ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 739 ความผิดปกติในการวิจัยสายพันธุ์

แม้แต่จางเยี่ยนเฟิงที่มีประสบการณ์สูงก็ไม่อาจประมาทได้ในป่าอันตรายแห่งนี้ อย่าว่าแต่พวกคนหนุ่มสาวแบบหวังเยี่ยนเลย

 

 

มนุษย์กลัวพวกหมาป่า หมี และสัตว์มีพิษตั้งแต่ก่อนยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแล้ว บางครั้งหมาป่าก็ดื้อรั้นอย่างไม่น่าเชื่อ จางเยี่ยนเฟิงเคยเจอหมาป่าสี่ตัวเดินตามหลังกลุ่มปีนเขาเป็นเวลา 12 วันเต็มๆ ทำให้ทุกคนกลัวตัวสั่นก็อยู่ตลอดเวลา ส่วนที่แย่ก็คือพวกมันไม่ได้เข้ามาโจมตีแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว แต่พวกมันแค่จะจ้องมองและเดินตามติด

 

 

ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นให้สังเกตดูจุดอ่อนของสัตว์พวกนั้น ที่จริงแล้วการจะทำให้มันอ่อนแอก็คือทำให้พวกมันบาดเจ็บจนถึงตาย บาดแผลที่ติดเชื้อจะทำให้หมาป่าถึงแก่ชีวิตได้โดยไม่มียาปฏิชีวนะมาช่วย เพราะฉะนั้นก็ต้องเห็นคุณค่าของโอกาสในการโจมตีทุกๆ ครั้ง

 

 

อย่างไรก็ตามพวกสัตว์กลับมีความสามารถในการสมานแผลดีขึ้นมาหลังจากมีการฟื้นคืนของคลื่นพลังจิตวิญญาณ พวกมันเรียนรู้เรื่องพวกนี้เนื่องจากมีสติปัญญาที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้นมันก็เลยดุร้ายและก้าวร้าวต่อมนุษย์มากขึ้น ยิ่งมีความแข็งแกร่งและความเร็วที่มากขนาดนี้ คนธรรมดาไปทำอะไรพวกมันไม่ได้แน่นอน

 

 

ไม่น่าเชื่อว่าทีมของหลี่ว์ซู่ใช้เวลาเดินเท้ากันมาแค่สามวันแทนที่จะเป็นเก้าวัน แต่ถ้าจะให้นับเวลาที่แน่นอนแล้วก็คงจะเป็นสองวันครึ่งเท่านั้น

 

 

ฝูงหมาป่าคุกเข่าลงบนพื้นหันหน้าไปทางหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่ยืนตระหง่านอย่างกับราชินีหมาป่าที่กำลังตอบรับการเคารพของพวกมัน หวังเยี่ยนและคนอื่นๆ มองฉากนั้นจากทางหน้าต่างอย่างไม่เชื่อสายตา

 

 

ในทางกลับกันสมาชิกของทีมหลี่ว์ซู่ก็ใจเย็นได้อีก

 

 

เมื่อย้อนกลับไปจางเยี่ยนเฟิงรู้สึกว่าคนพวกนี้ช่างใจเย็นเสียจริงๆ เหมือนกับว่าพวกเขาไม่กลัวอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเฉินจู่อาน เฉิงชิวเฉี่ยว หรือเฉาชิงฉือก็ไม่มีใครเห็นว่าฝูงหมาป่าเป็นเรื่องน่ากลัวตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองเฉินจู่อานเพื่อให้สัญญาณ “เอาเลย เร็วๆ ด้วยนะ”

 

 

“ได้เลย” เฉินจู่อานตอบ จากนั้นเขาก็เดินไปพร้อมกับเฉิงชิวเฉี่ยวเพื่อฆ่าฝูงหมาป่าทีละตัว จากนั้นก็ส่งให้เฉาชิงฉือและเธอก็เอาศพหมาป่าพวกนั้นใส่เข้าไปในคลังไร้รูป

 

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ใช้ความสามารถพิเศษในควบคุมสัตว์ แต่พวกเขาเคยเห็นเธอใช้ความสามารถนี้แค่กับจามรีหรืออูฐเชื่องๆ เท่านั้น

 

 

ที่โบราณสถานทะเลสาบเกลือชากา หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เคยเรียกตัวเองว่าเป็นผู้รู้ใจสัตว์ ซึ่งเป็นตอนเดียวกับที่เธอค้นพบความสามารถพิเศษของเธอ

 

 

ตอนนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ถูกฝูงสัตว์ขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวเธอไว้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ขี่หมูจอมพยศหนีออกมาจากโบราณสถานนั้น ดูแล้วน่าประทับใจทีเดียว

 

 

จากนั้นความสามารถนี้ของเธอก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นในขณะที่เธอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เธอสามารถควบคุมสัตว์ระดับ C สิบตัวอย่างง่ายดาย

 

 

ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นความสามารถพิเศษที่แท้จริงของเธอต่างหาก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอปะทุพลังแบบนี้

 

 

แต่หลี่ว์ซู่รู้ ที่น่าแปลกใจก็คือการฝึกฝนบำเพ็ญและการใช้แผนที่ดวงดาวทำให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก่อร่างวิญญาณใหม่ได้เช่นเดียวกัน ความสามารถทั้งสองนี้สามารถรับรองชัยชนะของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ในการต่อสู้ได้ เมื่อศึกนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนอาวุธ

 

 

พวกคนธรรมดารวมถึงหวังเยี่ยนกำลังนั่งอยู่ในอาคารชั่วคราว พวกเขาจ้องมองด้วยความตกใจในขณะที่เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวที่กำลังฆ่าฝูงหมาป่าด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ทันใดนั้นเฉินจู่อานก็หันขึ้นมามองในอาคารชั่วคราวและหัวเราะชอบใจ หวังเยี่ยนที่ฟังอยู่จากอีกด้านของหน้าต่างก็รู้สึกกลัวอย่างมาก

 

 

พวกเขาเป็นสมาชิกทีมของชายหนุ่มคนนั้นเหรอ พวกเขาดูแข็งแกร่งกันมากและสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินคนอื่นๆ ไม่น่าจะแข็งแกร่งได้เท่ากับพวกเขา!

 

 

หลังจากจางเยี่ยนเฟิงลังเลอยู่สักพัก เขาก็ถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ออกไป “เธอเป็นหัวหน้าทีมเหรอ”

 

 

สำหรับเขาแล้ว ความสามารถในการทำให้หมาป่าพวกนั้นเชื่องเป็นอะไรที่เขาไม่เชื่อสายตาตัวเองมาก อีกอย่างคนอื่นๆ ในทีมก็ดูจะฟังคำแนะนำของเธอโดยไม่สนอายุด้วย ก็เลยดูสมเหตุสมผลดีที่เธอจะเป็นหัวหน้าทีม

 

 

ถึงว่าหลี่ว์ซู่จึงรอให้ทีมมาถึงก่อน เพราะในทีมนี้มีหัวหน้าทีมที่แข็งแกร่งมาช่วยนี่เอง

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หันไปมองเขาแล้วตอบ “หลี่ว์ซู่เป็นหัวหน้าค่ะ ว่าแต่ว่าเขาอยู่ไหนกันล่ะคะ”

 

 

จางเยี่ยนเฟิงและหวังเยี่ยนได้ยินอย่างนั้นก็ประหลาดใจ หลี่ว์ซู่เป็นหัวหน้าของทีมที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อนี้จริงๆ ด้วยสินะ! แล้วเขาจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันล่ะเนี่ย! ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดูถูกความสามารถของเด็กหนุ่มคนนั้นมาตลอดเลย

 

 

ในขณะเดียวกันหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และเฉาชิงฉือก็หันไปมองทางประตูสู่นรกพร้อมๆ กัน พวกเธอเห็นหลี่ว์ซู่วิ่งฝ่าลมหิมะ หิมะเปิดทางเดินให้หลี่ว์ซู่ออกไปราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นอยู่

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋และคนอื่นๆ “ฉันจับสัตว์กลายพันธุ์มาได้สองสามตัว น่าจะเอาไปให้วิจัยสายพันธุ์ได้ใช้อีกสักพักเลยล่ะ”

 

 

จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ ชะงักไป อะไรนะ อะไรคือวิจัยสายพันธุ์ พวกเขาได้ยินคำนี้มาก่อนท่ามกลางการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนหลังจากวิทยาลัยผู้บำเพ็ญเปิดภาคการศึกษา แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่ากลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้ล้วนเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยผู้บำเพ็ญ

 

 

อะไรกันเนี่ย…อีกอย่างการวิจัยสายพันธุ์ก็เป็นภาควิชาที่อ่อนแอที่สุดเลยนี่ เพราะรับเฉพาะเด็กที่ไม่ค่อยมีความสามารถเท่าไหร่ ทำไมความเป็นจริงไม่เหมือนที่ได้ยินมาเลยล่ะ

 

 

ทันใดนั้นจางเยี่ยนเฟิงก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป หลี่ว์ซู่นำเฉิงชิวเฉี่ยว เฉินจู่อาน เฉาชิงฉือ และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้าล้อมหลัวหนาน

 

 

หลี่ว์ซู่ส่งสัญญาณให้จางเยี่ยนเฟิงออกไปยืนไกลๆ จากนั้นเขาก็หยิบเอารูปออกมาและถามอย่างใจเย็น “อาจารย์หลัว คุณบอกว่าคุณเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวนในบริเวณรอบๆ ของเทือกเขาคุนหลุน จากนั้นคุณบอกว่าได้ขาดการติดต่อกับฐานสำรวจนี้อย่างกะทันหัน แล้วทุกๆ คนก็หายตัวไปในคืนนั้นรวมถึงคนระดับ C ด้วย ผมเจอรูปนี้ในฐานมา คุณเป็นคนระดับ C ที่อยู่ในฐานคนนั้นใช่ไหม”

 

 

คนอื่นๆ ที่หลบอยู่ในอาคารอึ้งไป ทำไมคนในเครือข่ายฟ้าดินถึงมีความขัดแย้งกันภายในด้วยนะ

 

 

แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลี่ว์ซู่พูดในตอนแรกก็ทำพวกเขากลัวเข้ากระดูก เจ้าหน้าที่ในฐานหายตัวไปจากที่นี่ แล้วพวกเขาก็อยู่ที่นี่มาได้สองวันแล้ว! อันตรายที่สุด!

 

 

หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ รอคำตอบอย่างใจเย็น ระหว่างหลัวหนานและหลี่ว์ซู่ พวกเขาย่อมไว้ใจหลี่ว์ซู่อย่างไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้ว

 

 

หลัวหนานมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา “เอ่อ…เรื่องนี้น่ะ คนในรูปไม่ใช่ฉันหรอกนะ อีกอย่างฉันจะปฏิเสธให้ความร่วมมือในการสอบสวนทำไม ถ้าฉันเป็นคนเดียวที่รอดมาได้ในฐานสำรวจนี้น่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่ชะงัก “แล้วคนในรูปเป็นใคร อย่าโกหกนะครับ”

 

 

“เขาเป็นน้องชายฝาแฝดของฉันเอง ชื่อว่าหลัวเป่ย” หลัวหนานอธิบาย “ว่ากันตามตรงเลยนะ ฉันอยากเข้าไปในภูเขาคุนหลุนมานานแล้ว ไม่ใช่จะเข้าไปตามหาความจริงอะไรข้างในหรอก แต่อยากจะไปหาว่าน้องชายของฉันหายตัวไปไหนน่ะสิ”

 

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset