ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 629 ปลาสีเงินตัวเล็กของฉันหายไปไหนล่ะ!

การขนเกราะกว่าพันชุดกลับไปเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ทุกคนเข้าใจดีว่ามันสำคัญมาก เพราะการป้องกันของเกราะนี้จะช่วยเพิ่มพลังประสิทธิภาพการต่อสู้ให้กับทหารของเครือข่ายฟ้าดินได้อย่างยอดเยี่ยม

 

 

การจะรับมือกับกองทัพติดชุดเกราะหนักนี้ก็คงจะต้องใช้ผู้ที่มีพลังสายธาตุต่างๆ แล้วล่ะ เพราะชุดเกราะนี้กันได้แค่การโจมตีทางกายภาพเท่านั้น อย่างไรก็ตามพวกองค์กรอื่นๆ ไม่สามารถจัดทัพผู้มีพลังธาตุที่ฝึกฝนมาอย่างดีในจำนวนเยอะๆ ได้หรอก

 

 

รถทหารกำลังขับมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงภายใต้การควบคุมของเฉินไป่หลี่ ดูจากที่ต้องมีระดับ A ประกบดูอย่างดีแบบนี้ก็บอกได้เลยว่าเกราะนั้นมีความสำคัญต่อเครือข่ายฟ้าดินมากแค่ไหน

 

 

พวกนักเรียนห้องเต้าหยวนเองก็ต้องถอดชุดเกราะส่งคืนให้เหมือนกัน และข้อมูลที่พวกเขามีส่วนร่วมการทหารครั้งนี้ก็จะถูกบันทึกไว้ด้วยเช่นกัน

 

 

ถึงแม้ว่าจะมีเด็กผู้หญิงบางคนที่ซื้อเกราะไปให้ผู้ชายที่ชอบ แต่ก็ไม่มีใครเห็นแก่ตัวที่จะเอาเกราะไว้เป็นของตัวเอง มันก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่พวกเขาไม่อยากเสียชื่อในการทำแบบนั้น

 

 

การตั้งราคาขายเกราะตั้งแต่แรกเป็นราคาที่แพงก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วเกราะชุดหนึ่งหรือเครดิตทางทหารนั้นมีค่ามากกว่าห้าแสนหยวนเลยทีเดียว พวกนักเรียนไม่รู้กันหรอก พวกเขาจะรู้กันก็ต่อเมื่อได้รับเคล็ดวิชาการฝึกฝนไปหรือได้เลื่อนยศทหารกันโน่นแหละ จนกว่าจะไปถึงตอนนั้น พวกเขาก็โกรธพวกระลอกทองแดงที่ค้าขายไม่จริงใจไปก่อนแล้วกัน…

 

 

พวกสมาชิกระลอกทองแดงรวมถึงมั่วเฉิงคงนั้นยังต้องกลับไปเรียนที่วิทยาลัยผู้บำเพ็ญต่ออีก แต่เวลาสั้นๆ ที่ผ่านไปสิบวันนั้น ชื่อ ‘ระลอกทองแดง’ ก็กลายเป็นชื่อเกียรติยศของพวกเขาไปเสียแล้ว

 

 

ครั้งนี้พวกนักเรียนห้องเต้าหยวนได้มาฝึกทหารกันหมดแล้ว เลยไม่มีใครไม่รู้เรื่องชื่อเสียงของระลอกทองแดงบนเกราะที่ปลอดภัยหรอก พวกเขาจะกลับไปพร้อมกับความภาคภูมิใจไปด้วย

 

 

“พี่ซู่ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ” มั่วเฉิงคงพาสมาชิกทุกคนมากล่าวลาหลี่ว์ซู่

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มและตอบกลับ “ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ ขอให้โชคดีทุกคนเลย”

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ออกไปจากค่ายหลัวปู้พัวเมื่อมีรถพิเศษที่เฉินไป่หลี่ส่งมารับมาถึง

 

 

พวกเขาจะไปที่เมืองที่ใกล้ที่สุดและขึ้นเที่ยวบินที่เร็วที่สุดกลับไปอวี้โจว พวกเขาปีนขึ้นไปที่ดาดฟ้าของอาคารที่สูงยี่สิบเจ็ดชั้นแทนที่จะอยู่กันแต่ในห้องของโรงแรม แล้วพวกเขาก็ห้อยขาลงมาขณะนั่งอยู่บนดาดฟ้า ตอนนี้เป็นเวลาที่ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ให้ความรู้สึกเงียบและสงบไปทั่ว

 

 

“หลี่ว์ซู่ ปลาสีเงินตัวเล็กของฉันไปไหนล่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามเสียงเรียบ

 

 

“ฮ่าๆ ก็อยู่กับฉันไง แต่ตอนนี้เราไม่มีอุปกรณ์ทำอาหารนะ กินสดๆ ไม่ได้หรอก หยุดจ้องหน้าฉันได้แล้ว” หลี่ว์ซู่ตอบกลับ เขาพยายามจะหลอกเธอเพราะจะไปหาปลาที่เหมือนๆ กันตอนนี้มาให้มันยากเกินไป พวกเขายังอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนกันนะ!

 

 

“ขอดูหน่อย” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูด

 

 

“ไม่เชื่อใจกันเหรอ” หลี่ว์ซู่แกล้งทำหน้าเสียใจ

 

 

“ไม่อะ”

 

 

“เอ่อ… โกลาหลมันกินปลานั่นไปแล้วน่ะ” หลี่ว์ซู่พูดออกไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะไม่ยอมแพ้แน่ๆ จนกว่าเธอจะได้สิ่งที่เธอต้องการ

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่ก็ต้องอธิบายเรื่องโกลาหลให้เธอฟัง แล้วสุดท้ายเขาก็พูดเพิ่มไปอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันไม่คิดเลยนะว่ามันจะตื่นขึ้นมาแล้วกินปลาเข้าไปน่ะ…”

 

 

“โอเค” เสี่ยวอวี๋ผงกหัวรับรู้

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มแล้วพูด “รู้อยู่แล้วล่ะว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ของเราเป็นคนเข้าอกเข้าใจจริงๆ!”

 

 

แต่ก่อนที่จะได้พูดจบนั้น หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน “งั้นโกลาหลอะไรนั่นกินปลาเงินตัวเล็กของฉันไปแล้ว คงจะไม่เป็นไรสินะถ้าฉันกินโกลาหลของเธอแทน”

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่ว์ซู่ +666…]

 

 

“มันเกิดมาจากธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นะ แถมยังมีสายเลือดของมังกรชั่วร้ายแบบห่างๆ อีกก่อนที่มันจะมาเป็นวิญญาณอาวุธน่ะ งั้นถ้าจะให้พูดตรงๆ มันไม่มีชีวิตอยู่แล้วล่ะ…” หลี่ว์ซู่พยายามอธิบายว่ามันกินไม่ได้…

 

 

“นี่ หลี่ว์ซู่…” อยู่ๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ทำหน้าเศร้า “เด็กผู้หญิงที่ฉันไปเจอระหว่างฝึกทหารตายไปในโบราณสถานนะ”

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปนิดหนึ่งก่อนตอบ “เราเจอเรื่องอะไรแบบนี้กันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

“ก็ไม่ได้สนิทกันมากหรอก” หลี่ว์เสี้ยวอวี๋พูดเบาๆ “เธอยิ้มแล้วสวยมากเลย แล้วชอบแบ่งขนมให้กินด้วย เราไม่ได้พูดกันมาก แล้วฉันก็ไม่ได้เศร้าอะไรกับการตายของเธอมากหรอก แต่แค่คิดว่าครอบครัวของเธอจะเศร้ากันแค่ไหนน่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่นึกไปถึงสิ่งที่ทานิกุชิ บันไดเคยพูดกับเขาตอนเธอโค้งคำนับเก้าสิบองศาให้เขาที่สุสาน คำพูดนั้นพรั่งพรูออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “แต่บางสิ่งบางอย่างเราก็ต้องทำมันให้สำเร็จนะ”

 

 

“เปลี่ยนไปมากนะหลี่ว์ซู่” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดเสียงจริงจัง “ครั้งนี้เปลี่ยนไปจริงเลย”

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปพักหนึ่ง เหมือนกับว่าโดนพันธนาการไปด้วยใยแมงมุมอุ่นๆ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเป็นคนเสียสละและเต็มใจช่วยเหลือนะ แต่ว่าเขาได้รับผลกระทบจากการกระทำของคนเหล่านั้นมาแบบไม่รู้ตัว ทำให้เขาเห็นความสำคัญของความซื่อสัตย์และความจริงใจ

 

 

มีบางสิ่งที่เขาต้องทำ และเขาจะทำมันตอนที่เขาต้องการเท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมา หลี่ว์ซู่ลูบหัวหลี่ว์ฃเสี่ยวอวี๋แล้วถามออกไปว่า “เธอก็เปลี่ยนไปเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

 

 

“หลี่ว์ซู่”

 

 

“ว่าไง” หลี่ว์ซู่หันไปหาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋

 

 

“ใครจะตายไปก็ได้ แต่ไม่ใช่เธอนะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูด

 

 

“เสี่ยวอวี๋” หลี่ว์ซู่พูดตอบ เขามองไปยังอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปในที่สุด “เราทั้งคู่ไม่ตายหรอก”

 

 

 

 

บ้านบนถนนหลิวไห่ เมืองหลวง

 

 

สือเสวจิ้นกำลังอ่านหนังสือเย็บกี่อยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ แล้วเนี่ยถิงก็ส่งเอกสารที่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่มาให้เขา เป็นบันทึกว่าหลี่ว์ซู่ได้ทำอะไรไปในโบราณสถานครั้งนี้

 

 

ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเกราะสีดำเอาไว้เลย มีแต่บอกว่าหลี่ว์ซู่ได้กำจัดสิ่งรบกวนนอกโบราณสถานได้ เขาตั้งกลุ่มระลอกทองแดงเพื่อช่วยให้การต่อสู้โดยรวมไม่ตึงเครียดมากนัก และได้ลงไปใต้น้ำลึกคนเดียว เอกสารนี้มาจากเฉินไป่หลี่ เพราะไม่มีคนอื่นรู้อีกแล้วว่าการต่อสู้ใต้น้ำนั้นเป็นอย่างไร

 

 

สือเสวจิ้นอ่านไปยิ้มไป “มีหัวใจกล้าเหมือนทอง โอเค มีกำปั้นหนักเหมือนเหล็ก โอเคนี่ แต่ทำไมไปโดนฟ้าผ่ามาได้ล่ะ”

 

 

“นี่แปลกใจด้วยเหรอ” เนี่ยถิงพูดเสียงเรียบ เจ้าเด็กนั่นปากไม่ดีแบบนั้นแถมยังชอบทำอะไรแปลกๆ อีก ควรจะโดนฟ้าผ่าไปตั้งนานแล้ว

 

 

“ฮ่าๆ อย่าเพิ่งโกรธสิ” สือเสวจิ้นหยุดคิดไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ “เราพูดเรื่องการลงโทษจากสวรรค์กันแล้วนี่ แล้วผมคิดว่าฟ้าผ่านี่คงเป็นการลงโทษจากสวรรค์แน่ๆ การเปลี่ยนแปลงร่างของสิ่งมีชีวิตที่เจาะจงนั้นจะนำสายฟ้ามาให้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเพดานนั้นจะสูงขึ้นสำหรับมนุษย์นะ ผมเชื่อมาตลอดเลยว่าการไปถึงจุดสูงสุดของระดับ A ได้จะต้องมีการลงโทษจากสวรรค์มาแน่ๆ เพราะมันฝืนธรรมชาติ แต่ในกรณีหลี่ว์ซู่แล้วฟังดูเป็นไม่ได้มากไปหน่อย เขาน่าจะโดนลงโทษเพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตที่อยู่กับเขามากกว่า”

 

 

สือเสวจิ้นนั้นอนุมานสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลี่ว์ซู่เพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset