ตอนที่ 101 ฉลาดล้ำเกินไป
ภายในค่ายกลลวงตา,ในพื้นที่ฝั่งแม่น้ำจวง,ร่างของเซียวเฉินที่เหี่ยวแห้งนอนนิ่งอยู่กับพื้น ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ ร่างของเสี่ยวไป๋กลับมาสู่ขนาดปกติ หลังจากที่อาละวาดไปมันก็อ่อนแรงลง
อย่างไรก็ตาม,มันก็ยังไม่ได้หยุดพักเมื่อมองไปที่สภาพของเซียวเฉิน กลับกัน,มันพุ่งกลับออกไปจากค่ายกลลวงตา สี่ชั่วโมงให้หลังมันก็กลับมาพร้อมกับเลือดเต็มตัว มันถือผลไม้ยาที่ส่องแสงออกมาไว้ในอุ้งเท้า
หากเซียวเฉินไม่ได้หมดสติอยู่,เขาต้องรู้ได้ทันทีเลยว่ามันคือส้มโอแก่นแดง มันเป็นวัตถุดิบสำคัญในการสกัดเม็ดยาระดับสูง
ส้มโอแก่นแดงนั้นจะโตขึ้นในพื้นที่ลึกของป่าอำมหิต แน่นอนว่าต้องเต็มไปสัตว์อสูรวิญญาณที่แข็งแกร่ง เสี่ยวไป๋พาร่างที่อ่อนแรงออกไปเก็บกลับมา ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะต้องเผชิญอันตรายถึงเพียงใด
เสี่ยวไป๋มองหาชามที่เซียวเฉินมักจะใช้ประจำ,และผ่าผลส้มโอแก่นแดงใส่ลงไปอย่างระวัง ส้มโอแก่นแดงกลายเป็นยาเหลว เสี่ยวไป๋ยกชามขึ้นและเทลงปากของเซียวเฉิน ก่อนที่จะราดลงไปที่แผลจากลูกธนูบนหน้าอกของเขาเล็กน้อย
หลังจากเสร็จสิ้น,ความเคลียดของเสี่ยวไป๋ก็จางหายไปในที่สุด ร่างที่อ่อนแอของมันกลายเป็นแสงพุ่งไปที่หยกวิญญาณสีเลือด
พลังของส้มโอแก่นแดงซึบซับเข้าไปในร่างของเซียวเฉิน การกินโดยตรงถือเป็นข้อห้ามของนักบ่มเพาะพลัง
นั้นเป็นเพราะผลไม้ยาที่ยังไม่ผ่านกระบวณการกลั่นสกัดมีพลังกดข่มรุนแรง หากกินเข้าไปโดยตรงอาจจะทำให้โลหิตและพลังฉีของคนคนนั้นปั่นป่วนและอย่างเลวร้ายที่สุดอาจจะร่างระเบิดตายได้
นักปรุงยาส่วนใหญ่จะสกัดส้มโอแก่นแดงออกมาได้เป็นเม็ดยาหวนคืนพลังปราณได้อย่างน้อยสิบเม็ดแบ่งพลังของมันออกมาเป็นสิบส่วน ทำเช่นนี้ถึงจะเหมาะสมที่จะให้นักบ่มเพาะพลังใช้
สถานะของเซียวเฉินในตอนนี้นั้นพิเศษ ร่างของเขาเป็นเหมือนอาคารที่มีอีกหลายพันสิ่งต้องเติมเต็มถึงจะเสร็จสมบูรณ์ โลหิตและพลังฉีในร่างของเขาเบาบาง,เขาจึงสามารถรับมือกับมันได้แม้ว่าจะกินส้มโอแก่นแดงไปอีกลูก
…..
ภายในเมืองไป๋สุ่ย,ผู้คนเห็นผู้อาวุโสหนึ่งแห่งตระกูลเจียงกลับออกมาจากป่าอำมหิต ตามหลังเขามาก็คือตวนมู่ฉิง,ฉู่เฉาหยุ่นและฮวาหยุ่นเฟย พวกเขาต่างมีสภาพน่าสลด
โดยเฉพาะฮวาหยุ่นเฟย,ใบหน้าเขาดูซีดขาวและอ่อนแรงอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสมาหลายจุด เมืองไป๋สุ่ยกลายเป็นวุ่นวายในทันที
เจ้าเซียวเฉินคนนี้สามารถเตะคนมากมายกลับออกมาในสภาพเช่นนี้ เขาเป็นมหาเทพมาจากไหน? เขาสามารถทำร้ายผู้สืบทอดแห่งสามขุมพลังของเขตตงหมิงได้
โดยเฉพาะฮวาหยุ่นเฟย,เขาอายุได้ 17 ปีและสามารถปลุกจิตวิญญาณยุทธกลายพันธุ์ขึ้นมาได้ตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ที่เขาแสดงตัวออกมาครั้งแรกเขาก็ไม่เคยแพ้ใครเลยในรุ่นเดียวกัน แม้แต่พวกคนรุ่นพี่ก็ยังต้องระวังเขา
มีเพียงความตายเมื่อธารโลหิตไหลผ่าน นี่เป็นสิ่งที่พูดกันเกี่ยวกับฮวาหยุ่นเฟยในเขตตงหมิง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างรู้ มีหลายคนยกให้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญของเหล่ารุ่นเยาว์
แม้แต่เหล่าคนในขุมอำนาจใหญ่ก็คิดเช่นนั้น,หลังจากยุคจักรพรรดิอัสนี,เขามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเทพบุตรสวรรค์แห่งทวีปเทียนวู่คนต่อไปในรอบพันปี
อย่างไรก็ตาม,ไม่มีใครคิดฝันว่าฮวาหยุ่นเฟยจะมาแพ้ให้กับระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นสูงในเมืองไป๋สุ่ยเล็กๆแห่งนี้ ไม่มีใครกล้าเชื่อข่าวลือมราแพร่สบัดออกไป
ในเวลาไม่นาน,ข่าวลือเรื่องเซียวเฉินก็ถูกพูดต่อกันไปอย่างต่อเนื่อง บางก็พูดว่าเขาเป็นผู้สืบทอดของตระกูลลึกลับ,บางก็พูดว่าเขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของของนิกายอะไรสักอย่าง และข่าวลือไร้สาระที่ว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่ถูกส่งมาโดยอาณาจักรต้าจิน
เมืองไป๋สุ่ย,ห้องโถงใหญ่ตระกูลเจียง
เจียงหมิงชุ่นทุบมือของเขาลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง “เจียงหยุ่นเสอ! งานของเจ้ามันหนักหนาเกินไป? เจ้าเป็นถึงระดับขอบเขตปรมจารย์,แต่เจ้าไม่อาจจะรับมือกับระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดได้ เจ้าละอายตัวเองบ้างไหม!? ”
เจียงหยุ่นเสอ,ผู้ที่ก้มหัวต่ำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่มีความมั่นใจ “แม้แต่ผู้สืบทอดจากสามอำนาจยังถูกทุบกลับมาสาหัส ข้ายังใช้ธนูหนึ่งดอกยิงใส่เขาบาดเจ็บสาหัส”
เมื่อเจียงหมิงชุ่นได้ยินเช่นนั้น,เขาก็โกรธจัด ผิวของเขาเปลี่ยนไปพร้อมกับตะคอกใส่เขาด้วยความโกรธ “ยังจะมาแก้ตัว! พวกมันเกือบจะได้แผนที่ไปแล้วและเจ้ายังอยากให้ข้ามากล่าวชื่นชมเจ้า?”
เจียงหยุ่นเสอรู้ตัวว่าปากเขาพาซวยแล้วพร้อมกับก้มหัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิม “ท่านผู้นำตระกูล,ข้ารู้แล้วว่าต้องทำเช่นไร ข้าจะรีบกลับเข้าไปโดยเร็ว หากข้าจับเจ้าเด็กเหลือขอนั้นกลับมาไม่ได้,ข้าจะไม่กลับมาให้เห็นหน้าอีก”
เจียงหมิงชุ่นมีสีหน้าดำมืดพร้อมกับยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา “หากจับตัวมามันยากนักเจ้าก็ฆ่ามันฝังดินไปซะ หากแผนที่ตกไปอยู่ในมือของสามตระกูลใหญ่,เจ้าบอกลาตำแหน่งผู้อาวุโสหนึ่งของเจ้าไปได้เลย”
หลังของเจียงหยุ่นเสอเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบ หลังจากที่เขาลุกขึ้นเดินจากออกมา,เขาก็ตะโกนด่าเซียวเฉินหลายครั้ง,หากข้าจับเจ้าได้,ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่ายังมีอะไรที่แย่ยิ่งกว่าความตาย
หลังจากที่เจียงหยุ่นเสอจากไป,ศิษย์ตระกูลตรกูลเจียงก็วิ่งตรงเข้ามาและกล่าวกับเจียงหมิงชุ่น “รายงานท่านผู้นำตระกูล มีคนนำสำเนาแผนที่ซากโบราณมาส่งที่ที่มั่นของตรกูลทางตะวันออกของเมือง,ขอรับเงินรางวัล 1000 เหรียญทอง”
เจียงหมิงชุ่นเต็มไปด้วยความปิติเมื่อได้ยินเช่นนั้น,เป็นไปได้ว่ามีนักบ่มเพาะพลังบางคนสามารถฆ่าเขาได้? เขากล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ “รีบเอามันมาให้ข้า”
ก่อนที่ศิษย์ตระกูลเจียงคนนั้นจะได้ยื่นแผนที่,ศิษย์ตระกูลเจียงอีกคนก็วิ่งตรงเข้ามาและพูดขึ้นเสียงดัง “รายงานผู้นำตระกูล มีคนนำสำเนาแผนที่ซากโบราณมาส่งที่ที่มั่นของตรกูลทางตะวันตกของเมือง,ขอรับเงินรางวัล 1000 เหรียญทอง”
ความสงสัยหยั่งรากลงในใจของเจียงหมิงชุ่น,ทำไมถึงมีสำเนาแผนที่ถึงสองชิ้น? เป็นไปได้ว่ามีหนึ่งอันเป็นของปลอม?
“รายงานผู้นำตระกูล มีคนนำสำเนาแผนที่ซากโบราณมาส่งที่ที่มั่นของตรกูลทางเหนือของเมือง,ขอรับเงินรางวัล 1000 เหรียญทอง”
“รายงานผู้นำตระกูล…”
…..
ขณะที่ความสงสัยของเขางอกงามขึ้นมา,ก็มีคนจำนวนมากวิ่งเข้ามารายงานว่ามีคนนำแผนที่มาส่งและขอขึ้นรางวัล รวมสองคนก่อนหน้านี้เข้าไปก็ปาเข้าไปสิบคนแล้ว,ทำให้เขาสูญเสียไปกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญทอง
หนึ่งหมื่นเหรียญทองนั้นเป็นเงินมหาศาล ตระกูลเจียงในแต่ละปีสามารถทำเงินได้เพียงหนึ่งล้านเหรียญทอง นี่ปาเข้าไปหนึ่งในร้อยส่วนของรายได้ของตระกูลเขาแล้ว ทุกคนรู้สึกปวดใจกับการสูญเสียเช่นนี้
เจียงหมิงชุ่นระงับความโกรธไว้ในใจและตรวจสอบสำเนาแผนที่ทั้งสิบแผ่น เขาพบว่าทุกอันล้วนเป็นของปลอม นอกจากนั้นทั้งสิบแผ่นยังคล้ายกันมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นฝืมือของคนคนเดียวกัน
เจียงหมิงชุ่นยิ้มอย่างเย็นชากับตัวเอง ในร้อยปีที่ผ่านมาไม่มีใครกล้ามาแหยมกับตระกูลเจียงเช่นนี้ รางวัลนี้ตั้งขึ้นมาโดยตัวเขาเอง,แน่นอนว่าเขารู้ถึงช่องโหว่
อย่างไรก็ตาม,เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครกล้าทำเช่นนี้ ในร้อยปีที่ผ่านมา,ตระกูลเจียงเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองไป๋สุ่ย เขากล้าตั้งรางวัลเช่นนี้เพราะเขามั่นใจในอิทธิพลของตระกูล
อย่างไรก็ตาม,เขาก็ไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าใช้ช่องโหว่ตรงนี้มาฉกฉวยผลประโยชน์ เขาพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “หาตัวคนทำให้ได้ภายในสามวัน ข้าจะทำลายล้างตระกูลของมันซะ มันคิดจะมาแหยมกับตระกูลเจียง?”
ทุกคนต่างกำลังจะลุกกลับออกไปหลังจากที่รับคำสั่ง ในจังหวะนั้นผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ด้านหลังของเขาก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ผู้นำตระกูล,มีเหมือนจะมีสองคำซ่อนอยู่ในแผนที่พวกนี้”
เมื่อเจียงหมิงชุ่นได้ยินเช่นนั้น,เขาก็หยิบแผนที่ขึ้นมาดูอย่างละเอียด เส้นทางที่ถูกวาดขึ้นบนภูเขาเขาและลำน้ำต่อกันเป็นตัวอักษรจีน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่,เจียงหมิงชุ่นก็พึมพำออกมาสองคำ “ดูเหมือนจะเป็นคำว่า….’โง่’..’บัดซบ’..”
“ปัง!”
เจียงหมิงชุ่นกำหมัดแน่น,และทุบลงบนโต๊ะไม้ที่แผนที่กางอยู่อย่างรุนแรง โต๊ะไม้ระเบิดออกมาเสียงดัง,กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
สิบคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าต่างสั่นกลัว พวกเขาไม่เคยเห็นเจียงหมิงชุ่นโกรธจนสิ้นสติเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่ดุด่าผู้อาวุโสหนึ่งยีงอยู่เมื่อครู่ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับตอนนี้
ใบหน้าของเจียงหมิงชุ่นแดงเป็นตับหมูพร้อมกับพูดขึ้น “ไอ้พวกขยะ!ไร้ค่า! หากเจ้ารับแผนที่พวกนี้มาอีก,เตรียมเก็บข้าวของออกไปจากตระกูลเจียง”
“แม่มัน!”
คนที่เอาแผนที่ปลอมมาขึ้นรางวัลช่างดูถูกตระกูลเจียง มันอดอยากมาจากไหน,กินทีเดียวหนึ่งหมื่นเหรียญทอง
นอกจากนั้น,มันยังเขียนคำว่า ‘โง่บัดซบ’ ลงมาในแผนที่ เห็นได้ชัดว่าจงใจทำอย่างชัดเจน,มันต้องเป็นคนน่ารังเกียจขนาดไหนถึงทำเรื่องเช่นนี้ได้?
ไม่เป็นไรหากเจ้าเอาแผนที่ปลอมมาขึ้นเงินรางวัลอย่างเงียบๆ แต่มันยังเขียนคำว่า ‘โง่บัดซบ’ ลงมาในแผนที่ นี่มันเท่ากับเดินมาตบหน้าข้า!
ยิ่งกว่านั้น,ข้า,เจียงหมิงชุ่น,ยังไปอ่านออกเสียง ‘โง่บัดซบ’ ออกมาเหมือนคนโง่ พอแล้วพอ! เจียงหมิงชุ่นรู้สึกราวกับมีไฟกำลังเผาใจของเขา,เขาไม่อาจใจเย็นลงได้ ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหรก็เหมือนเติมไฟลงในใจของเขามากเท่านั้น
เขาตะโกนออกมาและปล่อยหมัดออกไปปล่อยเท้าออกมาระเบิดใส่โต๊ะเก้าอี้รอบตัวเขา ดำเนินไปเรื่อยๆจนในที่สุดเขาก็รู้สึดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม,เมื่อเขานึกถึงมัน,เมื่อรวมกับเงินที่เสียไปกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญทอง เงินก้อนนี้หายเข้ากลีบเมฆไปเช่นนั้น ไฟในใจของเขาก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
….
ภายในห้องหรูหราในศาลาหลับไหล
เมื่อศาลาหลับไหลกลายเป็นกองหินกองทราย,หลายคนคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนกว่าจะกลับมาเปิดได้อีกครั้ง
ใครจะรู้ได้ว่าต้าจินเป่าทำได้อย่างไร,แต่ศาลาหลับไหลกลับสร้างเสร็จในเวลาเพียงสามวันอย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนั้นยังสูงและหรูหรายิ่งกว่าเดิม กิจการในตอนนี้รุ่งเรืองกว่าเดิมที่เคยเป็นมาเสียอีก
บริกรนำปึกตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญทองเข้ามาและส่งมันให้เจ้าหมูจินสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความนับถือ “นายน้อย,เป็นไปอย่างที่นายน้อยคาดการณ์ไว้,คนพวกนั้นไม่รู้ว่าแผนที่หน้าตาเป็นอย่างไร พอคิดว่าพวกเขาเอาเงินมาแลกจริงๆ”
เจ้าหมูจินหัวเราะเสียงดังพร้อมกับรับเงินมา ไขมันบนหน้าของเขาสั่นขึ้นลงพร้อมกับพูดขึ้น “ไม่แปลกใจที่ลูกชายถึงได้โง่นัก บิดาของมันก็โง่บัดซบเช่นกัน เงินที่ใช้สร้างศาลาหลับไหลก็ได้คืนมาหมดแล้ว,แถมเกินมานิดหน่อย”
เจ้าหมูจินค่อยๆเก็บปึกเงินเข้าไปและจากนั้นก็กล่าวกับบริกร “หาคนเอาแผนที่ไปขายที่กลางเมืองไป๋สุ่ย บอกว่าเป็นแผนที่ที่หลุดมาจากตระกูลเจียง ขายแผ่นละหนึ่งพันเหรียญเงิน พวกผู้บ่มเพาะพลังที่คิดว่าตัวเองแน่จะต้องซื้อมันอย่างแน่นอน”
บริกรพูดอย่างลังเล “พวกเราจะขายมันโดยไม่เปลี่ยนอะไรเลย? นั้นจะไม่ค่อยดี,บางทีพวกเราควรจะเปลี่ยนคำ?”
เจ้าหมูพึมพำกับตัวเอง “จริง,ไม่ดีแน่ หากพวกเราขายมันโดยไม่เปลี่ยนอะไรสักหน่อย,มันจะไม่แสดงถึงความอัจริยะของเจ้าหมูผู้นี้”
“เอาเป็นว่า…” ดวงตาของเจ้าหมู่เป็นประกายพร้อมกับยิ้มขึ้น “เพิ่มคำว่า ‘โคตร’ ต่อหน้าคำว่า ‘โง่บัดซบ’ อย่าลืมให้เขียนมันแบบเป็นบทกลอน ข้าไม่ต้องสอนเจ้าว่าต้องทำเช่นไรใช่ไหม?”
บริกรแทบจะกระอักเลือด เปลี่ยนแบบนี้ก็เหมือนไม่เปลี่ยน หลักๆก็ยังเป็นคำว่า ‘โง่บัดซบ’ ข้าถึงแนะนำให้เปลี่ยนไง หากคิดว่าเพียงเติมคำว่า ‘โคตร’ ไว้ข้างหน้ามันไม่ใช่ว่าจะทำให้เดือดยิ่งกว่าเดิม?
ในที่สุด,บริกรคนนั้นก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป,เขาถามขึ้น “นายน้อย,ท่านพูดอยู่เสมอใช่หรือไม่,เมื่อท่านทำธุรกิจ,ท่านจะไม่โกงเด็กหรือหลอกคนแก่? ไม่ใช่ว่าท่านกำลังทำมันอยู่ตอนนี้?”
เจ้าหมูจินยิ้มและดุด่า เขาใช้พัดสีทองในมือตีลงไปที่หัวของบริกรคนนั้นอย่างรุนแรง “ ‘ไม่โกงเด็กหรือหลอกคนแก่’ นั้นหมายถึงคนธรรมดาสามัญ คนที่จะซื้อคำว่า‘โง่บัดซบ’พวกนี้เป็นคนธรรมดา?”
เจ้าหมูจินถอนหายใจและกางพัดมาพัดใส่หน้าตัวเอง เขาพูดด้วยน้ำเสียงสลดใจ “สติปัญญาของข้ามันสูงล้ำเกินไปมันก็ส่งผลเสีย ไม่มีใครในโลกเข้าใจข้า โดดเดี่ยวเหลือเกิน..”
ก่อนที่เจ้าหมูจะได้พูดจบ,บริกรคนนั้นก็เผ่นออกมาแล้ว เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน หากเขายังอยู่ต่อ,เขาจะต้องกระอักข้าวเที่ยงที่เพิ่งกินเข้าไปออกมาแน่