ตอนที่ 573 หมอกดำที่มืดมัว
บอกตามตรงว่าตอนนี้หลี่ว์ซู่ผิดหวังมาก เขาคาดหวังว่าจะได้เจอวิญญาณที่ยังไม่หมดห่วงหรือสิ่งมีชีวิตทรงพลังอะไรเทือกๆ นั้น ไม่ใช่นักโทษที่โดนกักขังแบบนี้
ถ้าเป็นในเกม พวกผู้เล่นมักจะเปิดกล่องสมบัติเจออาจารย์แก่ๆ ที่ช่วยสอนเคล็ดลับการฝึกฝนและฝึกความชำนาญ หรือกระทั่งพาไปฝึกบำเพ็ญในสถานที่ใหม่ๆ ทว่าความคาดหวังแบบนั้นได้พังทลายไปแล้ว
สรุปแล้วเขาเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น ถึงหลี่ว์ซู่จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่เขาบอกเรื่องสายเลือดนี่เท่าไหร่แต่เขาก็อารมณ์เสียเหมือนกันที่ค้นพบอะไรที่หักมุมจบไม่สวยแบบนี้
ผู้ชายคนนี้ต้มคนเก่งกว่าหลี่ว์ซู่อีก!
แต่เขาก็ยังแอบหวังอยู่เล็กๆ ในใจว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้โกหกเรื่องสายเลือดตอนแรกที่เจอกัน อาจเป็นเพราะเขารู้สึกถึงอะไรผิดปกติได้จริงๆ
พอมาถึงจุดนี้แล้วหลี่ว์ซู่ก็รู้ว่าหมอกสีดำนั่นมีอะไรแปลกๆ เพราะหลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงความแสบร้อนบนผิว เขามองไปที่ผู้ชายคนนั้นที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าก็เห็นว่าชายคนนี้มีแสงสีเขียวอยู่รอบตัวเพื่อปกป้องตนเองจากหมอก
เมื่อเห็นดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเรียกธารน้ำศักดิ์สิทธิ์มาเพื่อปกป้องร่างกายของเขาด้วยเช่นกัน จากนั้นความแสบร้อนรอบตัวก็หายไปทันที
กระนั้นงูสีทองของเขาก็ผลุบหัวออกมาจากน้ำและกลั้นหายใจไว้ขณะที่ปากของมันเปิดออกกว้าง เหมือนกับว่ามันหายใจเอาน้ำทะเลเข้าไป หมอกสีดำหนาๆ นั่นหายเข้าไปในปากของเจ้างูอย่างต่อเนื่อง
ไม่นาน เจ้างูสีทองก็เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างสังเกตเห็นได้ชัด
ไม่แม้แต่งูเท่านั้น กระทั่งธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองก็เปลี่ยนสีเป็นสีดำเหมือนหมึกตามไปด้วย
เขาไม่คิดเลยว่าจะเหตุการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ แต่นอกจากสีที่เปลี่ยนไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ปลอดภัยด้วยการปกป้องของธารน้ำนี่ ผ่านไปไม่กี่วินาที หมอกสีดำในไข่มุกดำก็ถูกดูดเข้าไปในธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพลังกัดกร่อนของมันเพิ่มมากขึ้นถึงสองเท่าขณะโดนดูดเข้าไป
ต่อให้โนกิวะ ฮากุชุนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็คงไม่กล้ากระโดดลงน้ำตรงๆ แน่ถึงแม้มีไม้ตายที่ใช้โจมตีกลับก็เถอะ
ผู้ชายคนนั้นมองด้วยความประหลาดใจ “นั่นคืออะไร ทำไมถึงดูดพลังจากหมอกสีดำนี่ได้ เจ้าเป็นใครกันแน่!”
แสงสีเขียวรอบตัวหมิงเย่ว์เยี่ยหายไปแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถหยุดพักจากการถูกทรมานด้วยหมอกสีดำเป็นเวลานานได้พักหนึ่ง
“ไม่สำคัญ บอกมาก่อนสิว่าคุณเป็นใคร” หลี่ว์ซู่ไม่ยอมง่ายๆ
“เอาแสงนั่นออกไปก่อน!” หมิงเย่ว์เยี่ยตะโกน
หลี่ว์ซู่ยอมทำตาม ชายคนนี้ลุกขึ้นมาและเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “เจ้ามาจากไหนกัน ข้าไม่เคยเห็นคนแต่งตัวแบบนี้”
หลี่ว์ซู่ใส่เสื้อคลุมแจ็กเก็ตและกางเกงยีน แต่งแบบนี้ก็ธรรมดาในสมัยนี้นี่ ถ้าชายคนนี้ถามแบบนี้ก็แปลว่าเขาไม่ได้มาจากยุคนี้แน่ๆ เขาไม่เคยเห็นชุดของคนในยุคปัจจุบันเลย เพราฉะนั้นแทนที่ที่หลี่ว์ซู่จะอธิบาย เขากลับถามคำถามต่อ “คุณเป็นใคร ถ้าไม่ตอบ ผมจะส่องแสงนี่ไปที่คุณนะ”
“ข้าคือชิงคง เจ้าสวรรค์แดนอุดร…”
หลี่ว์ซู่ส่องกระจกเข้าไปที่หมิงเย่ว์เย่ในทันที “ตลกดีนี่”
“ไอ้ประสาท!”
[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]
หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ เขาชื่อหมิงเย่ว์เยี่ยนี่ ทำไมต้องแสร้งทำเป็นเจ้าสวรรค์อุดรอะไรนั่นด้วย!?
ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสับสน เจ้าสวรรค์แดนอุดรชิงคงนั่นคือใคร เขาไม่มีตนตนอยู่ในตำนานจีนเสียหน่อย
“ให้โอกาสอีกรอบ คิดให้ดีก่อนตอบ” หลี่ว์ซู่หมุนกระจกส่องตะวันออกไปทิศอื่น
“ข้าคือเจ้าสวรรค์แดนทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว… บัดซบ! ขอใหม่อีกรอบ เอาแสงนั่นออกไป!”
[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]
“ข้าคือเจ้าสวรรค์แดนประจิม ตวนมู่หวงฉี่… ไม่เชื่อกันหรือไง ข้าพูดความจริง! เอาแสงออกไป!”
[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]
“ผมคือกัสสปะ ผู้ติดตามของเจ้าสวรรค์แดนบูรพาไห่กงจื่อ หรือที่คนขนานนามว่าท่านที่เคารพ…”
“งี่เง่า เจ้าสวรรค์บูรพาคืออวี้ฝูเหยา ไห่จงจื่อเป็นใครที่ไหนกัน ไม่คู่ควรมาเป็นราชันแดนบูรพาหรอก! แล้วผู้ติดตามของราชันทั้งหลายไม่มีใครชื่อท่านที่เคารพกันสักคน” หมิงเย่ว์เยี่ยโกรธจัด
[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]
หลี่ว์ซู่ก็ไม่ติดอะไรถ้าเขาจะโกรธ แค่ประหลาดใจเท่านั้นที่ท่าทางของเขาดูเหมือนพูดความจริง
ตอนแรกหลี่ว์ซู่ไม่เชื่อเรื่องชวนเชื่อของเขา ใครจะบอกว่าตัวเองเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้ [1] เป็นสูฝู [2] ไท่ซ่างเหล่าจวิน [3] หรือกระทั่งเป็นซุนหงอคงก็บอกได้ทั้งนั้น เขาไม่สนใจจะว่าจะพูดตามตำนานอะไรหรอก!
แต่หลี่ว์ซู่เองรู้สึกได้ถึงบางอย่าง ที่ชายคนนี้พูดมานั้น ดูเหมือนว่า ‘เจ้าสวรรค์แดนอุดร’ หรือ ‘เจ้าแห่งสวรรค์แดนทักษิณ’ นั้นจะมีอยู่จริงๆ
เขาพูดเล่นหรือเปล่านะ หรือนี่จะเป็นหมิงเย่ว์เยี่ยจากโลกอื่น เหมือนกับปรมาจารย์หุ่นเชิดแบบนั้น ที่ผ่านมาเขาเก็บไข่มุกนี้ไว้เพราะมันมีความคล้ายคลึงกับหน้ากาก หรือนี่จะหมายความว่าหมิงเย่ว์เยี่ยมาจากโลกเดียวกับปรมาจารย์หุ่นเชิดและพวกเขาทั้งสองก็เป็นทายาทของตระกูลอี๋ที่เก่าแก่อะไรนั่น
“คุณรู้จักปรมาจารย์หุ่นเชิดหรือเปล่า” หลี่ว์ซู่ถามอย่างเรียบๆ
“ปรมาจารย์หุ่นเชิดคือคนบ้าที่ไหนกัน” หมิงเย่ว์เยี่ยชะงัก “ไม่เห็นเคยได้ยิน”
หลี่ว์ซู่ไม่สนใจว่าเขาพูดอะไรออกมา เขาจะไม่เชื่อคนที่ไม่ยอมบอกแม้กระทั่งชื่อจริงของเขาหรอก ถ้าไม่ได้แต้มอารมณ์ของชายคนนี้มาหลี่ว์ซู่คงโดนหลอกไปแล้ว
หลี่ว์ซู่มองเข้าไปในแสงจากกระจกส่องตะวัน หวังว่าตรวจสอบอะไรได้ หมิงเย่ว์เยี่ยไม่เข้าใจ “กระจกในมือเจ้านั่นคืออะไร ทำไมมันถึงส่องสว่างตัดหมอกหนาๆ ในหุบเหวแห่งความโกลาหลนี่ได้”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว เพราะคุณไม่รู้จักไห่กงจื่อ”
หมิงเย่ว์เยี่ย “…”
[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +666!]
หลี่ว์ซู่ตรวจดูกระจกต่อไป แต่เขาก็ไม่เห็นอะไรข้างบนได้เลยเพราะมันไม่มีเพดาน
“อย่าเปลืองแรงเจ้าเลย” หมิงเย่ว์เยี่ยพูดอย่างเยาะเย้ย “หุบเหวนี้ลึกถึงหมื่นจั้ง ถ้าเจ้าหวังจะเห็นอะไรจากบนนั้นก็คงฟังดูเป็นไปไม่ได้นะ…”
จากนั้นหมิงเย่ว์เยี่ยก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่ปีนขึ้นไปบนกำแพงหิน “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ทำอะไรของเจ้าน่ะ”
“ก็ปีนขึ้นมาดูไง ถามได้” หลี่ว์ซู่ตอบเหมือนกับว่านี่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่น่าจะเข้าใจได้
“อย่าทำแบบนั้น! ทั้งเจ้าและข้ามีอันตรายแน่ถ้าเจ้าสัมผัสไปโดนไฟศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลนั่น!” หมิงเย่ว์เยี่ยเชื่อว่าการสอดรู้สอดเห็นเป็นเรื่องอันตราย
หลี่ว์ซู่หยุดชะงัก ข้างบนนี้มันอันตรายจริงๆ น่ะเหรอ แต่เขาก็ทำตามหมิงเย่ว์เยี่ยและกระโดกลับลงมาบนพื้น “คุณมีกล่องสมบัติอะไรให้ผมไหม หรือจะเป็นจดหมาย แบบว่าเคล็ดลับการฝึกฝนอะไรแบบเนี้ย”
หมิงเย่ว์เยี่ยหยุดไปพักหนึ่งเพื่อดึงตัวเองออกมาจากความสับสนแล้วตอบออกไป “ดูตัวข้าเสียก่อน ข้าดูเหมือนเป็นคนที่มีของอะไรแบบนั้นกับตัวงั้นหรือ”
“ผมไม่ได้ฝึกซ้อมก็เพราะเข้ามาที่นี่เนี่ย ผมจะค้นหาตามตัวคุณนะว่ามีของอะไรหรือเปล่า ผมก็ไม่ว่าอะไรนะถ้าจะให้มาเป็นคำพูดปากเปล่า…” กระจกส่องตะวันในมือหลู่ว์ชู่ส่องแสงวิบวับ
[ได้แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +666!]
เจรจากันก่อนได้ไหม อย่าเพิ่งทรมานกันเลย!
——
[1] ผู้ที่เป็นฮ่องเต้คนแรกของราชวงศ์ฉินและได้รวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่น
[2] พ่อมดเล่นแร่แปรธาตุในสมัยราชวงศ์ฉิน แปลได้ตามตัวว่าเป็น ‘ผู้ล่วงลับ’
[3] รู้จักกันในชื่อ ‘ท่านผู้อาวุโสสูงสุด’ เป็นบรรพบุรุษในลัทธิเต๋า