ทีแรกคอรัลเตรียมออกเดินทางมายังเครือข่ายฟ้าดิน แต่แล้วตอนที่กำลังจะขึ้นเครื่องบิน เธอสัมผัสคลื่นแห่งการกลายพันธุ์และธรรมชาติของสายพันธุ์ทั้งหมดก็เริ่มกลับตาลปัตร
ในตอนแรก กลุ่มเทวาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นคอรัลในฐานะผู้นำกลุ่มจำเป็นจะต้องอยู่ก่อน
ในเวลานี้ถ้าผู้นำกลุ่มจากย่อมไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมอย่างยิ่ง และคอรัลเองก็เป็นผู้ที่มีพลังการต่อสู้สูงสุดของกลุ่มเทวาแล้วเธอจะไปได้อย่างไร
ซึ่งคอรัลจำต้องอยู่ต่อไป ในระหว่างขั้นตอนการกลายพันธุ์ครั้งนี้ กลุ่มเทวาพบว่ามีสิ่งมีชีวิตระดับ B กำลังซ่อนตัวพักฟื้นอยู่ในเทือกเขา เพื่อแก้สถานการณ์นี้คอรัลต้องลงมือเอง
ด้วยเหตุผลนี้เอง คอรัลอยู่ต่อจนมั่นใจว่ากลุ่มเทวาควบคุมสถานการณ์ได้แล้วจึงค่อยเดินทางมายังเครือข่ายฟ้าดิน ตอนแรกคอรัลเข้าเมืองหลวงเพื่อไปพบเนี่ยถิง เพราะยังผู้มีอำนาจของทั้งสององค์กรใหญ่จำเป็นต้องหารือกันในบางเรื่อง เช่นการเข้าวิทยาลัยลั่วเสิน…
เดิมทีเนี่ยถิงบอกว่าให้คอรัลเป็นอาจารย์พิเศษเลย อีกด้านจะได้ใช้ประโยชน์ในความรู้ของเธอ อีกด้านเขาคิดแล้วว่าฐานะของคอรัลสูงส่งและเป็นยอดฝีมือระดับ A ให้เป็นนักศึกษาก็ดูไม่เหมาะสม
แต่คอรัลปฏิเสธไม่ยอมเป็นอาจารย์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดเธอก็จะไม่เป็นอาจารย์ …
เนี่ยถิงหารือเรื่องนี้เสร็จแล้วถึงเดินทางไปภูเขาคุนหลุน ส่วนคอรัลก็ซื้ออาคารทั้งหลังมาทำการปรับปรุงในขณะที่หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ อยู่ในภูเขาคุนหลุน แต่ตอนนี้การปรับปรุงยังไม่เสร็จสิ้น
ในเวลานี้ เนี่ยถิงได้ให้คอรัลเข้าเรียนเป็นกรณีพิเศษและกลายเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนสายต่อสู้ ก่อนหน้านี้คอรัลอยากเข้าสาขาสืบสวนเพราะคิดว่าระบบข่าวกรองของกลุ่มเทวายังบกพร่องอยู่ เพราะเครือข่ายข่าวกรองของเครือข่ายฟ้าดินยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง
แต่เนี่ยถิงไม่เห็นด้วย หลักการของเขาคือเขาไม่ยอมให้องค์กรอื่นเข้าใจกลไกข่าวกรองของเครือข่ายฟ้าดิน ถึงแม้ว่าจะเป็นพันธมิตรอย่างกลุ่มเทวาก็ตาม
เขาต้องการปกป้องนักรบของเครือข่ายฟ้าดินที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ หลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนคุ้นเคยกับระบบและทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย
สำหรับสาขาการต่อสู้ คอรัลเป็นยอดฝีมือระดับ A เนื้อหาพื้นฐานในสาขาการต่อสู้แทบไม่มีประโยชน์กับเธอ
ก่อนหน้านี้นักศึกษาของสาขาวิจัยเคล็ดวิชาหวังว่าจะได้รับวิชาจากสาขานี้ แต่พวกเขาคิดมากไป แต่ละวันที่เข้าเรียนมีแต่ความรู้ด้านทฤษฎี เช่น ความลึกลับของร่างกายมนุษย์ ความลึกลับของพลังวิญญาณ เนื้อหาของหลักสูตรมีไว้เพื่อให้พวกเขาเข้าใจพลังวิญญาณในร่างกายว่าทำงานอย่างไร เพื่อหวังว่าให้พวกเขานำไปคิดค้นวิชาใหม่
ในยามค่ำคืน ทุกบ้านต่างทยอยดับไฟลง อยู่ๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ลุกจากเตียงขึ้นมา เธอแนบหูกับกำแพงได้ยินหลี่ว์ซู่กำลังร้องเพลงดาวดวงน้อยในห้องนอน “เด็กน้อยชะมัด! “
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ย่องออกจากห้องมาที่หลังคาบ้านเงียบๆ เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงอยากขึ้นมา เธอแค่อยากจะขึ้นมานั่งเฉยๆ เมื่อก่อนจะมีหลี่ว์ซู่มานั่งกับเธอ
เธอนั่งเงียบๆ ห้อยขาอยู่ที่ขอบหลังคา หลี่ว์ซู่ร้องเพลงดาวดวงน้อยรวบรวมคลื่นดวงดาวจากจักรวาล แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ กลับมองไม่เห็น
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หยิบขวดแก้วใสที่บรรจุช็อกโกแลตหลากชนิดซึ่งเป็นของขวัญจากคอรัลที่ให้กับหลี่ว์ซู่
ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้กินช็อกโกแลตเลยแค่ซ่อนมันไว้ สิ่งที่เธอกินคือขนมช็อกโกแลตที่เธอพกติดตัว ถึงหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่อยากให้หลี่ว์ซู่กินแต่เธอก็ไม่คิดจะกินง่ายๆ เหมือนกัน
ช็อกโกแลตชิ้นแรกที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กินครั้งแรกในชีวิตของเธอคือที่หลี่ว์ซู่ซื้อให้
ในตอนนั้น หลี่ว์ซู่แอบเก็บเงินสองหยวนเพื่อซื้อช็อกโกแลตโดฟให้เธอ เป็นช็อกโกแลตที่ดูแพงที่สุดในร้านเล็กๆ ด้านนอก ช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ ที่หยิบออกมาจากกล่องแล้วแบ่งขายให้เด็กๆ ในตอนนั้นหลี่ว์ซู่ซื้อได้เพียงชิ้นเล็กๆ เท่านั้น
ตอนนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋บอกว่าซื้อแค่อันถูกๆ ก็พอแล้ว หลี่ว์ซู่บอกว่าไม่ได้ เขาบอกว่าช็อกโกแลตเป็นของอร่อย ดังนั้นช็อกโกแลตชิ้นแรกในชีวิตต้องกินที่อร่อยหน่อย ถ้าซื้อของไม่ดีมาแล้วไม่อร่อยก็น่าผิดหวังแย่เลย
ตอนนั้นหลี่ว์ซู่ไม่เคยกินช็อกโกแลต สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามักจะแจกลูกอมผลไม้ราคาถูกให้ หลี่ว์ซู่จะกินลูกอมผลไม้และดูหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กินช็อกโกแลต แล้วคอยถามเธอว่าอร่อยไหม
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เข้าใจว่าตั้งแต่วันที่พวกเขาพบกัน สิ่งที่หลี่ว์ซู่มอบให้เธอ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะหาให้ได้
ถึงแม้ว่าเธอโตขึ้นแล้วรู้ว่า อ๋อ ที่แท้ยังมีช็อกโกแลตราคาหลายพันหยวน แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋รู้สึกว่ารสชาติยังไม่อร่อยเท่าช็อกโกแลตสองหยวนที่กินครั้งแรก
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดว่าเมื่อเธอโตขึ้นเธอจะต้องซื้อช็อกโกแลตให้หลี่ว์ซู่กิน แต่คงไม่ต้องเพราะมีคนซื้อมาให้หลี่ว์ซู่แล้ว
ความรู้สึกนี้…น่าผิดหวังจริง ๆ
ในตอนนี้ เสี่ยวซยงสวี่วิ่งกลับมาจากข้างนอกพร้อมกับกระเป๋านักเรียนใบเล็ก มันเงยหน้าเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่บนหลังคา เสี่ยวซยงสวี่จึงกระโดดขึ้นจากพื้นมานั่งข้างๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋
มันดึงหนังสือเล่มเล็กๆ ออกมาเขียนว่า [เธอเป็นอะไรเหรอ อันนั้นดูน่าอร่อยนะ ฉันกินได้ไหม]
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เก็บขวดแก้วใสเข้าไปในแหวนมิติ “ไม่ได้ มันเป็นของหลี่ว์ซู่”
อ้อ เสี่ยวซยงสวี่พยักหน้า ของจอมมารไม่กินละกัน
มันเขียนต่อว่า [เธอไม่สบายใจเหรอ]
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เอียงหน้ามาถามว่า “ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ”
เสี่ยวซยงสวี่พยักหน้าและเขียนว่า [เป็นเพราะหลี่ว์ซู่หรือเปล่า]
“อืมน่าจะ…ใช่” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ฟุ้งซ่านเล็กน้อย
ทันใดนั้น เสี่ยวซยงสวี่ก็เขียนว่า [วันนี้ฉันเพิ่งขโมย…] เสี่ยวซยงสวี่เขียนแล้วก็หยุดเขียนเอายางลบมาลบ [วันนี้ฉันเพิ่งหยิบหนังสือการ์ตูนมา ในหนังสือบอกว่าผู้ชายผู้หญิงจะต้องแต่งงาน เธอจะแต่งงานกับหลี่ว์ซู่หรือเปล่า งานแต่งสวยๆ แบบนั้นน่ะ]
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตกใจ “แต่งงาน? แต่งงานกับหลี่ว์ซู่น่ะเหรอ”
[ใช่ เธอเคยคิดบ้างไหม] เสี่ยวซยงสวี่เขียน
คำถามนี้ทำเอาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นิ่งไปเลย เธอไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย ไม่ใช่แต่งหรือไม่แต่งแต่เธอไม่เคยแม้แต่จะคิด
ชายหนุ่มที่กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของเธอตั้งแต่วินาทีที่เธอได้พบ เขามอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอ ถ้าหากเธอมีสิ่งดีๆ เธอก็จะนึกถึงหลี่ว์ซู่ และถ้าเธอมีเงินเธอต้องเลี้ยงหม้อไฟที่ดีที่สุดให้เขา พอหน้าหนาวมาถึงก็จะซื้อเสื้อโค้ตราคาแพงๆ ให้ พร้อมกับรองเท้าดีๆ ซักสองสามคู่
เธอสลดใจเป็นเพราะคนคนนั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ ถ้าหากไม่มีหลี่ว์ซู่ เธอก็จะไม่มีอะไรเลย โลกใบตั้งกว้างใหญ่ แต่มันไม่มีความหมายอีกต่อไป
มันว่างเปล่า
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยากหนีออกจากบ้านสักครั้งเพื่อดูว่าหลี่ว์ซู่จะตามหาเธอไหม หรือต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเขาจะรู้ตัวว่าเธอไม่อยู่ ก็เหมือนกับเด็กที่อยากรู้ว่าตัวเองยังมีตัวตนอยู่หรือเปล่า อยากใช้วิธีที่ไร้เดียงสาดูว่าคนคนนั้นห่วงใยเธอไหม
แต่เธอจะไปที่ไหน
ขณะที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูบ้านก็เปิดออกและหลี่ว์ซู่ตะโกนขึ้นมาว่า “หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เธออยู่ไหน รีบเข้าบ้านได้แล้ว”
“ไม่ต้องตะโกน ฉันอยู่นี่! ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มร่าอยู่บนหลังคา เอาเถอะ การพยายามหนีออกจากบ้านครั้งแรกของเธอล้มเหลวซะแล้ว