเย็น
เขาอ่านบันทึกเกี่ยวกับคืนที่มีพายุเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้วทุกถ้อยทุกคำ คืนนั้นพวกเขาได้พบกับปรมาจารย์หุ่นเชิดสี่คนสังหารพวกเขาไปสองคนและเหลือรอดไปสองคน และในเวลานั้นเองที่หลี่เสียนอีสูญเสียรากฐานพลังของตนเอง
เนี่ยถิงอ่านไปเจอบทความหนึ่งจึงขมวดคิ้วขึ้นทันที บทความกล่าวว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดอ่อนแอมากเหมือนกำลังเจ็บป่วยอยู่ และในระหว่างการต่อสู้ปรมาจารย์หุ่นเชิดคนหนึ่งก็แบกกล่องขนาดใหญ่ไว้
ในที่สุดปรมาจารย์หุ่นเชิดก็แยกย้ายหนีกันไป คนที่แบกกล่องถูกไล่ล่าและฆ่าในเมืองลั่วเสิน แต่ไม่รู้ว่ากล่องใบนั้นหายไปไหน ปรมาจารย์หุ่นเชิดคนนั้นคือหนึ่งในคนที่ถูกฆ่า
เนี่ยถิงอยากรู้ว่าในกล่องนั้นคืออะไรกัน ส่วนปรมาจารย์หุ่นเชิดอ่อนแอลงเพราะเหตุใด เขาตัดสินในใจว่าบางทีความแข็งแกร่งของปรมาจารย์หุ่นเชิดเหล่านั้นอยู่ที่ระดับ A แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมความแข็งแกร่งของเขาถึงลดลง!
จนมาถึงตอนนี้ มูลนิธิได้ตัดสินใจว่ากล่องใบนั้นน่าจะเป็นของวิเศษที่ใช้ทำลายกำแพงกั้น ดังนั้นจึงพยายามตามหาสิ่งนั้นมาตลอด จนกระทั่งหลี่เสียนอีอยู่ที่เมืองลั่วเสินมาสิบเจ็ดปีแล้ว
เป็นเพราะปรมาจารย์หุ่นเชิดสูญเสียของวิเศษที่ใช้ทำลายกำแพง ดังนั้นสิบเจ็ดปีผ่านมา กำแพงจึงยังคงอยู่เช่นเดิม
หลังจากที่ตัวตนของคลาวด์อีถูกเปิดเผย เครือข่ายฟ้าดินจึงเริ่มมองหาเบาะแส เนี่ยถิงพบโดยบังเอิญว่าช่วงสิบกว่าปีนี้ เมื่อปีที่แล้วคลาวด์อีเดินทางมาเมืองลั่วเสินมากถึงแปดครั้ง ราวกับกำลังตามหาอะไรบางอย่าง!
เนี่ยถิงเริ่มอ่านบันทึกของสมาชิกนักสู้ทุกคนที่เข้าร่วมในศึกนั้น บันทึกเหล่านั้นบันทึกจากการสัมภาษณ์ปากเปล่า ตอนนี้เองเนี่ยถิงสังเกตเห็นประโยคที่ไม่โดดเด่นมาก [การต่อสู้นองเลือดในคืนนั้นเกือบทำให้เกิดเสียงหลอน เหมือนว่าผมจะได้ยิน “เสียงทารกร้อง” ท่ามกลางเสียงฝน]
เนี่ยถิงหันไปมองสือเสวจิ้นทันที สือเสวจิ้นเองก็ไร้คำตอบ เขาลูบหน้าตัวเอง “มองฉันทำไม”
“พวกเราคิดมาเสมอว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดมาที่นี่เพื่อทำลายกำแพง และราชาของพวกเขายังอยู่ที่ดินแดนเนรเทศ แต่นายเคยคิดไหมว่าบางทีเสียงร้องของทารกนั้นอาจไม่ใช่เสียงหลอนแต่มันมีอยู่จริง และในกล่องนั่นไม่ใช่สิ่งของวิเศษที่ใช้ทำลายกำแพงแต่เป็นทารกจริงๆ!” เนี่ยถิงตะลึงกับคำตอบที่เขาจินตนาการ “ทารกคนนั้นอาจจะเป็นราชาของพวกเขาหรืออาจจะเป็นสายเลือดที่เหลือรอดมา”
สือเสวจิ้นก็ตะลึงเช่นกัน “แต่คนอื่นๆ บอกว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงทารกร้อง”
“บางทีทารกอาจจะนอนหลับอยู่ เสียงร้องที่ดังขึ้นมาครั้งหนึ่งอาจมีคนเดียวที่ได้ยิน” เนี่ยถิงกล่าว
“แต่ถ้าเป็นทารกจริงๆ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะ จะเหมือนมนุษย์อย่างเราไหม” สือเสวจิ้นหัวเราะ “จากที่นายพูด จอมมารตัวนี้ตอนนี้คงกำลังเริ่มทำลายโลกแล้วสิ”
เนี่ยถิงส่ายหน้า เขามองไปที่ยอดต้นวอลนัทที่อยู่เหนือศีรษะ แสงแดดอันอบอุ่นส่องมาจากช่องว่างระหว่างใบไม้ “พวกเราปล่อยให้เป็นคำถามปลายเปิดไปก่อนแล้วกัน…เดี๋ยวก่อนนะ ปีนี้หลี่ว์ซู่อายุเท่าไหร่ เขาถูกส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่อไหร่”