ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 633 เจอกันอีกแล้วนะอวิ๋นอี่

หลังจากได้ยินแบบนั้น หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกดีที่เนี่ยถิงเห็นเขาสำคัญมากขนาดนี้ คงดีถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าไปเจอเหตุการณ์ชวนสลดขึ้นมาและทำอะไรไม่ได้จริงๆ ก็คงดีกว่าถ้าไม่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง  

 

 

ทุกคนต่างก็หวังอยากให้ผลเป็นไปตามที่คิดไว้ ทุกคนเดินทางไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยและสามารถผูกสัมพันธ์สร้างพันธมิตรใหม่ๆ ที่สามารถช่วยพวกเขาได้ แต่ปัญหาคือความหวังมันช่วยอะไรไม่ได้น่ะสิ  

 

 

ใครจะสามารถบอกได้ว่ากลุ่มนี้จะไม่ไปเจออันตรายเข้า แน่ละว่าไม่มีใครบอกได้หรอก  

 

 

ถ้าไม่สามารถหลบเลี่ยงอันตรายได้และไม่มีใครสามารถรอดออกไปได้เลย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการรักษาชีวิตของหลี่ว์ซู่ไว้  

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปพักหนึ่ง และในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาว่า “ฝากบอกราชันฟ้าเนี่ยด้วยว่าผมจะพาคนพวกนั้นกลับมาแบบครบ สามสิบสองให้ได้ ผมจะจะปกป้องคนพวกนั้นให้ดีที่สุดเลย”  

 

 

วันต่อมาหลี่ว์ซู่รีบไปที่หมู่บ้านหลิว ตอนแรกเขาคิดว่าโรงแรมคงต้องใช้เวลาสร้างราวหนึ่งถึงสองเดือน ไม่คิดเลยว่าจะได้รับแจ้งจากหลี่อีเสี้ยวว่าโรงแรมนั้นสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเร็วขนาดนี้  

 

 

ไม่ใช่แค่เสร็จอย่างเดียวนะ ครอบครัวน่าลานยังได้เข้ามาบริหารด้วยแล้วอีกต่างหาก  

 

 

พวกเขามีธุรกิจขนาดใหญ่หลายอย่าง รวมถึงมีธุรกิจโรงแรมที่เป็นเครืออยู่ด้วย ตอนนี้การสร้างโรงแรมขึ้นมาแล้วจ้างให้หน่วยงานอื่นมาบริหารดูแลแทนนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว อย่างโรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนเชียลเองก็ใช้ระบบนี้เหมือนกัน  

 

 

ในตอนที่หลี่ว์ซู่ไปถึงหมู่บ้านหลิว เขาก็เห็นหลี่อีเสี้ยวกำลังจัดแจงให้คนเอาป้ายไปแขวน มีโรงแรมสองแห่งอยู่ข้างกัน โรงแรมแรกเป็นโรงแรมของหลี่ว์ซู่ซึ่งยังไม่ได้ตั้งชื่อ ส่วนอีกที่เป็นของหลี่อีเสี้ยว ใช้ชื่อว่า…  

 

 

หลี่ว์ซู่อ่านป้ายที่เพิ่งยกขึ้นแล้วสับสนมาก มีข้อความพิมพ์ไว้บนป้ายว่า ‘โรงแรม รักเมีย รักชีวิต อย่าคิดซ่อนเงินจากเมีย ห้ามเถียง ห้ามตอกกลับ’  

 

 

“เพิ่งเห็นโรงแรมชื่อยาวแบบนี้เป็นครั้งแรกนะ…” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ  

 

 

น่าหลานเชวี่ยนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ มาดของเธอดูเป็นเถ้าแก่เนี้ยใช้ได้ หลี่ว์ซู่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เหนือฟ้ายังมีฟ้าสินะ ไม่คิดเลยว่าหลี่อีเสี้ยวจะกลัวมากได้ขนาดนี้ ใครจะไปนึกละว่าน่าหลานเชวี่ยที่มาจากครอบครัวร่ำรวยนั้นจะยอมวางมือ ไม่สานต่อธุรกิจที่บ้านและมาบริหารโรงแรมเล็กๆ กับหลี่อีเสี้ยวได้  

 

 

แถมหลี่ว์ซู่ยังเพิ่งสังเกตเห็นอีกว่ามีพนักงานชายเพียงคนเดียวเท่านั้นในโรงแรมนี้  

 

 

ตอนที่น่าหลานเชวี่ยเห็นหลี่ว์ซู่ หน้าตาเธอก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันที  

 

 

“หลี่ว์ซู่ มากินข้าวกลางวันด้วยกันเร็ว!”  

 

 

สีหน้าของหลี่อีเสี้ยวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “เราเพิ่งเปิดโรงแรม! มากินที่นี่ดีกว่ามา!”  

 

 

น่าหลานเชวี่ยหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เดี๋ยวนี้มีเงินเก็บของตัวเองแล้วละสิ”  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +199!]  

 

 

หลี่ว์ซู่เม้มปาก เขาขอไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ได้ไหมเนี่ย  

 

 

“เอาละ พูดถึงเรื่องสำคัญกันก่อน” หลี่อีเสี้ยวเปลี่ยนเรื่อง “ผู้จัดการหมู่บ้านนี่อวดดีชะมัด ตอนเขาเห็นพวกเราสร้างโรงแรม เขาก็เกทับด้วยการสร้างโรงแรมอีกสองที่ใกล้ๆ เราเสียเลย แถมยังไปเอาชาวบ้านคนอื่นเข้ามาร่วมด้วยอีกต่างหาก ถึงโรงแรมของพวกเราจะเหนือกว่าก็จริง แต่เขาก็อาจตัดราคาแข่งกับเราได้ น่าหลานกับฉันก็เลยคุยกันว่าจะวางแผนทำให้เขาล้มละลาย ว่าแต่นายน่ะ มีความคิดดีๆ บ้างไหม”  

 

 

พอหลี่ว์ซู่ได้ยินแบบนี้ก็ใจชื้นขึ้นมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องมาจัดการปัญหาในเมืองลั่วนี้ พวกชาวบ้านเคยคิดจะขายสตรอว์เบอร์รีในเรือนกระจกเพื่อหาเงินเพิ่ม  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ก็เก็บสตรอว์เบอร์รีไปเสียเกลี้ยง หลี่ว์ซู่ก็ยังมีความรู้ผิดชอบ คนพวกนี้มาเอาเปรียบเสี่ยวอวี๋เพราะคิดว่าเสี่ยวอวี๋นั้นกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ พวกเขามาขโมยผักกุยช่ายของพวกเขาไป หลี่ว์ซู่ใจดีมากแล้วที่ไม่ไปเผาทำลายบ้านของพวกเขาทิ้ง  

 

 

“ให้ผมจัดการเอง เราจะจัดการแบบคนมีระดับ ถ้าพวกเขาแย่งเอาธุรกิจนี้ไปได้ ผมก็ขาดทุนแย่” หลี่ว์ซู่พูดยิ้มๆ เขามีตราแผ่นดินอยู่ในมือ ถ้าเขาเพิ่มความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่โรงแรมทั้งสองแห่งแล้ว โรงแรมก็จะไม่ได้เป็นแค่เพียงสถานที่เติมเต็มความต้องการทั่วๆ ไป แต่จะกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกฝนแทน ไว้ตอนนั้นพวกเขาค่อยมาคิดเรื่องราคากันก็ยังไม่สาย  

 

 

ถึงโบราณสถานเป่ยหมังจะเป็นที่ที่มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณสูง แต่เมื่อผู้คนกว่าหมื่นคนเข้าไปที่นั่นพร้อมๆ กันและแบ่งพลังกัน ก็จะทำให้สถานที่นั่นกลายเป็นพื้นที่มีค่าพลังจิตวิญญาณน้อยลง กลายเป็นว่าจะสวนทางกันไปเสียอย่างนั้น  

 

 

แต่ที่ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่นี่สูงก็เพราะว่าหลี่ว์ซู่ได้ปลูกผักกุยช่ายไว้ที่นี่ ถ้ามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่นี่ก็คงสูงกว่าที่ที่ค่าพลังจิตวิญญาณสูงเสียอีก พูดได้เต็มปากเลยว่าตั้งแต่หลี่ว์ซู่ได้ตราแผ่นดินมา คนที่ได้ประโยชน์ก็เห็นจะเป็นเจียงซู่อี หลิวหลี่ และหลี่ว์ซู่เองนี่แหละ  

 

 

เนี่ยถิงรู้ว่าตราแผ่นดินนั้นอยู่กับหลี่ว์ซู่ และหลี่ว์ซู่ก็มั่นใจว่าเนี่ยถิงคงไม่ว่าอะไรกับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี่หรอก  

 

 

ในขณะที่หลี่ว์ซู่นั้นกำลังคึกคัก เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ ดังมาจากทางด้านหลังเขา เสียงเย็นๆ นั่นเอ่ยถามน่าหลานเชวี่ยว่า “มีห้องว่างไหมคะ”  

 

 

หลี่ว์ซู่หันกลับไปแล้วก็ต้องตัวแข็ง เขาจำเสียงนี้ได้ตั้งแต่ก่อนหันไปเสียอีก ปรมาจารย์หุ่นเชิดอวิ๋นอี่นี่เอง!  

 

 

เมื่อน่าหลานเชวี่ยเห็นผู้หญิงหน้าตาดีตรงหน้า เธอก็อยากเอ่ยปฏิเสธไป ขนาดพนักงานทั้งหมดในโรงแรมยังเป็นผู้ชายหมดเลยนี่ หลี่อีเสี้ยวนั้นรู้ตัวทันทีว่าจะต้องปฏิเสธ…  

 

 

ในตอนนี้มีแขกสาวสวยสะเทือนเลือนลั่นคนนี้เข้ามา น่าหลานเชวี่ยที่กำลังอารมณ์เสียแบบนี้คงไม่มีทางปล่อยให้เธอเข้ามาพักที่โรงแรมแน่  

 

 

หลี่ว์ซู่ที่เคยพบอวิ๋นอี่มาก่อนแล้วหันไปมองน่าหลานเชวี่ย แล้วทันใดนั้นน่าหลานเชวี่ยก็พูดออกมาโดยไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย “มีห้องว่างค่ะ จะเลือกเป็นห้องเตียงคู่หรือห้องธรรมดาดีคะ พวกเราเพิ่งเปิดใหม่ๆ ลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลยแล้วกัน”  

 

 

หลี่ว์ซู่ถอนหายใจออกมา ปรมาจารย์หุ่นเชิดนั้นเป็นตัวอันตรายของประเทศเลย เขากลัวว่าน่าหลานเชวี่ยจะปฏิเสธเธอ และก็คงทำลายโรงแรมนี้ราบเป็นหน้ากลองในเวลาไม่กี่นาที  

 

 

ถึงหลี่ว์ซู่จะมั่นใจว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดนั้นกำลังหลบซ่อนตัวอยู่และก็คงไม่บ่นอิดออดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรอก แต่ใครจะยืนยันได้ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดละ  

 

 

เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่ใช่เหรอครั้งนั้นน่ะ ราชันฟ้าเนี่ยครับ คุณพึ่งพาได้จริงๆ ใช่ไหม  

 

 

หลี่ว์ซู่หันหลังให้อวิ๋นอี่ตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่ทำไม เธอรู้แล้วเหรอว่าเขาอยู่ที่นี่ นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย เธอคงจะฆ่าเขาทิ้งทันทีไปแล้ว คงไม่เข้ามาถามหรอกว่ามีห้องว่างหรือเปล่า  

 

 

แล้วที่หมู่บ้านหลิวและเมืองลั่วนี่มันพิเศษอะไรนักหนา หลี่ว์ซู่ค่อยๆ คิด ที่นี่มีวิทยาลัยผู้บำเพ็ญและมีตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ทั้งสองที่นี่ดึงดูดพวกผู้บำเพ็ญกันมาอยู่แล้ว  

 

 

และโรงแรมนี่… ก็เป็นพื้นที่ที่มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณสูงอีก  

 

 

ปรมาจารย์หุ่นเชิดก็ต้องฝึกฝนด้วยสินะ เธอถึงได้มาเลือกที่ที่มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณสูงแบบนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา  

 

 

นี่เหมือนกับว่าหลี่ว์ซู่ทำร้ายตัวเขาเองเลย เขาต้องมาคิดว่าอยากจะได้เงินมาน้อยๆ เพื่อมาเพิ่มความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณในโรงแรมนี้ดีหรือเปล่า ความคิดนี้เชื่อได้เลย  

 

 

หลี่ว์ซู่รอจนกระทั่งอวิ๋นอี่เดินไปที่ห้องของตัวเองก่อนจะเดินออกมาจากโรงแรม พอเขาเดินออกมาประมาณหนึ่งกิโลเมตรแล้วเขาก็รีบวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่วิ่งอยู่นั้นเขาก็รีบโทรหาเนี่ยถิง “ไหนบอกว่าเธอหายไปแบบไร้ร่องรอยไง ปรมาจารย์หุ่นเชิดอยู่ที่หมู่บ้านหลิวแล้วเนี่ย! พาคนมาล้อมแล้วกำจัดเธอทิ้งเถอะครับ!”  

 

 

เนี่ยถิงฟังแล้วก็เงียบไป จะให้ไปกำจัดระดับ A กลางเมืองเนี่ยนะ มันคุ้มกันเหรอที่จะสละชีวิตคนครึ่งเมืองเพื่อทำอย่างนั้นน่ะ  

 

 

เพราะระดับ A ถึงเป็นพวกยอดฝีมือ พวกเขาเป็นเหมือนระเบิดปรมาณู ไม่ว่าพวกเขาจะไประเบิดที่ไหนก็ต้องมีคนในพื้นที่โดนลูกหลงจนเจ็บและทรมานไปด้วยแน่ๆ  

 

 

เครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่สามารถจะป้องกันไม่ให้ปรมาจารย์หุ่นเชิดเข้ามาในประเทศได้ พวกเขาทำได้แค่ค่อยๆ เข้าหาและจับตาดูอย่างใกล้ชิดเท่านั้น รวมถึงต้องคอยหาวิธีอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset