ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 590 สายตาดี

ตอนที่ 590 สายตาดี

 

 

หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในค่ายทหารแล้ว กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่คอยดำเนินการก็เข้ามาต้อนรับ ผู้ที่เดินทางเข้ามาในค่ายแล้วจะต้องติดตราไว้ที่หน้าอกเผื่อว่าจะต้องเดินไปไหนมาไหนในค่าย

 

 

การรักษาความปลอดในนี้เข้มงวดมาก เพราะผู้ลี้ภัยมักจะหนีมาที่นี่ ที่นี่เป็นที่ที่คนรุกล้ำจากภายนอกจะเข้าประเทศมาตอนไหนก็ได้ การจะเฝ้ายามพื้นที่กว้างขวางเช่นนี้ทำได้ยากมาก

 

 

หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย “แล้วพวกนักเรียนห้องเต้าหยวนที่เหลือไปไหนกันหมดล่ะครับ”

 

 

คนที่เดินนำตอบ “โบราณสถานเปิดออกแล้ว คนที่มาถึงก่อนก็เลยเดินทางไปที่โน่นกันหมดแล้ว เดี๋ยวนายต้องรอคนกลุ่มสุดท้ายมาถึงก่อน ถึงจะไปโบราณสถานได้ ไม่รีบใช่ไหม”

 

 

ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาต้องทำให้ทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าหากปล่อยให้ทุกคนที่มาถึงไปที่โบราณสถานได้ทันทีคงวุ่นวายน่าดู

 

 

“ไม่รีบครับ ว่าแต่โบราณสถานอยู่ไหนกันล่ะครับ” หลี่ว์ซู่ถาม เขากะว่าจะไปหาเสี่ยวอวี๋หลังจากนี้ เขาคิดว่าเสี่ยวอวี๋น่าจะยังไม่ได้เข้าไปในโบราณสถาน แค่คิดว่ามีนักเรียนห้องเต้าหยวนกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปสำรวจหาของก่อนเขามันก็น่าเสียใจเหมือนกันนะ…

 

 

แต่หลี่ว์ซู่มีประสบการณ์ที่เคยเข้าไปสำเร็จมาแล้ว เขารู้ว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าจะเข้าไปในโบราณสถานหนึ่งหรือสองวันหลังจากนั้น ยังไงก็น่าจะหาของเจ๋งๆ ในนั้นได้อยู่แล้ว

 

 

“โบราณสถานตั้งอยู่ทางเหนือของหลัวปู้พัว ห่างขึ้นมาเจ็ดกิโลเมตร เราจะต้องนั่งรถไปที่นั่น แต่เราเข้าไปใกล้มากไม่ได้ เราเข้าไปเฝ้ายามได้เพียงรอบนอกเท่านั้น” คนพูดเหมือนจะเป็นคนที่มาจากเครือข่ายฟ้าดิน งานของคนที่มาจากเครือข่ายฟ้าดินนั้นคือการเฝ้ายามรอบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกเข้าไปในโบราณสถานได้

 

 

เครือข่ายฟ้าดินจะมีสิทธิ์ผูกขาดโบราณสถานในประเทศ ไม่เหมือนกับโบราณสถานต่างประเทศหรอกที่กลายเป็นงานวัดของผู้บำเพ็ญจากทั่วโลกไปเลย

 

 

“พวกเขาเข้าไปนานหรือยังครับ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสบายๆ

 

 

“ห้าวันแล้วล่ะ” ใครบางคนตอบ

 

 

หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “นักเรียนพวกนั้นตกอยู่ในอันตรายแล้วครับ! พวกเราที่เป็นสหายร่วมรบจะต้องรีบเข้าไปช่วยเดี๋ยวนี้เลย!”

 

 

สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินที่เดินนำกล่าว “ไหนบอกว่าไม่รีบไง รอจนกว่ากลุ่มสุดท้ายจะมาถึงก่อน ฉันเพิ่งได้รับข้อมูลว่ากลุ่มนั้นจะมาถึงในอีกชั่วโมงครึ่งนี้แล้ว”

 

 

รถไฟมาไม่ถึงที่นี่แน่ๆ งั้นรถทหารก็คงเป็นพาหนะเดียวที่ใช้เดินทางมาที่นี่

 

 

พอหลี่ว์ซู่ได้ยินว่านักเรียนห้องเต้าหยวนไปถึงที่นั่นตั้งห้าวันแล้วเขาก็ใจร้อนแทบทนไม่ไหว เฉินไปหลี่เป็นคนนำในภารกิจนั้นเอง ด้วยความสามารถของเฉินไป่หลี่แล้ว เขาสามารถหาวัตถุเก่าแก่ได้ภายในไม่กี่วันเท่านั้น แล้วหลี่ว์ซู่จะถ่อมาที่ทำไมกัน

 

 

เมื่อขบวนรถมาถึงแล้ว นักเรียนจากห้องเต้าหยวนประมาณร้อยคนก็เดินลงมาจากรถทหารห้าคัน

 

 

มีร่างอ้วนเดินนำมาและรีบวิ่งเข้ามาด้วยความกล้าหาญ เจ้าตุ้ยนุ้ยนี่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนักเรียนพวกนี้ และนักเรียนคนอื่นๆ ก็คอยยืนอยู่ล้อมรอบหัวหน้าของพวกเขา

 

 

เจียงเฟิงที่มองพวกนั้นอยู่พูดออกมา “พวกนี้น่าจะเป็นหัวกะทิระดับ A ที่เพิ่งกลับมาจากการทำภารกิจ”

 

 

เสียงเขาเจือไปด้วยความอิจฉาอยู่ในนั้น พวกหัวกะทิระดับ A แต่ละคนที่กลับมานั้นล้วนเปลี่ยนไปทั้งนั้น เมื่อก่อนนักเรียนระดับทั่วไปก็แค่ชื่นชมในความสามารถของพวกเขา ที่สุดแล้วระหว่างพวกเขาก็ไม่มีต่างกันมาก แค่เพียงพวกหัวกะทิมีความสามารถมากกว่าเท่านั้น

 

 

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกหัวกะทิพวกนี้ได้รับประสบการณ์การหลั่งเลือดและเผชิญความยากลำบากเพื่อจะเป็นยอดฝีมือกันแล้ว ทุกๆ คนไม่ได้แค่ชื่นชมพวกเขา แต่ทั้งเคารพและบูชาพวกเขาเลยต่างหาก

 

 

เด็กนักเรียนกลุ่มนั้นเดินเข้ามา เมื่อเจ้าตุ้ยนุ้ยเห็นหลี่ว์ซู่และคนในกลุ่ม เขาก็หยุดเดินทันใด ราวกับว่าไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็นและอยากจะเห็นหน้าให้ชัดๆ เลยเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงครวญครางดังขึ้นมา “พี่ซู่! พี่ซู่จริงๆ ด้วย! พี่รู้ไหมว่าผมต้องลำบากมากแค่ไหนในสองเดือนที่ผ่านมาเนี่ย”

 

 

หลี่ว์ซู่พูดตอบ “เฉินจู่อาน…”

 

 

หลี่ว์ซู่บอกตรงๆ เลยว่าเฉินจู่อานเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนเขาเป็นเด็กอ้วนๆ คนหนึ่ง ทว่าในตอนนี้เขากลับดูแข็งแกร่งขึ้นมา แต่น้ำหนักของเขาก็ไม่ได้ลดลงเลย หลี่ว์ซู่รู้ว่าเฉินจู่อานนั้นไม่ใช่หัวกะทิระดับ A แต่เขาก็ได้รับคำสั่งจากเนี่ยถิงให้ไปทำภารกิจให้สำเร็จ และการจัดการของเนี่ยถิงนั้นชาญฉลาดมาก อย่างภารกิจของเฉาชิงฉือนั้นเต็มไปด้วยอันตรายสุดๆ ส่วนภารกิจของเฉินจู่อานที่มีความสามารถต่ำกว่าจะเป็นภารกิจที่เอาไว้ทดสอบความมุ่งมั่นและความอดทนของเขาแทน

 

 

หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย “สายตานายเป็นอะไรน่ะ นายมองไม่เห็นฉันจากที่ไกลๆ เหรอ”

 

 

เฉินจู่อานดึงหลี่ว์ซู่ออกไปข้างๆ แล้วถามเบาๆ “พี่ไม่รู้เหรอว่าราชันฟ้าเนี่ยส่งผมไปทำอะไรมาบ้าง ที่ที่ผมไปมันมีพิษด้วย! ผมตาเกือบบอด!”

 

 

เฉินจู่อานนั้นเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะมาบ่นให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดของภารกิจ แน่ล่ะว่ามันต้องถูกปิดเป็นความลับ

 

 

“อ้อ…” หลี่ว์ซู่พยักหน้า “รู้สึกว่านายจะได้อะไรมาเยอะแยะจากภารกิจนี้เลยนี่ โตขึ้นเยอะเลยนะ”

 

 

เฉินจู่อานหัวเราะ “แต่ตอนนี้สายตาผมไม่ดีไปแล้วล่ะพี่ ผมมองอะไรจากไกลๆ ไม่เห็นแล้ว หมอบอกว่ากว่าจะหายดีก็ต้องใช้เวลาหกเดือน งั้นผมรบกวนพี่ช่วยปกป้องผมตอนเข้าไปในโบราณสถานทีนะ เรายังซี้กันอยู่ใช่ไหม”

 

 

หลี่ว์ซู่เหลือบมองเฉินจู่อาน เขาไม่ได้ใส่นาฬิกาข้อมือด้วยซ้ำ แล้วเขาก็ชี้ไปที่พระอาทิตย์ตก “นั่นอะไรน่ะ”

 

 

“เอ่อ…” เฉินจู่อานอึ้ง “ดวงอาทิตย์ไงครับ”

 

 

“ดวงอาทิตย์ห่างออกไปตั้งเก้าสิบสองล้านเก้าแสนห้าหมื่นกิโลเมตร อยากเห็นไกลไปกว่านั้นแค่ไหนล่ะ” หลี่ว์ซู่ถาม

 

 

เฉิยจู่อาน “…”

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!]

 

 

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนก็มากันแล้ว เรารีบเข้าไปกันเถอะ” หลี่ว์ซู่เริ่มใจร้อน

 

 

เมื่อเจียงเฟิงเห็นเฉินจู่อานและหลี่ว์ซู่พูดคุยกันเงียบๆ ตรงมุม เขารู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจไอ้ลูกคนมีอิทธิพลคนนี้ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในค่ายนี้เลย พวกเขาเข้าใจผิดไปเหรอ เขาได้ยินเฉินจู่อานเรียกหลี่ว์ซู่ว่าพี่ซู่ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ซู่งั้นเหรอ ชื่ออะไรของมันเนี่ย แถมพวกคนที่ตามเฉินจู่อานมาก็ดูเคารพหลี่ว์ซู่อย่างกับว่าเป็นพวกหัวกะทิระดับ A ด้วยอย่างนั้นแหละ

 

 

เฉินจู่อานบอกแค่ว่าเขาไปทำภารกิจและไปฝึกทหารร่วมกับพวกหัวกะทิระดับ A แต่เมื่อมีคนถามเรื่องความสามารถที่แท้จริงของเขา เขากลับเปลี่ยนเรื่องไปพูดเรื่องอื่น ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้นแล้ว เรื่องความลับที่ว่าเขาไม่ใช่หัวกะทิระดับ A ก็คงแตกออกมา เขาคงจัดการเรื่องนี้ได้ยากถ้ามันเป็นแบบนั้น

 

 

ชีวิตคนจะมีความหมายอะไรถ้าคนเราไม่ทำตามอย่างที่ต้องการ

 

 

หลี่ว์ซู่นั้นอยากจะเข้าไปในโบราณสถานใจแทบขาด เขาขอให้สมาชิกของเครือข่ายฟ้าจัดรถไปส่งเขาที่โบราณสถานนั้น เฉินจู่อานก็เกาะติดหลี่ว์ซู่อย่างกับข้าวเหนียว เขาตามหลี่ว์ซู่ไปทุกที่ที่หลี่ว์ซู่ไป สำหรับเฉินจู่อานแล้วเขารู้ว่าไม่มีอะไรจะเหมาะสมไปกว่าการตีสนิทกับหลี่ว์ซู่ตอนที่พวกเขาเข้าโบราณสถานไป

 

 

เฉินไปหลี่ ปู่ของเขาก็อยู่ในโบราณสถานด้วย แต่เฉินจู่อานไม่สามารถคลานกลับไปขอพึ่งเขาได้หรอก!

 

 

ขบวนรถทหารก็มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปที่ทางเหนือ พอตอนที่พวกเขาออกมาจากค่ายแล้วพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไป แสงสุดท้ายของวันได้จากไปแล้ว

 

 

ในเวลานั้น อยู่ๆ ก็มีหลุมขนาดมหึมาเปิดออกในค่าย!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset