ในตอนที่หลี่ว์ซู่กำลังคำนวณเม็ดเงินจากการมาโบราณสถานครั้งนี้ ทันใดนั้นเฉินไป่หลี่ก็ร่อนลงสู้พื้นพร้อมกับเฉิงชิวเฉี่ยวและกองกำลังเสริมของเขา
“ปู่ ทำไมถึงมานี่ได้ล่ะ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัยและค่อยๆ เอาเครื่องคิดเลขในมือเก็บเข้าไปในตราแผ่นดิน
เมื่อเฉินไป่หลี่เห็นเครื่องคิดเลขนั้นเขาก็เลิกคิ้ว เอาจริงๆ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงเก็บของแบบนั้นไว้ในที่เก็บของล่องหน…
“กองกำลังเสริมของเฉิงชิวเฉี่ยวจะมาประจำตามแนวป้องกันแล้ว” เฉินไป่หลี่ตอบ “ให้พวกเขาไปประจำแทน”
“แล้วพวกเราล่ะ” หลี่ว์ซู่อึ้ง
“พวกนายทุกคนก็ไปรับช่วงต่อจากกองกำลังเสริม ถ้ามีทหารจากทะเลมารวมตัวกันเยอะค่อยไปช่วยที่นั่น” เฉินไป่หลี่ตอบ “เดี๋ยวจะบอกทิศทางที่ต้องไปจากข้างบนฟ้าให้เอง”
ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไป คนที่ถูกรับเลือกให้เป็นกองกำลังเสริมนั้นเป็นพวกระดับสูงทั้งนั้น คนอื่นๆ อาจหยุดพักเป็นระยะๆ ได้ แต่กองกำลังเสริมทำแบบนั้นไม่ได้ แถมพวกเขายังต้องไปอยู่ที่ที่อันตรายที่สุดตามแนวป้องกันอีก
เกาะนี้ใหญ่มาก ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าทหารจากทะเลนั้นจะเข้ามาโจมตีจากตรงไหน เพราะฉะนั้นกองกำลังเสริมจึงเป็นกองที่สำคัญมากๆ
ตอนแรกทุกคนก็ชื่นชมเฉิงชิวเฉี่ยวและทีมของเขา เพราะคนที่ได้เป็นกองกำลังเสริมหมายความว่าพวกเขานั้นเก่งกาจจริงๆ แต่กองพันที่ 42 ที่ไม่ได้เก่งอะไรแบบนั้น ทว่ากลับถูกขอให้สลับหน้าที่กับทีมของเฉิงชิวเฉี่ยว
เฉิงชิวเฉี่ยวมองไปทางหลี่ว์ซู่ด้วยความดีใจ “พี่หลี่ว์ซู่ ฝากจัดการด้วยนะ!”
เฉาชิงฉือก้าวออกมาจากกลุ่มคนแล้วพูดกับหลี่ว์ซู่อย่างใจเย็น “เราหวังพึ่งนายนะ”
เฉาชิงฉือนั้นปกติเป็นคนเย็นชาและไม่ชอบพูด แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคุ้นเคยกับหลี่ว์ซู่เป็นอย่างดี
หลี่ว์ซู่ทำอะไรมากไม่ได้ “งั้นฉันก็ฝากพวกนายจัดการแนวป้องกันให้ดีด้วยนะ”
เขารู้ว่าเฉินไป่หลี่นั้นเห็นความแข็งแกร่งของเขาแล้ว และเห็นความสามารถของกองทัพกว่าสามร้อยคนในชุดเกราะทองแดงแล้วด้วย ความแข็งแกร่งขณะที่สวมเกราะนี้ หากใช้ให้ปกป้องแค่พื้นที่เพียงที่เดียวก็เสียของแย่
เมื่อก่อนนั้นทหารที่ใส่ชุดเกราะหนักจะขยับตัวไม่ค่อยสะดวก ทหารที่ใส่เกราะที่อยู่ประจำป้อมปราการจะเคลื่อนไหวเร็วๆ ไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับต่างออกไปแล้ว ผู้คนที่อยู่ข้างหลังเขานั้นไม่เป็นตัวถ่วงเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใส่เกราะที่หนักกว่าร้อยกิโลกรัมอยู่ก็ตามที
หลี่ว์ซู่ยิ้มออกมาแล้วหันไปเอ่ยกับมั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ “ไปกันเลยไหม”
มั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ ฮึกเหิมกันขึ้นมา พวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงกันทั้งนั้น ทุกคนอยากจะได้ช่วยมากกว่านี้ในสถานการณ์คับขันเพื่อจะได้รับเกียรติยศ
นี่อย่างกับตอนเลือกตัวละครในเกมเลย คนหนุ่มๆ หลายๆ คนก็อยากจะแบกทีมในเกม แต่กลับไม่เหมาะกับความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาอยากจะแสดงความสามารถมากกว่านี้ อยากจะเปลี่ยนกระแสน้ำในยุคของตัวเองและช่วยปกป้องโลก…
ทันใดนั้นเองเฉินไป่หลี่ก็ถลาตัวขึ้นฟ้า “เตรียมตัวต่อสู้ กองทัพจากทะเลกำลังมากันแล้ว!”
ทหารจากทะเลพวกนี้ราวกับไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยกันเลย พวกมันโถมเข้ามาโจมตีกันอีกระลอกแล้ว
หลี่ว์ซู่นั้นสงสัยเป็นอย่างมาก ทำไมทหารจากทะเลพวกนี้ถึงมีเยอะขนาดนี้นะ ทำไมถึงส่งกันออกมาต่อสู้ได้เรื่อยๆ เรื่องนี้จะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย
เขาตรวจดูระบบ ดูเหมือนจะรายการของคนแซ่เค่อปรากฏขึ้นมาจำนวนหนึ่งที่ให้แต้มอารมณ์กับเขา คงจะดีถ้าเขาเจอพวกคนที่ให้แต้มอารมณ์กับเขาได้
แล้วเฉินไป่หลี่ก็ชี้ให้ไปทางตะวันออกเฉียงใต้!
กองพัน 42 เดินหน้าตามหลี่ว์ซู่ไป ทั้งกองพันนั้นมีคนมากกว่าสามร้อยคน พวกเขากำลังเคลื่อนพลกันบนพื้นเกาะที่ไม่สม่ำเสมอกัน ดูราวกับว่าคลื่นดินสีฟ้านั้นกำลังจะถล่มก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่ๆ เลย
มีบางคนที่ยังไม่เคยเห็นระลอกสีทองแดงนี้มาก่อน เมื่อนักเรียนห้องเต้าหยวนได้เห็นกองทัพเกราะทองแดงมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้ พวกเขาก็เลยตะโกนกันอย่างหมดหวัง
“พี่น้องทั้งหลาย เราถูกทหารจากทะเลล้อมแล้ว…”
“แย่แน่! เราตายแน่ๆ!”
“แนวป้องกันข้างหลังเราโดยทำลายแล้วเหรอ”
[ได้แต้มอารมณ์จากจางเชียน +999..]
[ได้แต้มอารมณ์จาก…]
ตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกาย เขาได้แต้มอารมณ์จากการทำให้คนกลัวได้สินะ แหม กลยุทธ์นี้ไม่เลวจริงๆ!
เขาไม่ได้พูดตะโกนเสียงดัง “สหายร่วมรบทั้งหลาย!” และเขาก็นำทีมไปต่อสู้กับทหารจากทะเล เพราะเขาอยากได้แต้มอารมณ์เพิ่มอีก หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาจะได้แต้มอารมณ์มาเยอะขนาดที่ว่าเอาไปจุดประกายดาวดวงที่เจ็ดได้เลย!
กลุ่มนักเรียนจากห้องเต้าหยวนที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ได้แต่มองการต่อสู้ตรงหน้าพวกเขาอย่างอึ้งๆ แล้วอยู่ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นสุดขีด “ทหารจากทะเลหักหลังกันเองแล้ว มันทะเลาะกันเหรอ อย่างกับองค์รัชทายาทกับองค์ชายอีกคนต่อสู้แย่งบัลลังก์กันเลยแน่ะ กองทัพขององค์รัชทายาทเลยส่งคนไปเก็บคนขององค์ชายอีกคน…”
พวกเด็กผู้ชายทำหน้างงสุดๆ ใครทำอะไรกับใครนะ
“เดี๋ยวก่อน เห็นนั่นกันหรือเปล่า หน้าของกองทัพนั้นไม่ได้เป็นสีฟ้านะ!” มีคนตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
แล้วทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็นึกได้ว่านั่นเป็นคนของกองพันที่ 42 ได้ งั้นคนพวกนี้ก็เป็นสหายร่วมรบน่ะสิ! เมื่อกี้พูดบ้าอะไรกันน่ะ!
มั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ ก็งงตามไปด้วย ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงไม่ยอมบอกว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นใครนะ พอเงียบแล้วดูใจร้ายใจดำขึ้นงั้นเหรอ
ตอนที่เฉินจู่อานและคนอื่นๆ กำลังเร่ขายเกราะทองแดงกันอยู่นั้น พวกเขาก็เล่าให้ฟังด้วยว่าหาเกราะพวกนี้มาได้อย่างไร แต่พวกเขากลับคิดว่ามันเป็นวิธีที่ยุ่งยาก ยากพอๆ กับการเอาชนะศัตรูเลย
ทว่าพอพวกเขาเห็นกองพันที่ 42 เคลื่อนไหวกันอย่างราบรื่นและคล่องแคล่ว พวกเขาก็ตกตะลึง มีคนจำนวนหนึ่งที่กำลังอัดทหารจากทะเล ส่วนอีกพวกหนึ่งก็รอโจมตีตอนสุดท้าย ทุกคนต่างมีหน้าที่ประจำของตัวเอง ทุกอย่างเลยออกมามีประสิทธิภาพมาก
อย่างกับว่าพวกเขาเป็นทีมผลิตสินค้าและพวกทหารจากทะเลเป็นสินค้านั่นล่ะ เมื่อกองทัพทะเลพุ่งเข้าไปหากองพันที่ 42 ไม่นานก็จะโดนถอดอะไรออกไปสักชิ้นสองชิ้น
หลังจากที่หลี่ว์ซู่ได้กำจัดทหารจากทะเลกันไปแล้ว เขาก็ไม่ได้นำทีมไปที่อื่นๆ อีก จริงๆ แล้วจุดที่อันตรายนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เฉินไป่หลี่เลยส่งสัญญาณให้พวกเขาไปทางทิศอื่นต่อ ขนาดกระบี่บินของเฉินไป่หลี่เองก็ยังไม่สามารถโจมตีไปทั่วทุกบริเวณที่ต้องการได้
พอระลอกทองแดงพวกนั้นจากไป ทหารจากทะเลกลุ่มนั้นก็ถูกกำจัดไปไม่เหลือ และพวกเขาก็ทิ้งเกราะที่แงะออกมาได้ไว้บนพื้น
ครั้งนี้หลี่ว์ซู่ไม่ได้เอาเกราะทองแดงไปและปล่อยมันทิ้งไว้ให้คนอื่นเก็บไปได้ เขาหาเงินมาได้ทั้งหมดกว่าสิบล้านหยวนในการมาโบราณสถานครั้งนี้แล้ว ถ้าได้มากกว่านี้เดี๋ยวได้มีเรื่องกับเนี่ยถิงอีก แล้วก็จะเป็นเหมือนคราวก่อนที่หลี่ว์ซู่ต้องโอนเงินห้าแสนหยวนออกไปทุกวัน เขาจะไปขอเพิ่มวงเงินโอนให้มากกว่านี้ก็ได้ แต่ถ้าโอนเงินจำนวนมากๆ ไป ทั้งบัญชีโอนและบัญชีรับอาจถูกระงับได้ ซึ่งเป็นปัญหาของการจัดการจำนวน เขาต้องคำนวณให้ดีๆ เพื่อจะไม่ต้องมีปัญหากับเนี่ยถิง
นอกจากนี้ผู้คนตามแนวป้องกันทางตะวันออกเฉียงใต้ตกใจกันหลายครั้ง พวกเขาจะพูดกันว่า ‘ไม่นะ เราถูกล้อมแล้ว’ ต่อมาก็จะพูดว่า ‘อ้าว นี่มันสหายเราเองนี่!’ วงจรนี้เกิดขึ้นหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้ว
หลี่ว์ซู่ก็เลยได้แต้มอารมณ์มาแบบไม่ขาดสาย เขาตรวจดูระบบหลังบ้านแล้วก็เห็นว่า เขาได้แต้มอารมณ์มาตั้งแสนแต้มเลยทีเดียว!