หลี่ว์ซู่ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับคอรัล แต่พอเห็นเธอเป็นแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกไม่ดี
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! มีคนเคาะประตูห้องเขา พอเขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังออกมาจากด้านนอกเขาก็ไม่ได้เร่งรีบไปเปิดประตูเท่าไหร่ พอเขาเปิดออกมาก็เห็นผู้ชายวัยกลางคนร่างผอมและมีผิวสีแทนยืนอยู่ข้างนอกห้อง หลี่ว์ซู่ถามไปอย่างใจเย็น
“มาหาใครครับ”
คนคนนั้นไม่ได้พูดอะไร เขาหันกลับแล้วทิ้งหลี่ว์ซู่ให้มองตามไป คนนั้นเดินลงไปข้างล่างแล้วพูดกับผู้มีพลังที่ดูแข็งแรงว่า “ไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังนะ”
“โอเค” มีพลังที่ดูแข็งแรงพยักหน้า “ขอบคุณมากครับแองเจโล”
ผู้มีพลังที่สามารถรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังนั้นจะอยู่ในตำแหน่งสูงในองค์กรต่าง ๆ เพราะความสามารถนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ
แองเจโลพยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไป หลี่ว์ซู่คงเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาจริงๆ พวกหัตถ์ดำก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ถึงเขาจะมีอะไรปกปิดไว้อยู่ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร สุดท้ายแล้วเขาก็แค่คนธรรมดา
พอพวกหัตถ์ดำเดินขึ้นไปในห้องตัวเอง ก็มีผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
หลี่ว์ซู่นั่งอยู่ที่หน้าต่างแล้วเห็นว่ามีผู้คนเดินเข้ามา เขาปิดม่านลงอย่างเงียบเชียบและเหลือทิ้งไว้ให้เห็นเพียงช่องแคบ ๆ เท่านั้น เขาเคยเห็นคนพวกนี้มาก่อน เมื่อก่อนนั้นพวกนี้เคยตามฟรานเชสโก้
เขาค่อยๆ เปิดประตูออกไปเพื่อไปฟังว่าข้างล่างนั้นเกิดอะไรขึ้น พวกหัตถ์ดำเดินขึ้นไปแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เห็นกลุ่มแก่นความเชื่อนะ
หลี่ว์ซู่สรุปเอาเองว่าสามคนนั้นมาจากกลุ่มแก่นความเชื่อ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วก็น่าสนใจแล้วสิ ทำไมถึงมีหลายองค์กรสนใจคอรัลจัง หรือพวกคนทั้งหมดนี่รวมถึงสามคนนั้นด้วยจะอยากได้หอกกุงเนียร์กันนะ
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้รับข้อความจากโยวหมิงอวี่ [เจอพวกหัตถ์ดำจากอิตาลีมาแล้วหรือยัง พวกนั้นมาตรวจสอบนายแล้ว แต่ผู้มีพลังมีพลังที่สามารถตรวจจับคลื่นพลังได้บอกว่านายเป็นคนธรรมดา]
หลี่ว์ซู่งง เขาเคยได้ยินชื่อหัตถ์ดำมาก่อน พวกนี้เป็นองค์กรขนาดกลางในอิตาลี และหัวหน้าของกลุ่มเป็นระดับ B เขาจำอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้วเพราะไม่ได้ใส่ใจองค์กรนี้มาก
แต่โยวหมิงอวี่ก็ไม่ได้ถามหลี่ว์ซู่ว่าเขาปิดกั้นคลื่นพลังของตัวเองได้อย่างไร น่าหลานเชวี่ยเองก็มีความสามารถนี้เหมือนกัน อีกอย่างหลี่ว์ซู่ก็เคยเข้าไปในโบราณสถานมามากมาย เป็นปกติอยู่แล้วถ้าเขาจะมีความสามารถนี้
หลี่ว์ซู่ถามกลับไป [ผมมาสอดส่องดูคอรัล ผมว่าพวกหัตถ์ดำคงจะมาทำอย่างเดียวกันล่ะครับ คุณช่วยยืนยันหน่อยได้ไหม ช่วยส่งข้อมูลเกี่ยวกับพวกหัตถ์ดำมาให้ผมด้วยสิ]
หลี่ว์ซู่ตัดสินใจว่าเขาจะศึกษาเกี่ยวกับองค์กรรองๆ ของอิตาลีดูสักหน่อย
แล้วผ่านไปไม่ถึงสามชั่วโมง โยวหมิงอวี่ก็ส่งข้อมูลมาในกลางดึก ในอิตาลีไม่มีองค์กรชั้นนำ มีเพียงพวกหัตถ์ดำและพวกคาร์เทลเท่านั้น สององค์กรนี้ไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน และหัวหน้าของทั้งสองกลุ่มก็เป็นยอดฝีมือระดับ B กันทั้งคู่
พวกคาร์เทลจะเป็นพวกที่ชอบใช้อำนาจเหนือเกาะซาร์ดิเนียซึ่งและจะแตกต่างจากพวกหัตถ์ดำ พวกคาร์เทลนั้นชอบมีปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่นมาก
หลี่ว์ซู่เห็นว่าพวกเขาเหมือนจะเป็นกลุ่มของคนชนบทมากกว่า
พวกเขาไม่สนใจจะปกป้องความสงบสุขอะไร แต่จะเอาผู้มีพลังทั้งหลายออกมาจัดการแสดงในทุกๆ เทศกาล ก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกผู้มีพลังที่นี่นั้นค่อนข้างแปลกประหลาดออกไปจากที่อื่นเล็กน้อย
หรือไม่แปลกประหลาดกันนะ ใครบอกว่าผู้มีพลังจะต้องสู้กันอย่างเดียวล่ะ หลี่ว์ซู่คิดว่าการที่พวกเขาทำแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน
ตอนที่หัตถ์ดำเริ่มขยายอำนาจนั้นก็ทำให้เกิดข้อขัดแย้งระหว่างหัตถ์ดำและคาร์เทลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หัวหน้ากลุ่มหัตถ์ดำจะต้องมาที่ซาร์ดิเนียเพื่อมาต่อสู้กับคาร์เทล แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้
ไม่ใช่แค่นั้น แต่หัวหน้าหัตถ์ดำถึงกับได้รับบาดเจ็บตรงลูกอัณฑะลูกหนึ่งของเขาด้วย มันถูกบันทึกลงไปในข้อมูลผู้ป่วยของโรงพยาบาล
หลังจากนั้นเขาก็กลับมาแก้แค้นอีกรอบ แต่ก็เอาชนะไม่สำเร็จ ทำให้เรื่องนี้ยังคงค้างคาอยู่
หัวหน้าของกลุ่มหัตถ์ดำนั้นมีอายุยี่สิบเจ็ดปี เขาชื่อว่าแพทริคและยังเป็นเสือผู้หญิงด้วย เขาชอบไปหยอกเล่นกับพวกดาราในยุคที่ยังไม่มีการปะทุพลัง ว่ากันว่าตอนที่เขาไปเจอคอรัลครั้งแรกในงานเลี้ยงเขาก็ตกตะลึงไปเลย เขาไม่สนว่าความสามารถของพวกเขาจะแตกต่างกันมากขนาดไหน แต่เขาใช้ประสบการณ์ในการจีบผู้หญิงเข้าหาคอรัล และเขาก็ให้คำมั่นไว้ด้วยว่าคอรัลจะต้องแต่งงานกับเขา…
หลังจากนั้นมาเขาก็ไม่ได้ไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นๆ อีกเลย แต่เขาก็หาทางใกล้ชิดคอรัลไม่ได้เสียที เขาต้องไปสวีเดนเพื่อไปหาเธอ แต่คอรัลไปตั้งกลุ่มเทวาเสียแล้ว
หลังจากที่คอรัลต่อสู้กับกลุ่มทวยเทพเสร็จเขาก็ชื่นชมเธอเป็นอย่างมาก เข้ากับสำนวนจีนที่ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับบ้านมาก็มีค่ามากกว่าได้ทองแท่งแล้ว
หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วล่ะ ผู้ชายคนนี้อยากเข้าไปใกล้ชิดกับคอรัลนี่เอง
แต่ว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงลูกอัณฑะลูกหนึ่งนี่นา ยังไม่เข็ดอีกเหรอ แถมความแข็งแกร่งถ้าเทียบกันระหว่างหัตถ์ดำและกลุ่มเทวานั้นแตกต่างมากเกินไปด้วย เขาไม่กลัวว่ากลุ่มหัตถ์ดำของตัวเองจะโดนกลุ่มเทวาจัดการเละไม่เป็นท่าเหรอ
หรือนี่จะเป็นอย่างที่ใครเขาพูดกัน ผู้ชายที่เหลืออัณฑะลูกเดียวจะกล้าบ้าบิ่นไม่กลัวใคร!
หลี่ว์ซู่ส่งข้อความหนึ่งออกไปหาโยวหมิงอวี่ [ทำไมไม่รีบบอกข้อมูลที่สำคัญขนาดนี้มาก่อนล่ะครับ!]
[มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ!] โยวหมิงอวี่ตอบกลับอย่างแปลกใจ
หลี่ว์ซู่มองออกไปแล้วเห็นขบวนรถหรูขับมาจอดนอกโรงแรมที่คอรัลอยู่ ขบวนนั้นดูจัดอย่างยิ่งใหญ่มาก
มีใครคนหนึ่งเปิดประตูรถเบนต์ลีย์ออกมา เขาสวมสูทสีขาวทั้งตัว ผมของเขาถูกเก็บเป็นเปียเส้นสั้นๆ พอหลี่ว์ซู่เห็นเขาคนนั้นก็อยากจะเข้าไปต่อยสักทีสองที เกิดไม่ชอบหน้าขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ…
ผู้หญิงอย่างคอรัลไม่มีวันชอบคนแบบนี้หรอก เขาดูขี้อวดเกินไป ทำไมจะต้องอวดรวยขนาดนี้ด้วย พวกกลุ่มเทวานั้นรวยกว่าเห็นๆ หลี่ว์ซู่บ่นอยู่ในใจ
เมื่อผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างกับว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ก็มีผู้มีพลังธาตุดินสองคนเดินมาขวางเขาไว้ ดูเหมือนว่ากลุ่มเทวาจะไม่รับแขกวันนี้นะ
หลี่ว์ซู่เห็นว่านี่ดูน่าสนใจดีนี่ พวกผู้มีพลังธาตุดินนั้นช่วยปกปิดความลับไว้ ทำได้ดีพอควรเลยล่ะ
แล้วหัวหน้ากลุ่มหัตถ์ดำอย่างแพทริคก็คงไม่คิดว่าคนอย่างตัวเองจะเข้าไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ทำเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เขาหยิบกล่องใหญ่กล่องหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้ผู้มีพลังธาตุดินสองคนนั้น หลังจากนั้นเขาก็กลับเข้าไปในรถแล้วจากไป
ผู้มีพลังธาตุดินสองคนนั้นเอากล่องที่เพิ่งได้รับมากลับเข้าไปในโรงแรม หลี่ว์ซู่ไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ข้างในกล่อง แต่เขาสงสัยเหลือเกิน
จากนั้นเขาก็เห็นผู้มีพลังธาตุดินสองคนนั้นเดินออกมาอีกครั้ง พวกเขาเปิดกล่องใหญ่ ๆ ที่ดูสวยงามปราณีตนั้นออกแล้วทิ้งไว้กลางถนน ในกล่องนั้นเต็มไปด้วยกุหลาบนับไม่ถ้วน
ผู้มีพลังธาตุดินสองคนนั้นเริ่มแจกจ่ายดอกกุหลาบกับคนที่เดินผ่านไปมา พวกเขาไม่เหลือทิ้งไว้เลยสักดอก
หลี่ว์ซู่คิดว่าวิธีการจัดการดอกกุหลาบที่พวกเขาใช้นี้แปลกดีนะ แต่เขาก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับคอรัล และมีอะไรที่เขาพอจะช่วยได้บ้างหรือเปล่า
พวกสมาชิกจากกลุ่มแก่นความเชื่อเดินออกมาถึงชั้นสี่แล้ว หลี่ว์ซู่ได้ยินพวกเขาเดินเข้าไปในห้องที่ถัดไปจากห้องข้างๆ เขา น่าสนใจดีไหมล่ะ องค์กรที่แข็งแกร่งสามองค์กรพักอยู่ในโรงแรมเล็กๆ ด้วยกันรวมถึงตัวเขาเองด้วย
พวกคนของหัตถ์ดำพักอยู่ตรงกลางระหว่างหลี่ว์ซู่และกลุ่มแก่นความเชื่อนั่นเอง