ตอนที่ 84 ความพ่ายแพ้อีกครั้ง
ผลจากพลังคลื่นเสียงขนาดใหญ่เปลวเพลิงอันไร้ขอบเขตจางหายไปอย่างช้าๆ ดาบที่จางเหอถือไว้ในมือเรืองแสงออกมา วิหคสวรรค์ที่ปรากฎตัวขึ้นใต้เท้าของเขาทำให้เขาลอยตัวได้เป็นการชั่วคราว
รัศมีพลังของจิตวิญญาณยุทธดาบฟ้าครามศักดิ์สิทธิ์พุ่งสูงขึ้น เจตจำนงแห่งดาบอันไร้ขอบเขตปรากฎขึ้นในดวงตาของเขา เมื่อเซียวเฉินมองเข้าไปในดวงตาของจางเหอเขามองเห็นถึงสมรภูมิรบโบราณ เขาเกือบจะจมลงไปกับมันก่อนที่จะดึงสติกลับมาได้
จางเหอมองไปที่เซียวเฉินผู้ที่ยืนอยู่บนยอดดาบของจักรพรรดิเทียนวู่ “เซียวเฉินแท้จริงแล้วข้าต้องขอบคุณเจ้า หากเจ้าไม่ทำร้ายจิตวิญญาณยุทธของข้าความเข้าใจต่อดาบฟ้าครามของข้าคงไม่ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น”
เซียวเฉินกุมกระบี่เงาจันทร์ขณะที่ทรงตัวอยู่บนดาบของรูปปั้นจักรพรรดิเทียนวู่ เผยรอยยิ้มบางเบา “ข้าคิดว่าเจ้าจะขอบคุณข้าที่แต่งผมทรงใหม่ให้เจ้าเสียอีก ทำไมเจ้าต้องสวมหมวก? ข้าคิดว่าผมทรงใหม่ของเจ้าออกจะดูดีไม่เห็นจำเป็นต้องปิดบัง”
จางเหอรู้สึกถึงเปลวเพลิงแห่งโทสะที่กำลังลุกไหม้และเจตจำนงแห่งดาบในดวงตาของเขาเริ่มจางหายไป ขณะที่เจตจำนงแห่งดาบกำลังจะหายไปอย่างสมบูรณ์เขารู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติและรีบหลับตาลง
เมื่อเขาลืมตาขึ้นเจตจำนงแห่งดาบอันไร้ขอบเขตก็กลับมาอีกครั้งสภาพจิตใจของเขากลับมานิ่งสงบ เขามองไปที่เซียวเฉินอย่างไม่แยแสและพูดขึ้น “ไม่เลวไม่เลว เจ้าใช้คำพูดเพื่อทำลายเจตจำนงแห่งดาบของข้า เป็นคู่ต่อสู้ที่แสบจริง”
“อย่างไรก็ตามไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใดเจ้าก็เป็นได้แค่แท่นหินให้ข้าเหยียบขึ้นไปเพื่อเข้าสู่เส้นทางปราชญ์แห่งดาบ เพื่อให้ข้าบรรลุถึงเจตจำนงแห่งดาบอย่างสมบูรณ์”
แม้ว่าเซียวเฉินจะเสียดายที่จางเหอฟื้นคืนเจตจำนงแห่งดาบกลับมาได้อย่างรวดเร็วเขาก็ยังรู้สึกรังเกียจจางเหอ เขาใช้เพียงไม่กี่คำเพื่อทำลายเจตจำนงแห่งดาบของจางเหอและจางเหอยังกล้าคุยโวเรื่องบรรลุเจตจำนงแห่งดาบฟ้าครามได้อย่างสมบูรณ์
“ฮ่ะ!”
จางเหอควบวิหคสวรรค์พุ่งเข้าใส่เซียวเฉิน เซียวเฉินผลักเท้ากระโดดขึ้นไปบนอากาศหลบการโจมตีของจางเหอ อย่างไรก็ตามเขาก็พบว่าการโจมตีนั้นเป็นเพียงแค่กลลวง
จางเหอพุ่งไปที่บริเวณหัวของจักรพรรดิเทียนวู่และวิหคสวรรค์ที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็หายไป เขาบินลงจอดพร้อมกับเสียง “ปัง!” และปรากฎสีหน้าโล่งอกออกมา
เขาจ่ายพลังปราณไปมากและต้องหาที่เพื่อลงจอด เซียวเฉินเย้ยหยันเขาในใจ
“สยายปีกจันทราโชต์ช่วง”
จางเหอยืนอยู่บนหัวของจักรพรรดิเทียนวู่และปลดปล่อยกระบวณท่าที่สามของสยายปีกออกมา ปรากฎการณ์ลึกลับเกิดขึ้น ท้องฟ้าที่เคยมีแสงอาทิตย์สาดส่องตอนนี้ปกคลุมไปด้วยความมืดมืดของค่ำคืนและจันทร์เต็มดวงก็ลอยสูงขึ้นบนท้องฟ้า
ทันใดนั้นร่างมนุษย์สองคนก็บินลงมาจากท่องฟ้า เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งพวกเขาถือดาบไว้ในมือแลดูเหมือน ‘เทพเจ้า’ พวกเขาช่างดูสง่างามและองอาจพร้อมกับถือดาบในมือร่ายรำภายใต้แสงจันทร์
เซียวเฉินตกตะลึงในใจทำไมมันมีโผล่มาสองคน? ครั้งล่าสุดที่จางเหอใช้จันทราโชติช่วงออกมามีเพียงร่างเดียวที่ปรากฎขึ้น แต่มันกลายเป็นสองคนแล้วตอนนี้
“เจตจำนงดาบฟ้าครามช่างน่ากลัว จางเหอสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของสยายปีกได้อย่างรวดเร็ว”
“แน่นอน ตามตำนานกล่าวไว้ว่าปราชญ์ดาบที่สร้างกระบวณท่าสยายปีกขึ้นมาเพราะลำลึกถึงภรรยาที่ตายจากไป”
“ข้าสงสัยว่าจันทราโชติช่วงในครั้งนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงใด? ที่มันแสดงออกมาในครั้งก่อนก็น่ากลัวพออยู่แล้ว”
“นี่เป็นเพียงกระบวณท่าที่สามของสยายปีก มันยังมาได้ถึงระดับนี้ ระดับของมันอาจจะเทียบเท่าได้กับทักษะต่อสู้ระดับปฐพี”
“มาดูว่าเซียวเฉินจะป้องกันตัวเองจากทักษะระดับปฐพีได้อย่างไรในครั้งนี้ หากจางเหอดึงพลังของทักษะนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แม้แต่ระดับขอบเขตปรมจารย์เขาก็สังหารได้อย่างง่ายดาย”
ผู้รู้มากมายข้างใต้เวทีถกเถียงกันในเรื่องนี้ เมื่อตระกูลจางเเละตระกูลถังที่อยู่บนศาลาเห็นว่าจางเหอสามารถปลดปล่อยสยายปีกออกมาได้ถึงขั้นนี้สีหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นผ่อนคลาย
กลับกันสีหน้าของผู้ที่อยู่ในศาลาของตระกูลเซียวกลายเป็นมืดมน เซียวอวี่หลันถามขึ้นอย่างกังวล “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทักษะต่อสู้ของคนคนนั้นถึงมีปรากฎการณ์ลึกลับเช่นนี้? น้องเฉินจะเป็นอะไรไหม?”
เซียวฉงมองไปที่ดวงจันทร์ที่แขวนสูงอยู่บนฟ้าพร้อมกับร่างมนุษย์ที่ตกลงมา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจ “ปรากฎการณ์ลึกลับพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระดับขอบเขตพลัง มันขึ้นอยู่กับความเข้าใจต่อเส้นทางแห่งดาบ ข้าเชื่อว่าในหมู่รุ่นเยาว์ในมณฑลฉี่จื๊อแห่งนี้ไม่มีใครสู้เจ้าเด็กเหลือขอตระกูลจางคนนั้นได้ในเรื่องความเข้าใจในเส้นทางแห่งดาบ”
เซียวเฉินยืนอยู่บนปลายดาบพร้อมกับส่งสัมผัสวิญญาณของเขาขยายไปถึงจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนฟ้า อย่างไรก็ตามมันดูเหมือนกับว่าดวงจันทร์นั้นลอยอยู่บนท้องฟ้าจริงๆ ไม่ว่าเขาจะขยายสัมผัสวิญญาณออกไปเท่าไหรเขาก็ไม่อาจส่งไปถึงมันได้
ทันใดนั้นสองร่างมนุษย์ก็หยุดเคลื่อนไหวอยู่บนท้องฟ้าและท้องฟ้าก็เงียบสงบลง เซียวเฉินรู้สึกราวกับว่าเขาถูกกักขังไว้ด้วยสองเจตจำนงแห่งดาบ เขารู้สึกได้ถึงอันตราย
“ฆ่า!”
จางเหอยกดาบขึ้นชี้ไปที่เซียวเฉิน เจตจำนงแห่งดาบอันไร้ขอบเขตปะทุออกมา
เสียงดังกึกก้องขึ้นในอากาศ
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าของจางเหอทั้งสองร่างก็ชี้ดาบตรงไปที่ท้องฟ้าและส่งแสงดาบรุ่งโรจน์สองสายออกมาหลังจากนั้นแสงดาบทั้งสองก็สับตรงไปที่เซียวเฉิน
เมื่อเห็นแสงดาบอันทรงพลังฝูงชนด้านล่างก็รีบหนีออกไปคนละทิศละทาง หากแสงดาบนั้นฟันลงมาทั้งแบบนั้นได้มีคนมากมายสาหัสเป็นแน่
“ฉัวะ!”
เซียวเฉินโยนรูปสลักที่ปรากฎขึ้นบนมือออกไปบนฟ้า รูปสลักไม้กลายเป็นหญิงสาวที่กุมหอกไว้ในมือ
“คลื่นครามสมุทรไร้ขอบเขต!”
คลื่นทะเลอันไร้ขอบเขตปรากฎขึ้นด้านหลังของเยว่หยิงมังกรฟ้ากระโจนขึ้นมาจากทะเล หอกสีทองสั่นสะท้านพร้อมกับมังกรฟ้าที่ร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและพุ่งตรงไปที่แสงดาบบนฟ้า
“บูม!”
เสียงดังน่ากลัวเกิดขึ้น แสงดาบถูกมังกรฟ้าลบหายไปในทันที มังกรฟ้าคำรามอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้งและพุ่งตรงต่อไปปะทะกับ ‘ท้องฟ้าค่ำคืน’ อันไร้ขอบเขต
“ชิ!”
มีรูปรากฎขึ้นบน ‘ท้องฟ้าค่ำคืน’ และแสงอาททิตย์ก็สาดส่องผ่านรูลงมา รูนั้นขยายใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นและจากนั้นไม่นานแสงอาทิตย์ก็สาดลงมาทั่วแผ่นดินอีกครั้ง จันทร์เต็มดวงและสองร่างมนุษย์ถูกลบหายไปอย่างสมบูรณ์
เซียวเฉินโบกสะบัดมือและรูปสลักไม้ก็กลับมาในมือของเขา เขารู้สึกช่างโชคไม่ดีเขาสามารถใช้มันออกมาได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
‘ท้องฟ้าค่ำคืน’ หายไปและจางเหอก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก แสดงออกถึงความอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อพร้อมกับทรุดเข่าลงบนหัวของจักรพรรดิเทียนวู่
“มันจบแล้ว ปรากฎการณ์ลึกลับของจางเหอถูกทำลาย ตอนนี้เขาต้องรับความเจ็บปวดจากผลย้อนกลับ” ฝูงชนด้านล่างเวทีอุทาน
เซียวเฉินกระโดดขึ้นไปบนหัวของจักรพรรดิเทียนวู่และเตะจางเหอลงไปที่พื้นอย่างไร้ความปราณีปราศจากคำพูดใดๆ
รูปปั้นจักรพรรดิเทียนวู่สูงกว่าร้อยเมตร หากจางเหอตกลงมาไม่เจ็บหนักก็ถึงตาย ผู้นำตระกูลจางตะโกนออกมาไม่เป็นศัพท์พร้อมกับกระโดดออกไปจากศาลาหมายจะรับตัวจางเหอไว้
อย่างไรก็ตามเซียวเฉินก็ไม่ให้โอกาส เขากระโจนลงไปและเตะเข้าที่หน้าอกของจางเหออีกครั้งอย่างแรง จางเหอร้องออกมาอย่างเจ็บปวดกระอักเลือดออกมาท่วมปากอีกครั้ง
พลังอันหนักหน่วงส่งร่างจางเหอลอยไปชนกับผู้นำตระกูลจาง ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงตกลงไปพร้อมกัน ก่อนที่จะตกถึงพื้นผู้นำตระกูลจางตีลังกากลับตัวลงจอดได้อย่างมั่นคง อย่างไรก็ตามร่างของจางเหอตกกระแทกพื้นเสียงดังและสิ้นชีวิตลง
สีหน้าของผู้นำตระกูลจางซีดเผือกพร้อมกับสายตาที่จ้องไปยังร่างไร้วิญญาณของจางเหอ ลูกเตะของเซียวเฉินไร้ซึ่งปราณี เขาเตะเข้าไปที่จุดตันเที่ยนของเขาทำลายจิตวิญญาณยุทธของจางเหอ
ผู้นำตระกูลจางชี้หน้าเซียวเฉินด้วยนิ้วอันสั่นเทาและพูดขึ้นเสียงสั่น “เซียวเฉิน! เจ้ามันโหดเหี้ยมอำมหิต! เจ้า..” เขาโกรธจนไม่อาจพูดได้จบประโยค
เซียวเฉินยิ้มเย็นชา “โหดเหี้ยมอำมหิต? คงโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนกับเจ้า? จับมือกับตระกูลเหลิงและสังหารคนของตระกูลข้าไปนับร้อย ข้าควรจะเมตตาไอ้จางเหอที่มันจะวกกลับมาทำร้ายทั้งครอบครัวและเพื่อนของข้าอีกในอนาคต?”
หันสายตาไปหาผู้ตัดสินและพูดต่อ “ท่านประกาศผลตัดสินได้แล้วใช่ไหม?”
ผู้ติดสินคนนั้นยืนแข็งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะฟื้นคืนสติ “เซียวเฉินได้รับชัยชนะ ตัวแทนจากตระกูลถังโปรดก้าวขึ้นมาบนเวที”
“พอคิดว่าเซียวเฉินจะชนะจางเหอได้อย่างง่ายดาย… เป็นไปไม่ได้”
“เจ้าหมายความเช่นไรเป็นไปไม่ได้? กระบวณท่าสุดท้ายนั้นเห็นชัดว่าคือสมบัติลับ ไม่ใช่เขาที่ล้มจางเหอลงได้แต่เป็นสมบัติลับต่างหาก”
“แพ้ก็คือแพ้ จะมองหาข้อแก้ต่างทำไม? ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่มีพลังในการสั่นสะเทือนอาณาจักรก็มีคนที่พึ่งพาสมบัติลับเช่นกัน ถึงเช่นนั้นก็ไม่มีใครกล้าไปชี้หน้าด่าเขา”
หลายคนไม่อยากจะเชื่อว่าเซียวเฉินจะล้มจางเหอได้อย่างง่ายดาย ไม่มีใครคาดคิดว่าเซียวเฉินจะมีสมบัติลับที่ทรงพลังเช่นนี้
เมื่อมองดูเซียวเฉินถังเทียนคิ้วขมวดชนกัน เขาพูดกับถังเฟิง “ข้าเกรงว่าเขายังเสียพลังปราณไปยังไม่ถึงครึ่ง หากเจ้าคิดว่าสถานการณ์ตกเป็นรองให้เจ้าประกาศยอมแพ้ไปทันที ‘ขณะที่ภูเขายังเขียวขจีก็ยังมีต้นไม้ให้เผา’ อย่าเป็นเหมือนจางเหอ เม็ดยาหวนคืนพลังปราณไม่ได้หามาง่ายๆ”
*** ‘ขณะที่ภูเขายังเขียวขจีก็มีต้นไม้ให้เผา’ สำนวนแปลว่าหากยังมีชีวิตก็ยังมีความหวัง
ถังเฟิงพยักหน้า เขาจับธนูเพลิงน้ำแข็งมั่นพร้อมกับกระโดดออกไปจากศาลา หลังจากนั้นก็ลงจอดอย่างมั่นคงบนสนามประลอง เมื่อเขาลงจอดบนสนามประลองมันไม่เกิดเสียงแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าว่าเขามีทักษเคลื่อนไหวที่ดีเลิศ
“ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับถังเฟิงมาก่อน ข้าสงสัยว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด?”
“ข้าเชื่อว่าเขาจะยืนได้ไม่ถึงห้านาที ดูเหมือนตระกูลเซียวจะชนะไปอีกครั้ง”
“แน่นอน แม้แต่ถังเฟิงยังไม่อาจชนะด้วยความแข็งแกร่งของเขา หากเขาจะพึ่งคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนพวกเขาน่าจะหมดโอกาสแล้ว”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตระกูลถังเก็บตัวเงียบตลอด นอกจากข่าวลือน่ากลัวไม่มีใครรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง
สีหน้าของเซียวเฉินและถังเฟิงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้จะได้ยินเสียงถกเถียงดังขึ้นมาจากข้างล่าง อย่างไรก็ตามเซียวเฉินก็ไม่ได้ลดการป้องกันลงซ้ำยังเพิ่มขึ้น
ในป่าทมิฬถังเฟิงยิงมาเพียงสามลูกศร นอกจากนั้นยังปิดซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ ถึงกระนั้นเซียวเฉินยังชนะเขามาได้อย่างยากลำบาก ตามความรู้สึกของเซียวเฉินถังเฟิงในตอนนี้อยู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอีก
ภายใต้การกล่าวของผู้ตัดสินทั้งสองคำนับกันและกันและการประลองได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
“ฉัวะ!”
เซียวเฉินไม่มีความลังเลกระแทกเท้าลงพื้น ร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าราวกับสายฟ้า เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระยะไกลเป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายจะต้องรีบเข้าประชิดตัวและจัดการด้วยการโจมตีที่ดุดัน
เซียวเฉินเร็วแต่ถังเฟิงเร็วกว่า ทันทีที่เขาขยับตัวถังเฟิงก็ยิงออกมาสามลูกศรแล้ว
กระแสไฟฟ้าถูกปลดปล่อยออกมาที่กระบี่เงาจันทร์ เซียวเฉินส่งพลังปราณเข้าไปในกระบี่และสับไปที่สามลูกศรน้ำแข็ง
“ปัง!ปัง!ปัง!”
เขาฟันไปสามครั้งอย่างแม่นยำโดนลูกศรน้ำแข็ง ลูกศรน้ำแข็งแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแต่ความเร็วของเซียวเฉินไม่ได้ตกลงแต่อย่างใดพร้อมพุ่งเข้าหาถังเฟิง
ถังเฟิงง้างธนูอย่างใจเย็นยิงธนูน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง รอยเท้าของเขาก้าวเดินอย่างแปลกประหลาดราวกับว่าเขากำลังเดินเล่น มันรู้สึกสบายๆและอิสระ
“ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!”
เซียวเฉินฟันลงไปที่ลูกศรน้ำแข็งจำนวนมากที่พุ่งตรงเข้ามาเสียพลังปราณไปไม่น้อย ด้วยความพยายามอย่างมากเขามาถึงจุดที่ถังเฟิงเคยยืนอยู่ แต่เขาพบว่าระยะทางจากเขาไปถึงถังเฟิงไม่เปลี่ยนแปลง เขายังอยู่ไกลเท่าเดิมเหมือนตอนเริ่มต้น