แม้แต่จางเยี่ยนเฟิงที่มีประสบการณ์สูงก็ไม่อาจประมาทได้ในป่าอันตรายแห่งนี้ อย่าว่าแต่พวกคนหนุ่มสาวแบบหวังเยี่ยนเลย
มนุษย์กลัวพวกหมาป่า หมี และสัตว์มีพิษตั้งแต่ก่อนยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแล้ว บางครั้งหมาป่าก็ดื้อรั้นอย่างไม่น่าเชื่อ จางเยี่ยนเฟิงเคยเจอหมาป่าสี่ตัวเดินตามหลังกลุ่มปีนเขาเป็นเวลา 12 วันเต็มๆ ทำให้ทุกคนกลัวตัวสั่นก็อยู่ตลอดเวลา ส่วนที่แย่ก็คือพวกมันไม่ได้เข้ามาโจมตีแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว แต่พวกมันแค่จะจ้องมองและเดินตามติด
ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นให้สังเกตดูจุดอ่อนของสัตว์พวกนั้น ที่จริงแล้วการจะทำให้มันอ่อนแอก็คือทำให้พวกมันบาดเจ็บจนถึงตาย บาดแผลที่ติดเชื้อจะทำให้หมาป่าถึงแก่ชีวิตได้โดยไม่มียาปฏิชีวนะมาช่วย เพราะฉะนั้นก็ต้องเห็นคุณค่าของโอกาสในการโจมตีทุกๆ ครั้ง
อย่างไรก็ตามพวกสัตว์กลับมีความสามารถในการสมานแผลดีขึ้นมาหลังจากมีการฟื้นคืนของคลื่นพลังจิตวิญญาณ พวกมันเรียนรู้เรื่องพวกนี้เนื่องจากมีสติปัญญาที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้นมันก็เลยดุร้ายและก้าวร้าวต่อมนุษย์มากขึ้น ยิ่งมีความแข็งแกร่งและความเร็วที่มากขนาดนี้ คนธรรมดาไปทำอะไรพวกมันไม่ได้แน่นอน
ไม่น่าเชื่อว่าทีมของหลี่ว์ซู่ใช้เวลาเดินเท้ากันมาแค่สามวันแทนที่จะเป็นเก้าวัน แต่ถ้าจะให้นับเวลาที่แน่นอนแล้วก็คงจะเป็นสองวันครึ่งเท่านั้น
ฝูงหมาป่าคุกเข่าลงบนพื้นหันหน้าไปทางหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่ยืนตระหง่านอย่างกับราชินีหมาป่าที่กำลังตอบรับการเคารพของพวกมัน หวังเยี่ยนและคนอื่นๆ มองฉากนั้นจากทางหน้าต่างอย่างไม่เชื่อสายตา
ในทางกลับกันสมาชิกของทีมหลี่ว์ซู่ก็ใจเย็นได้อีก
เมื่อย้อนกลับไปจางเยี่ยนเฟิงรู้สึกว่าคนพวกนี้ช่างใจเย็นเสียจริงๆ เหมือนกับว่าพวกเขาไม่กลัวอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเฉินจู่อาน เฉิงชิวเฉี่ยว หรือเฉาชิงฉือก็ไม่มีใครเห็นว่าฝูงหมาป่าเป็นเรื่องน่ากลัวตั้งแต่แรกแล้ว
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองเฉินจู่อานเพื่อให้สัญญาณ “เอาเลย เร็วๆ ด้วยนะ”
“ได้เลย” เฉินจู่อานตอบ จากนั้นเขาก็เดินไปพร้อมกับเฉิงชิวเฉี่ยวเพื่อฆ่าฝูงหมาป่าทีละตัว จากนั้นก็ส่งให้เฉาชิงฉือและเธอก็เอาศพหมาป่าพวกนั้นใส่เข้าไปในคลังไร้รูป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ใช้ความสามารถพิเศษในควบคุมสัตว์ แต่พวกเขาเคยเห็นเธอใช้ความสามารถนี้แค่กับจามรีหรืออูฐเชื่องๆ เท่านั้น
ที่โบราณสถานทะเลสาบเกลือชากา หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เคยเรียกตัวเองว่าเป็นผู้รู้ใจสัตว์ ซึ่งเป็นตอนเดียวกับที่เธอค้นพบความสามารถพิเศษของเธอ
ตอนนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ถูกฝูงสัตว์ขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวเธอไว้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ขี่หมูจอมพยศหนีออกมาจากโบราณสถานนั้น ดูแล้วน่าประทับใจทีเดียว
จากนั้นความสามารถนี้ของเธอก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นในขณะที่เธอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เธอสามารถควบคุมสัตว์ระดับ C สิบตัวอย่างง่ายดาย
ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นความสามารถพิเศษที่แท้จริงของเธอต่างหาก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอปะทุพลังแบบนี้
แต่หลี่ว์ซู่รู้ ที่น่าแปลกใจก็คือการฝึกฝนบำเพ็ญและการใช้แผนที่ดวงดาวทำให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก่อร่างวิญญาณใหม่ได้เช่นเดียวกัน ความสามารถทั้งสองนี้สามารถรับรองชัยชนะของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ในการต่อสู้ได้ เมื่อศึกนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนอาวุธ
พวกคนธรรมดารวมถึงหวังเยี่ยนกำลังนั่งอยู่ในอาคารชั่วคราว พวกเขาจ้องมองด้วยความตกใจในขณะที่เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวที่กำลังฆ่าฝูงหมาป่าด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ทันใดนั้นเฉินจู่อานก็หันขึ้นมามองในอาคารชั่วคราวและหัวเราะชอบใจ หวังเยี่ยนที่ฟังอยู่จากอีกด้านของหน้าต่างก็รู้สึกกลัวอย่างมาก
พวกเขาเป็นสมาชิกทีมของชายหนุ่มคนนั้นเหรอ พวกเขาดูแข็งแกร่งกันมากและสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินคนอื่นๆ ไม่น่าจะแข็งแกร่งได้เท่ากับพวกเขา!
หลังจากจางเยี่ยนเฟิงลังเลอยู่สักพัก เขาก็ถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ออกไป “เธอเป็นหัวหน้าทีมเหรอ”
สำหรับเขาแล้ว ความสามารถในการทำให้หมาป่าพวกนั้นเชื่องเป็นอะไรที่เขาไม่เชื่อสายตาตัวเองมาก อีกอย่างคนอื่นๆ ในทีมก็ดูจะฟังคำแนะนำของเธอโดยไม่สนอายุด้วย ก็เลยดูสมเหตุสมผลดีที่เธอจะเป็นหัวหน้าทีม
ถึงว่าหลี่ว์ซู่จึงรอให้ทีมมาถึงก่อน เพราะในทีมนี้มีหัวหน้าทีมที่แข็งแกร่งมาช่วยนี่เอง
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หันไปมองเขาแล้วตอบ “หลี่ว์ซู่เป็นหัวหน้าค่ะ ว่าแต่ว่าเขาอยู่ไหนกันล่ะคะ”
จางเยี่ยนเฟิงและหวังเยี่ยนได้ยินอย่างนั้นก็ประหลาดใจ หลี่ว์ซู่เป็นหัวหน้าของทีมที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อนี้จริงๆ ด้วยสินะ! แล้วเขาจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันล่ะเนี่ย! ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดูถูกความสามารถของเด็กหนุ่มคนนั้นมาตลอดเลย
ในขณะเดียวกันหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และเฉาชิงฉือก็หันไปมองทางประตูสู่นรกพร้อมๆ กัน พวกเธอเห็นหลี่ว์ซู่วิ่งฝ่าลมหิมะ หิมะเปิดทางเดินให้หลี่ว์ซู่ออกไปราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นอยู่
หลี่ว์ซู่ยิ้มให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋และคนอื่นๆ “ฉันจับสัตว์กลายพันธุ์มาได้สองสามตัว น่าจะเอาไปให้วิจัยสายพันธุ์ได้ใช้อีกสักพักเลยล่ะ”
จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ ชะงักไป อะไรนะ อะไรคือวิจัยสายพันธุ์ พวกเขาได้ยินคำนี้มาก่อนท่ามกลางการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนหลังจากวิทยาลัยผู้บำเพ็ญเปิดภาคการศึกษา แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่ากลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้ล้วนเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยผู้บำเพ็ญ
อะไรกันเนี่ย…อีกอย่างการวิจัยสายพันธุ์ก็เป็นภาควิชาที่อ่อนแอที่สุดเลยนี่ เพราะรับเฉพาะเด็กที่ไม่ค่อยมีความสามารถเท่าไหร่ ทำไมความเป็นจริงไม่เหมือนที่ได้ยินมาเลยล่ะ
ทันใดนั้นจางเยี่ยนเฟิงก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป หลี่ว์ซู่นำเฉิงชิวเฉี่ยว เฉินจู่อาน เฉาชิงฉือ และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้าล้อมหลัวหนาน
หลี่ว์ซู่ส่งสัญญาณให้จางเยี่ยนเฟิงออกไปยืนไกลๆ จากนั้นเขาก็หยิบเอารูปออกมาและถามอย่างใจเย็น “อาจารย์หลัว คุณบอกว่าคุณเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวนในบริเวณรอบๆ ของเทือกเขาคุนหลุน จากนั้นคุณบอกว่าได้ขาดการติดต่อกับฐานสำรวจนี้อย่างกะทันหัน แล้วทุกๆ คนก็หายตัวไปในคืนนั้นรวมถึงคนระดับ C ด้วย ผมเจอรูปนี้ในฐานมา คุณเป็นคนระดับ C ที่อยู่ในฐานคนนั้นใช่ไหม”
คนอื่นๆ ที่หลบอยู่ในอาคารอึ้งไป ทำไมคนในเครือข่ายฟ้าดินถึงมีความขัดแย้งกันภายในด้วยนะ
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลี่ว์ซู่พูดในตอนแรกก็ทำพวกเขากลัวเข้ากระดูก เจ้าหน้าที่ในฐานหายตัวไปจากที่นี่ แล้วพวกเขาก็อยู่ที่นี่มาได้สองวันแล้ว! อันตรายที่สุด!
หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ รอคำตอบอย่างใจเย็น ระหว่างหลัวหนานและหลี่ว์ซู่ พวกเขาย่อมไว้ใจหลี่ว์ซู่อย่างไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้ว
หลัวหนานมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา “เอ่อ…เรื่องนี้น่ะ คนในรูปไม่ใช่ฉันหรอกนะ อีกอย่างฉันจะปฏิเสธให้ความร่วมมือในการสอบสวนทำไม ถ้าฉันเป็นคนเดียวที่รอดมาได้ในฐานสำรวจนี้น่ะ”
หลี่ว์ซู่ชะงัก “แล้วคนในรูปเป็นใคร อย่าโกหกนะครับ”
“เขาเป็นน้องชายฝาแฝดของฉันเอง ชื่อว่าหลัวเป่ย” หลัวหนานอธิบาย “ว่ากันตามตรงเลยนะ ฉันอยากเข้าไปในภูเขาคุนหลุนมานานแล้ว ไม่ใช่จะเข้าไปตามหาความจริงอะไรข้างในหรอก แต่อยากจะไปหาว่าน้องชายของฉันหายตัวไปไหนน่ะสิ”