ตอนที่ 561 ไข่มุกสีดำ
ผู้บำเพ็ญลับหลายคนมารวมตัวกันที่เมืองลั่วเพราะพวกเขาได้ยินว่ามีการแข่งขันแย่งชิงตลาดมืดกันระหว่างหกตระกูลใหญ่เกิดขึ้น พวกเขาก็เลยมาดูกันเพื่อความสนุก
แต่การแข่งขันระหว่างตระกูลที่เหล่าผู้บำเพ็ญลับคาดการณ์ไว้กลับไม่ใช่แบบที่คิด
หลี่อวิ๋นฉู่และตระกูลขนศิลาวิญญาณกลับไปด้วยสีหน้าเศร้าหมอง พวกเขาต้องกลับไปพิจารณากลยุทธ์ใหม่ พวกเขาสูญเสียไปมากในการเจรจาครั้งนี้ และเขาต้องหาทางเรียกคืนสิ่งที่เสียไป
แต่เขาจะหาทางเรียกคืนความสูญเสียยังไงล่ะ เขาไม่เคยประสบปัญหาเช่นนี้มาก่อน
ผู้บำเพ็ญลับมารวมตัวกันที่เมืองเหวินหวาน หลังจากรอคอยอย่างยาวนาน องค์ท่านก็จากไป แล้วหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ตระกูลทั้งหกก็ออกมาด้วยสีหน้ามืดครึ้ม พวกเขามองหน้ากันและกันอย่างว่างเปล่าและสิ้นหวัง องค์ท่านกล่าวอะไรกับคนพวกนั้นกันแน่นะ
ว่ากันว่าตระกูลเหล่านั้นเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขามารวมตัวกันที่นี่เพื่อสิ่งใด พวกเขาไม่ยอมเผยข้อมูลสักนิด
ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน เมืองลั่วก็ได้กลายเป็นศูนย์รวมความสนใจของกลุ่มผู้บำเพ็ญไปในทันที
กล่าวกันว่าไม่มีศัตรูที่แท้จริงในโลกหรอก มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้นเป็นสิ่งที่แท้จริง ทุกตระกูลซื้อศิลาจากหลี่อีเสี้ยวไปตระกูลละหมื่นเม็ด แล้วใครกันล่ะที่ได้ตลาดมืดไปครอบครอง
อยู่ๆ พวกเขาก็คิดไปถึงสิ่งที่หลี่อีเสี้ยวเคยพูดไว้ตอนที่ชวนพวกตระกูลเหล่านี้มา ‘ผมมีศิลาวิญญาณอยู่ในมือ และผมก็เตรียมจะออกไปจากตลาดมืดนี่แล้ว ก็เลยจะขายศิลาทิ้ง’
ตอนแรกพวกเขาก็คิดว่านี่เป็นการบอกนัยๆ ว่าจะมีการขายศิลาและขายตลาดออกไปด้วยพร้อมกันในครั้งเดียว…
“ตระกูลหลี่ของเราจ่ายไปสี่แสนต่อศิลาหนึ่งเม็ด เราเอาหยกประจำตระกูลที่ทำให้ความหนุ่มสาวยั่งยืนไปให้เขาอีกด้วย ราคานี้น่ะสูงกว่าการซื้อตลาดมืดสักแห่งเสียอีก เพราะฉะนั้นตลาดมืดนี่ต้องเป็นของตระกูลเรา”
“มีตระกูลไหนไม่ได้จ่ายสี่แสนต่อศิลาหนึ่งเม็ดบ้าง แถมถ้าจะมีดาราสักคนซื้อหยกไปก็ไม่ได้มีความหมายเท่าไหร่นี่ เราไม่ได้มาเล่นขายของกันนะ ตระกูลน่าหลานของเราเอาวัชระ [1] ให้เลยด้วยซ้ำ!” น่าหลานเชวี่ยกล่าวอย่างดูถูก
“ตระกูลเกาของเรายกระฆังแห่งการปลอบโยนให้!”
“ตระกูลหวังของเราเองก็…”
ทุกตระกูลต่างพยายามพูดชูหางตนเองว่าพวกเขาเสียอะไรไปบ้าง แต่มีอยู่ตระกูลหนึ่งที่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป นี่ก็เหมือนกับการเล่นเกมส่งดอกไม้ตอนกลองดัง [2] กลองยังไม่หยุดตี แต่ดอกไม้ที่ส่งต่อกันนั้นได้บุบสลายไปแล้ว…
“แล้วตระกูลของเธอให้อะไรไปล่ะ” น่าหลานเชวี่ยเหลือบมองไปที่ตระกูลหลิว
“เราให้ไข่มุกเขาไป ในโลกยุคหลังพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแบบนี้ เราบอกได้ว่าไข่มุกนั่นเป็นของวิเศษที่ทำอะไรไม่ได้เลย พวกเราตระกูลหลิวไม่ได้ใจกว้างอย่างพวกคุณนี่นะ ก็เลยไม่เข้าเนื้อมากเท่าไหร่” ลูกชายของตระกูลหลิวหัวเราะออกมา
“…โธ่เอ๊ย” น่าหลานเชวี่ยพูดเสียงเบาด้วยความเจ็บใจ
ตอนนี้ที่ทุกคนก็พยายามอวดกันว่าตระกูลไหนรวยที่สุด แต่พอพูดไปพูดมาแล้ว นี่เหมือนพวกเขากำลังแข่งกันโต้มากกว่าว่าใครเสียอะไรไปมากที่สุด…์
หลี่ว์ซู่อยู่บ้านเพื่อตรวจดูอาวุธที่ได้มาด้วยการลองหยดธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงบนอาวุธเหล่านั้นดู อย่างน้อยๆ มีอาวุธสักชิ้นที่ใช้การได้ก็พอแล้ว เพราะเวลาที่พวกผู้บำเพ็ญปะทะกัน พวกเขาไม่ได้มีเวลาเปลี่ยนอาวุธหลายชิ้นอยู่แล้ว ฉะนั้นมีเพียงชิ้นเดียวที่เอาอยู่ โจมตีศัตรูได้ก็พอแล้ว
หลี่ว์ซู่เองเห็นด้วยที่หลี่เสียนอีพูด การใช้กระบี่นั้นเป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุดแล้วในการกำจัดศัตรูทีละมากๆ ภายในครั้งเดียว หลี่ว์ซู่เองก็เชื่อใจธารน้ำศักด์สิทธิ์และกระบี่ของเขา อาวุธอย่างวัชระหรือระฆังแห่งการปลอบโยนนั้นธรรมดาเกินไป
จากความคิดของหลี่ว์ซู่ อาวุธที่พวกตระกูลให้มานั้นไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ พลังจิตวิญาณในอาวุธแต่ละชิ้นนั้นมีพอๆ กับกระจกแห่งอาทิตย์จันทรา เขาลองทดสอบอาวุธแล้วก็พบว่าระฆังแห่งการปลอบโยนนั้นไม่แม้แต่กระทบกระเทือนเจ้ากระรอกเลยสักนิด แบบนี้จะมีประโยชน์อะไรกับหลี่ว์ซู่ล่ะ
แต่ว่างูสีทองของเขาชอบใจมาก มันกลืนอาวุธลงท้องภายในคราวเดียว ส่วนธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เองก็ขยายพลังขึ้นเหมือนกัน
ตามปกติแล้วพวกผู้มีพลังสายธาตุน้ำนั้น พลังมักจะไม่ค่อยมีประโยชน์บนพื้นดินเท่าไหร่นัก พวกเขาไม่สามารถดึงพลังนั้นมาจากอากาศได้ แต่ตอนนี้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หลี่ว์ซู่มีนั้นสามารถเติมน้ำทั้งสระว่ายน้ำให้เต็มได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้อยู่บนบกก็สบายมาก ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลย
ถ้าเขาฝึกพลังนี้ไปจนถึงระดับที่เขาสร้างทะเลสาบจากธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็คงไม่มีกลุ่มหรือองค์กรหน้าไหนมาทำอะไรเขาได้อีกต่อไป
หลี่ว์ซู่กำลังฝึกฝนทักษะของเขาอยู่ ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้สามารถใช้โจมตีกลุ่มศัตรู ป้องกัน หรือทำลายอาวุธของอีกฝ่ายได้ และหน้ากากนี้ก็เอาไว้เพื่อปลอมตัวเป็นคนอื่น อาวุธสองอย่างที่เขามีนั้นค่อนข้างจะใช้ประโยชน์ได้มากทีเดียว กระบี่บินและพลังดาบรัศมีที่เขามีนั้นก็เน้นทำลายล้างอย่างเดียว ส่วนกระจกแสงสุริยันและน้ำเต้าม่วงทอง… มันมีเอาไว้แกล้งคนเล่นเท่านั้นแหละ
แต่ในบรรดาอาวุธทั้งหมดที่ได้มา มีอาวุธชิ้นหนึ่งที่หลี่ว์ซู่ยังไม่ได้หยดธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไป เขาหยิบไข่มุกสีดำออกมาจากกระเป๋าแล้วค่อยๆ มองพินิจดูมันอย่างระมัดระวัง ดูเผินๆ แล้วก็เหมือนลูกปัดแก้วสีดำธรรมดาๆ แต่ถ้าดูใกล้ๆ แล้วมันมีหมอกจางๆ หมุนวนปรากฏขึ้นในไข่มุก
“ทำไมเจ้านี่ทำให้ไฟในอกเกิดปฏิกิริยาด้วยนะ” หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจตรงนี้เลย เขาสงสัยว่าไข่มุกนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์หุ่นเชิด อาจจะเกี่ยวข้องกับหน้ากากของเขาก็ได้ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้เลย เขามีความรู้สึกแปลกๆ แบบนี้แค่กับหน้ากากกับไข่มุกอันนี้เท่านั้น
อีกอย่างหนึ่ง คนอื่นเองก็ไม่สามารถใช้หน้ากากได้ เขาเองก็สามารถใช้หน้ากากได้หลังจากที่ดับไฟของเขาลงแล้ว
หลี่ว์ซู่พยายามใช้สัญชาตญาณจิตหยั่งรู้ของเขาค้นหาไข่มุก แต่ก็ไม่ป็นผล ซึ่งในตอนนี้ไฟในใจของเขาก็โชติช่วงอีกครั้ง แล้วอาการต่อต้านที่เขาสัมผัสได้จากไข่มุกก็หายไปทันที
จิตสำนึกในใจของหลี่ว์ซู่ก็ตกอยู่ในหมอกสีดำ แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากไกลๆ “…ฉันสัมผัสถึงสายเลือดที่คุ้นเคยนี้ได้ เจ้าเป็นใคร”
เสียงก้องนี้ดังมาจากไกลๆ เสียงของมันไม่เหมือนกับเสียงพูดของมนุษย์ แต่ราวกับเป็นเสียงของวิญญาณมากกว่า
หลี่ว์ซู่ตกใจเพราะเขาเองก็รู้สึกว่าไข่มุกนี้แปลกมาก คงไม่ดีถ้าเขาปล่อยจิตสำนึกให้อยู่ในนั้นต่อไป
พอเขาดึงตัวเองออกมาได้แล้ว หมอกหนาที่หมุนวนอยู่ในไข่มุกก็ค่อยๆ หยุดหมุน
เกือบไปแล้วไหมล่ะ! เขาไม่ควรไปแตะไข่มุกนั่นอีก น่ากลัวชะมัดเลย!
…
การประชุมกันของพวกตระกูลยังคงดำเนินต่อไปในห้องประชุมของโรงแรม แล้วลูกชายของตระกูลหลิวก็พูดขึ้นมา
“ทุกคนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานที่ใครคนเดียวจะทำสำเร็จได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องร่วมมือกัน เราต้องควบคุมตลาดมืดเมืองลั่วนี่ให้ได้ เป็นทางเดียวเท่านั้นที่เราจะพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสได้”
ทั้งหกตระกูลควบคุมตลาดมืดร่วมกันเนี่ยนะ กำไรคงจะละลายหายไปกับน้ำแน่ๆ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก ใครอยากจะทำให้มันเกิดขึ้นถ้ายังมีทางเลือกอื่นๆ อีก
พวกเขาเชื่อว่าเนี่ยถิงคงได้รับข่าวนี้เรียบร้อยแล้ว หลี่อีเสี้ยวคงไม่กระทำการเช่นนี้โดยที่เนี่ยถิงไม่รู้ใช่ไหม แต่พวกเขาก็ไม่เห็นเนี่ยถิงหยุดหลี่อีเสี้ยวเหมือนกัน พวกเขาไม่เชื่อหรอกว่าเนี่ยถิงจะไม่สนใจศิลาวิญญาณจำนวนมากกว่าหมื่นเม็ด
——
[1] วัชระ เป็นอาวุธประจำกายของพระอินทร์ วัชระ แปลว่า สายฟ้า และมีอีกความหมายหนึ่งแปลว่า เพชร
[2] เป็นการละเล่นของจีน ซึ่งจะเล่นโดยนั่งเป็นวงกลมและส่งต่อดอกไม้ไปเรื่อยๆ ขณะมีเสียงตีกลองถ้าดอกไม้ไปหยุดอยู่ที่ใคร คนนั้นจะต้องร้องเพลง ตอบคำถาม หรือดื่มหนึ่งแก้ว