ตอนที่ 631 หายไปจากโลกนี้
จริงๆ แล้วสือเสวจิ้นได้อธิบายทุกอย่างผ่านทางโทรศัพท์แล้ว หรือว่าเนี่ยถิงจะโทรมาด้วยเหตุผลเดียวกันนะ ไม่หรอก เนี่ยถิงแค่อยากกวนเขาก็เท่านั้นแหละ
แต่ถ้าจะให้เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ตามที่สือเสวจิ้นแนะนำก็คงจะไม่สะดวกนัก สุดท้ายแล้วเขาต้องไปต่างประเทศจริงๆ หรือเปล่า
จริงๆ แล้วที่สือเสวจิ้นมาคุยนั้นก็เป็นเรื่องเดิมๆ แหละ เรื่องที่ว่าอยากให้เขาไปเป็นราชันฟ้าคนที่เก้า ตอนนี้หลี่ว์ซู่เองก็ไม่ได้เห็นขัดแย้งกับความคิดเดิมเท่าไหร่มากนัก คงเพราะเป็นคำพูดของโยวหมิงอวี่ที่ทำให้เขาคิดได้ว่าถ้าไปอยู่ต่างประเทศแล้วเขาจะได้แสดงศักยภาพได้มากกว่า…
แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากจะเร่งตัดสินใจอะไร “อยากรู้จังว่าผักกุยช่ายเราโตกันมากแค่ไหนแล้ว ว่าแต่โรงแรมที่น่าหลานเชวี่ยช่วยเราสร้างได้ปรับฐานพื้นที่เรียบร้อยก่อนที่ฉันจะมานี่อีก ป่านนี้ก็คงสร้างเสร็จเรียบร้อยกันแล้วมั้ง”
พวกเขาคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจุดหมายกันในที่สุด
หลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋ออกมาจากเครื่องบินกันแล้วและกำลังจะเดินไปถึงทางออก แต่จู่ๆ ก็มีคนเดินมาชนหลี่ว์ซู่ เขาเงยหน้ามองและพบว่าคนที่เดินมาชนเป็นผู้หญิงมาดนักทำงานคนหนึ่ง เธอดูสวยมากในเสื้อเชิ้ตสีขาว ผมสีดำขลับปลิวเคลียไหล่เผยให้เห็นลำคอขาวๆ และรอยสักรูปไฟที่ดูร้อนแรงบริเวณด้านขวาของคอ
เดี๋ยวนะ… เขาเอะใจ รอยสักรูปไฟเมื่อกี้เหมือนจะไม่ใช่รอยสักธรรมดาเลย มันดูเหมือนว่ามีชีวิตจริงๆ
แล้วหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ดูจากด้านข้างแล้วผู้หญิงคนนี้สวยมากจริงๆ แต่ความสวยนี้ดูไม่ปกติทั่วไป อย่างกับว่าเธอมีแรงดึงดูดจากข้างในอย่างนั้นแหละ
อีกอย่างหลี่ว์ซู่ก็ไม่สามารถสัมผัสคลื่นพลังงานอะไรจากตัวเธอได้เลย
คนปกติธรรมดามักจะมีคลื่นพลังงานประมาณหนึ่งจุด และระดับ F จะมีประมาณสิบจุด ไม่มีใครที่จะมีคลื่นพลังงานเป็นศูนย์ได้หรอก
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเดินต่อไป เขาก็ชำเลืองมองเธอ อย่างกับว่ามองสำรวจมดตัวหนึ่งอยู่ เขานั้นไม่พอใจมาก “เดี๋ยวก่อนสิ เดินมาชนกันแบบนี้อย่างน้อยก็ควรจะขอโทษกันหน่อยไหม”
[ได้แต้มอารมณ์จากอวิ๋นอี่ +99!]
ลมหายใจของหลี่ว์ซู่เริ่มติดขัด…
อวิ๋นอี่จ้องสะกดเขาไว้ด้วยสายตาเย็นยะเยือก ราวกับว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าหลี่ว์ซู่
“เอ๊ะ” เธอร้องออกมา แต่เสียงนั้นกลับไม่ได้ฟังดูเศร้าเลย ทว่ากลับฟังแล้วไพเราะและสดใส ไม่แน่ว่าเธออาจจะตั้งใจแปลงเสียงตอนที่อยู่ในเสื้อคลุมสีดำในตอนนั้นก็ได้
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็โค้งให้เธอ “ขอโทษครับ”
อวิ๋นอี่นิ่งไปเลย
แล้วหลี่ว์ซู่ก็มาคิดว่าเขาไม่น่าทำเรื่องเสี่ยงแบบนั้นไปเลย เขากลัวแทบตายแน่ะ!
แต่อวิ๋นอี่ไม่เข้าใจว่าเจ้ามนุษย์คนนี้มีอะไรหรือเปล่า หลี่ว์ซู่นั้นรู้ว่าอวิ๋นอี่เป็นใครเพราะดูระบบบันทึกแต้มอารมณ์มานั่นเอง…
หลี่ว์ซู่คงสติแตกสบถออกไปแล้วถ้าอวิ๋นอี่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย! อยู่ๆ เขาบังเอิญเจอปรมาจารย์หุ่นเชิดแบบนี้ได้ยังไง แล้วจะมานั่งเครื่องบินทำไมในเมื่อตัวเองก็บินได้ แล้วหุ่นเหล็กข้างตัวหายไปไหนแล้วล่ะ อยากจะปลอมตัวเงียบๆ ก็เลยเดินทางโดยเครื่องบินงั้นสิ
หลังจากที่สือเสวจิ้นโทรมาหลี่ว์ซู่ก็สงสัยไปว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดนั้นเป็นเพียงแค่ชื่อตำแหน่งเท่านั้น แล้วก็ไม่มีใครรู้อีกว่าพวกมันมีกันอยู่จริงๆ กี่คน
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันไม่ควรจะมีกันมากขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงกวาดล้างมนุษย์ไปได้สบายๆ แล้ว จะรออะไรกันอยู่ล่ะ
แถมหลี่ว์ซู่ก็ยังเจอคนที่ชื่อเหมือนกันอีก เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่อวิ๋นอี่กันทั้งสองคนนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องมีคลื่นพลังงานใดๆ
แต่หลี่ว์ซู่คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญมากกว่าที่พวกเขาเดินทางด้วยเที่ยวบินเดียวกันได้ เพราะที่ดูจากพลังของเธอในทะเลนั่น เธอสามารถฉีกเครื่องบินออกเป็นชิ้นๆ ได้เลยด้วยซ้ำ แค่กำจัดหลี่ว์ซู่ที่อยู่ระดับ B แบบปลอมๆ ทิ้งคงไม่เสียเวลาอะไรมาก
ดีนะเนี่ยที่เธอจำเขาไม่ได้…
อวิ๋นอี่ไม่สนใจเขาแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ เสียงส้นสูงที่กระทบกับพื้นของเธอค่อยๆ หายไปไกล หลี่ว์ซู่ถอนหายใจออกมาเสียงดังด้วยความโล่งอก เสื้อของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ความกลัวแล่นไปทั่วร่าง ถึงพวกก่อการร้ายจะเลวผิดมนุษย์แค่ไหนแต่ สุดท้ายแล้วพวกมันก็เป็นแค่มนุษย์ แต่ผู้หญิงคนนี้นั้นไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ …
แต่แล้วอยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็คิดได้ว่าประสาทสัมผัสรับรู้ความสามารถที่แบ่งตามสายของเขาเริ่มเชื่อถือไม่ได้ในหลายๆ ครั้งเนื่องจากเขาจับสัมผัสผิดตลอด ที่เขารู้สึกนั่นอาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่พวกมันสวมใส่หรืออาจเป็นความสามารถของปรมาจารย์หุ่นเชิดก็ได้
แล้วหลี่ว์ซู่ก็รีบพาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ออกไปที่ทางออกอื่น “รีบมาเร็ว!”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กระซิบ “เมื่อกี้ใครกันน่ะ”
เธอรู้ว่าตอนนั้นจะต้องทำเป็นเงียบไว้และเล่นตามน้ำไปกับหลี่ว์ซู่ตอนที่เขาพยายามขอโทษผู้หญิงคนนั้น
“นั่นล่ะปรมาจารย์หุ่นเชิด” หลี่ว์ซู่ตอบกลับ
เสี่ยวอวี๋อึ้ง “แต่เธอไม่ได้ใส่เสื้อคลุมสีดำนี่! แล้วรู้ได้ยังไง มีความลับกันเหรอ”
หลี่ว์ซู่ได้ยินแล้วก็ตกตะลึง
จินตนาการล้ำไปแล้ว!
จากนั้นเขาจึงค่อยๆ อธิบาย “ฉันบอกเธอไม่ได้จริงๆ ว่ารู้มาได้ยังไง แต่นั่นแหละตัวจริงแน่ๆ”
“นั่นน่ะเหรอคำอธิบายน่ะ…” เสี่ยวอวี๋ทำหน้าเรียบเฉย แล้วมันจะเหมือนกับการแก้ตัวประมาณว่า ‘ฉันเชื่อแบบนี้แหละ เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเธอ’
หลี่ว์ซู่เริ่มเก็บของใส่กระเป๋าอีกรอบเมื่อถึงบ้านแล้ว เขากลัวสุดๆ จริงๆ ก็ปรมาจารย์หุ่นเชิดนั่นเป็นคนประเทศเดียวกันกับเขาและสามารถจะพังทลายเมืองนี้ตอนไหนก็ได้ อีกอย่างเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเธอก็คงจะเป็นหลี่ว์ซู่นี่แหละ…
พูดถึงเรื่องนี้แล้วเนี่ยถิงจะรู้ไหมเนี่ยว่ามีภัยคุกคามตัวใหญ่เบิ้มอยู่ในประเทศแล้วน่ะ ถ้าหลี่ว์ซู่จะอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงจะไม่ปลอดภัยซะแล้ว!
แล้วหลี่ว์ซู่ก็รีบโทรหาเนี่ยถิงทันที
[ขอโทษค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้..]
ฮ่าๆ! เอาสิ! มาสู้กันหน่อย!
แล้วหลังจากที่หลี่ว์ซู่โทรหาเนี่ยถิงติดต่อกันหกสาย ในที่สุดเนี่ยถิงก็มารับสายแล้วสักที เขาทำเสียงใจเย็นก่อนที่หลี่ว์ซู่จะได้พูดอะไรออกมาเสียอีก [ไม่ต้องคิดมาขอเรื่องรางวัลที่จะได้จากการไปโบราณสถานครั้งนี้เลยนะ ฉันยังไม่ไปขอของที่นายเอาเข้ากระเป๋าตัวเองมาบ้างเลย]
หลี่ว์ซู่เงียบไปชั่วครู่ แล้วก็เอ่ยออกมา “ผมไม่ได้โทรมาเรื่องนี้!”
[อ้อ] เนี่ยถิงวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว เหมือนกับว่าเขากำลังพูดกับใครอยู่ [ทำไมเราจะต้องกินต้นหอมกันด้วยล่ะ เอามันไปเก็บหน่อยได้ไหม]
“…ผมอยากไปต่างประเทศ”
[พูดอีกทีซิ] เสียงของเนี่ยถิงดังขึ้นกว่าเดิม
“ผมบอกว่า ผมอยากไปต่างประเทศ!” หลี่ว์ซู่พูดซ้ำ “ไปตรวจดูกล้องวงจรปิดซะ ผมชนกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ที่สนามบิน เธอคือปรมาจารย์หุ่นเชิดนั่นแหละ ไม่ต้องมาถามเลยนะว่ารู้ได้ไง ไปตามหาเธอซะ!”
ระเบิดเวลามนุษย์นี่มันจะต้องโดนจับให้ได้ เพราะเธอเป็นอันตรายที่ถูกซ่อนไว้ในประเทศนี้
แล้วสือเสวจิ้นก็โทรมาสองชั่วโมงให้หลัง
[อีกสามวันนายเตรียมตัวไปต่างประเทศได้เลย เราหาปรมาจารย์หุ่นเชิดไม่เจอแล้ว อย่างกับว่าเธอหายไปจากโลกนี้แล้วอย่างนั้นแหละ]