ตอนที่ 65 ความหมายของการทดสอบ
เซียวเฉินหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับมองไปที่เลือดที่ไหลออกมาจากรูบนแขนซ้ายของเขา ดูเหมือนแขนซ้ายเขาจะขยับไม่ได้ชั่วคราว
เซียวเฉินหยิบเม็ดยาห้วนคืนโลหิตขึ้นมาและบดมันด้วยนิ้วเปลี่ยนให้มันกลายเป็นยาผง เขาโรยมันลงไปบนบาดแผลและทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงความเย็น ความเจ็บปวดจากบาดแผลของเขาทุเลาลงทันตา
เขาฉีกผ้าออกมาจากชุดของเขามาพันแผล จากนั้นเซียวเฉินก็หันไปมองที่กิ่งไม้ที่ถูกยิงออกมา
เขาเดินไปประมาณสิบเมตรก่อนที่จะพบกับกิ่งไม้ที่เจาะแขนเขาทะลุ มันแทงทะลุต้นไม้ใหญ่ไปหลายต้นก่อนที่จะหยุดลง
เซียวเฉินพยายามดึงในที่สุดมันก็หลุดออกมา เขาตรวจดูมันอย่างละเอียดพบว่ากิ่งไม้เหี่ยวเฉานี่มีความหนาเพียงนิ้วของเขาและยาวไม่เกินหนึ่งเมตร และมันก็เรืองแสงออกมาจางๆ
เขารู้สึกถึงความผิดปกติดังนั้นเขาจึงส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในกิ่งไม้นั้น ในที่สุดเขาก็เห็นถึงความแตกต่างพลังวิญญาณในกิ่งไม้แห้งๆนี้สูงกว่าของอาวุธในร้านของโม่ฟ๋านเสียอีก
เขาจำได้ว่ามีคาถาในตำราบ่มเพาะพลังที่ต้องการวัตถุธรรมชาติที่มีพลังงานวิญญาณเช่นนี้ เซียวเฉินโยนมันเข้าไปในแหวนห้วงจักรวาลอย่างอารมณ์ดี
หลังจากพบทิศทางที่เซียวอวี่หลันและคนที่เหลือมุ่งไปเซียวเฉินก็ใช้อัสนีหลบเลี่ยงออกมาสองครั้งก่อนที่จะพบเงาของกลุ่มคน
เซียวอวี่หลันวิ่งออกมาจากกลุ่มเมื่อเห็นเซียวเฉินเข้ามาใกล้ นางถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “น้องเฉินเกิดอะไรขึ้นกับมือของเจ้า?”
เซียวเฉินหัวเราะขึ้น “ไม่ต้องเป็นกังวลเพียงแค่รอยข่วนเล็กน้อย ทิ้งไว้สักวันก็หาย ไปกันเถอะข้าจะนำทางพวกเจ้าไปยังค่ายของตระกูลเซียว”
ในครั้งนี้ไม่มีใครข้องใจกับคำของเซียวเฉินไม่มีใครปรากฎสีหน้าไม่พอใจออกมา เซียวเฉินได้รับความเคารพจากคนทั้งกลุ่มเนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
การเดินทางต่อจากนั้นเซียวเฉินปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาตลอดเวลา เมื่อเขาพบอสูรปีศาจเขาก็จะอ้อมมันไป ไม่มีการปะทะเกิดขึ้นอีกตลอดทาง
หลังจากนั้นสองชั่วโมง
ทั้งกลุ่มก็ได้มาถึงค่ายตระกูลเซียว ค่ายพักนี้เป็นค่ายที่ตระกูลเซียวรุ่นก่อนสร้างมันขึ้นมาและใช้ในการฝึกฝน
เป็นค่ายพักง่ายๆมีกระท่อมไม้เพียงสามหลัง แม้ว่ามันจะหยาบๆและเรียบง่ายแต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ สะดวกสบายเหมาะสมที่จะเป็นที่พักในอีกหลายวันข้างหน้านี้
เซียวเฉินไม่ตรวจพบอันตรายจากสัมผัสวิญญาณ จากนั้นเขาพูดขึ้น “ทุกคน! มาจัดระเบียบค่ายพักกันก่อน มันเต็มไปด้วยฝุ่นเป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีใครมาใช้ที่นี้”
ทั้งกลุ่มกระจายกันออกไป ผู้บ่มเพาะพลังกลุ่มนี้ล้วนเป็นหัวกะทิจากรุ่นเยาว์ของตระกูลเซียว เซียวเฉินพึงพอใจมากที่พวกเขาเก็บกวาดค่ายพักอย่างรอบคอบ
“อา! มีศพอยู่ตรงนี้ด้วย..” เสียงตกใจเข้ามาขัดความคิดของเซียวเฉิน
เซียวเฉินรีบตรงเข้าไปในทันที ร่างไร้วิญญาณนั้นเป็นชายชราที่สวมชุดของตระกูลถัง เซียวเฉินขมวดคิ้วทำไมถึงมีคนของตระกูลถังมาอยู่แถวนี้?
สภาพศพของชายชรานั้นน่าสยดสยองมากหน้าอกของเขาถูกฉีกหัวใจและปอดของเขาหายไป ดูเหมือนว่าเขาถูกอสูรปีศาจกิน ไม่น่าแปลกใจที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เซียวเจี้ยนตรวจดูทั่วทั้งร่างและพูดขึ้น “คนคนนี้อยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ นอกจากนั้นยังตายมาได้ไม่นาน”
ทุกคนล้วนตื่นตระหนก ทำไมระดับขอบเขตปรมจารย์ของตระกูลถังถึงมาอยู่ที่ค่ายพักของตระกูลเซียว? นอกจากนั้นเขายังมาตายที่เขตรอบนอกของป่าทมิฬ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
“มาดูนี่เร็ว! ยังมีศพอื่นอยู่อีก!” มีเสียงดังร้องออกมาอีก
ศพนี้ถูกพบในกระท่อมไม้หลังหนึ่ง เซียวเฉินพุ่งตรงไปราวกับสายฟ้า สภาพศพของรายนี้ก็เหมือนกับศพก่อนหน้า
มองเห็นเครื่องแบบนี้เซียวเฉินก็ยืนงงอีกครั้ง คนคนนี้มาจากตระกูลจาง นอกจากนั้นยังอยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์เช่นกัน
เซียวเฉินเชื่อมโยงปมทั้งหมดเข้าด้วยกันในหัวของเขาและภาพก็ปรากฎขึ้นใน ก่อนที่การทดสอบป่าทมิฬจะเริ่มขึ้นระดับขอบเขจปรมจารย์ทั้งสองคนนี้ได้แอบเข้ามาในค่ายพักของตระกูลเซียว
ด้วยฐานะระดับขอบเขตปรมจารย์เป็นเรื่องง่ายดายที่เขาจะฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี้ อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลที่ไม่อาจทราบระดับปรมจารย์ทั้งสองกลายเป็นเหยื่อของอสูรปีศาจก่อนที่จะบรรลุเป้าหมาย
เซียวเฉินตัวสั่นเมื่อคิดได้เช่นนี้ เพื่อที่จะฆ่าเขาทั้งตระกูลจางและตระกูลถังกล้าที่จะท้าทายกฎที่ตั้งขึ้นโดยท่านเจ้าเมือง อับจนหนทางอื่นแล้ว?
ถึงอย่างนั้นข้าก็อยากจะรู้ว่าพวกเจ้าจะส่งระดับขอบเขตปรมจารย์มาตายได้อีกกี่คน เซียวเฉินคิดในใจอย่างโหดเหี้ยม
ทุกคนช่วยกันนำสองศพนั้นไปฝังเหตุผลหลักคือพวกเขาเกรงว่าศพจะดึงดูดอสูรปีศาจที่แข็งแกร่งเข้ามา เกิดเป็นเงาในใจของทุกคนเมื่อมองไปยังร่างไร้วิญญาณที่ตายอย่างน่าเวทนาทั้งสองของระดับขอบเขตปรมจารย์
ภายใต้การสั่งการของเซียวเฉินพวกเขาสร้างกับดักสัญญาณเตือนบริเวณโดยรอบของค่ายพัก พวกเขามีประสบการณ์จากการฝึกฝนบนภูเขาชีเจี่ยวดังนั้นกับดักเหล่านี้พวกเขาคุ้นเคยดี ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะวางกับดักนี้ขึ้นมา
“เย่หมิงหลานไปตรวจดูพื้นที่โดยรอบกับข้า พวกเราจะออกล่าอสูรปีศาจในวันพรุ้งนี้” เซียวเฉินกล่าวกับเย่หมิงหลานที่เหนื่อยล้ากำลังนอนพักอยู่บนต้นไม้มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
เย่หมิงหลานไม่อย่าขยับและพึมพำขึ้น “ทำไมต้องข้าตลอด?”
เซียวเฉินยิ้ม “ไปเถอะ ไม่ใช่ว่าเจ้าบ่นมาตลอดทางว่าอยากจะฆ่าอสูรปีศาจ? ตอนนี้ข้าให้โอกาสเจ้าได้ฉายแสงแล้วเจ้ายังไม่พอใจอะไรอีก?”
เมื่อพวกที่เหลือได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ยิ้มขึ้น ต่างคนต่างรู้ว่าเจ้าหมอนี้มันหาเรื่องเอง เขาคงทำได้แค่โทษตัวเองที่พูดจาอวดดีมาตลอดทาง
“เซียวเฉินข้าขอไปกับเจ้าด้วย มือซ้ายเจ้ายังบาดเจ็บอยู่ ข้าเกรงว่าหากพบอสูรปีศาจเข้าจะรับมือไม่ไหว” เสียงของเซียวอวี่หลันดังออกมาจากในกระท่อมไม้
เซียวเฉินส่ายหัว “ไม่จำเป็น ค่ายพักนี่มันมีอะไรแปลกๆ เจ้าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราดังนั้นเจ้าควรจะอยู่ดูแลที่นี่ไว้ มือของข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“นอกจากนั้นข้าแค่ไปเดินสำรวจ ไม่น่าจะมีอะไรอันตราย”
เซียวอวี่หลันไม่ได้ดื้อดึงหลังจากได้ยินคำของเซียวเฉิน นางเพียงย้ำเขาครั้งแล้วครั้งเล่าให้ระวังตัว
เย่หมิงหลานเดินตามหลังเซียวเฉินไปอย่างไม่พอใจนัก พวกเขาทั้งคู่มุ่งไปทางใต้ของค่ายหัก
ภายในป่ามือสลัวเงาจากกิ่งก้านต้นไม้ไหวไปมาและลมหนาวก็พัดมาบางเบา อันตรายที่มองไม่เห็นมีอยู่รอบด้าน ในขณะที่เย่หมิงหลานเดินตามเซียวเฉินไปเขารู้สึกได้ถึงดวงตาที่จับจ้องเขามาจากในความืดและเขาก็สั่นด้วยความกลัว
เย่หมิงหลานมองไปที่หน้าของเซียวเฉินแต่ก็ไม่อาจเห็นอารมณ์ที่แสดงออกมาได้ นั้นทำให้เย่หมิงหลานไม่อาจรู้ได้ว่าเซียวเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ เซียวเฉินดูนิ่งสงบในความมืด
“ฟุ่ว!ฟิ่ว!”
เงาสีแดงพุ่งเข้ามาหาทั้งสองในความมืด พลังฉีกดข่มดุร้ายกระจายออกไปทั่วป่าทำให้เย่หมิงหลานเสียสติ
“นั้นมัน…กิ้งก่าเพลิง! นั้นลิ้นของมัน!” เย่หมิงหลานมีความฝังใจกับอสูรปีศาจประเภทนี้ไปเรียบร้อย ปากเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ในขณะที่เขาพูด
ขณะที่เย่หมิงลามองไปด้วยสายตาตื่นตกใจ เซียวเฉินคว้าลิ้นสีแดงนั้นไว้ด้วยมือขวา สายฟ้าส่องประกายในความมืดและไหลผ่านลิ้นสีแดงตรงไปที่ร่างของกิ้งก่าเพลิง
ลิ้นที่ยืดยาวออกมาส่องแสงสายฟ้าออกมาดูคล้ายกับริบบิ้นเรืองแสง ช่างน่าตื่นตะลึงเป็นที่สุด
“อา!”
เสียงร้องอันเจ็บปวดดังขึ้นมาและกิ้งก่าเพลิงก็ดึงลิ้นกลับไป ป่ากลับมามืดน่ากลัวอีกครั้ง
“เจ้าทำอะไรอยู่?! ไล่ตามไป!” เซียวเฉินพุ่งไปข้างหน้าและปลุกเย่หมิงหลานก่อนที่เขาจะไป
“อา!” เย่หมิงหลานพยักหน้าอย่างหนักแน่นและติดตามเซียวเฉินไป
ร่างของมันยาวประมาณยี่สิบเมตรและผิวหนังของมันปกคลุมไปด้วยตุ่มสีแดง พลังฉีดำมือกระจายออกมาจากร่างของกิ้งก่าเพลิงและหางยาวกว่าสิบเมตรของมันฟสบัดฟาดใส่พื้นอย่างต่อเนื่อง
ตาสีแดงคู่นั้นจับจ้องมาที่เซียวเฉินและเย่หมิงหลานขณะที่พวกเขารีบตรงไป
ก่อนหน้านั้นเย่หมิงหลานเกิดเงาดำขึ้นในใจและขาก็สั่นเทาพร้อมกับพูดขึ้น “เซียวเฉินเจ้าจัดการคนเดียวได้ไหม? ขาข้าอ่อนไปหมดแล้ว..”
เซียวเฉินยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าจะได้มีโอกาสเช่นนี้อีกในอนาคต? แล้วที่เจ้าบอกจะมาไล่ฆ่าอสูรปีศาจละ? แล้วความหาญกล้าของเจ้าในยามที่เผชิญหน้ากับศิษย์จากตระกูลอื่นๆละ?
“ข้าส่งพลังสายฟ้าเข้าไปในร่างของมันแล้วมันจะเคลื่อนไหวไม่ได้ระยะหนึ่ง หากเจ้ายังเป็นลูกผู้ชายพอก็หยิบดาบขึ้นมาเสียบมันซะ”
ด้วยเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อนสร้างบาดแผลในใจของเย่หมิงหลานเป็นเงาใหญ่ ดังนั้นเซียวเฉินจึงลากเขาออกมาเพื่อช่วยให้เขาเอาชนะความกลัวให้ได้
มิเช่นนั้นหากเขายังเป็นเช่นนี้เขาอาจจะตายหรือแม้กระทั่งพาเพื่อนร่วมกลุ่มไปตายกับเขาด้วยในตอนที่การทดสอบเริ่มขึ้น ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือหยิบดาบขึ้นมาแทงเจ้ากิ้งก่าย่างนี่ซะเพื่อลบเงาในใจของเขาออกไป
“แต่…”
“แต่อะไรอีก?! ความกล้าสักนิดก็เค้นออกมาไม่ได้เชียว? หากเจ้าไม่จัดการมันซะในเช้าวันพรุ้งนี้ข้าจะส่งเจ้าออกจากป่าทมิฬ เจ้าจะเป็นศิษย์สายนอกต่อไปและไม่ได้โงหัวขึ้นมาอีกเลย”
“มันจะไม่ขยับจริงๆใช่ไหม?”
“เย่หมิงหลาน เจ้ายังมีของที่ห้อยอยู่ใต้หว่างขาใช่หรือไม่? ขนาดสตรียังไม่ขลาดเช่นเจ้า ลังเลในจังหวะความเป็นความตายเช่นนี้…. เจ้าอยากจะตายจริงๆใช่ไหม?”
ดาบเล่มนี้ยอดเยี่ยมและด้วยระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นสูงของเขา ดาบแทงลงไปอย่างไร้ความปราณีและสายเลือดสีม่วงก็พุ่งออกมาโปรยลงบนหน้าของเขา
กิ้งก่าเพลิงร้องออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวดจากนั้นมันก็หลุดพ้นจากเปลวเพลิงสีม่วงในร่างของมัน กระแสพลังพวยพุ่งออกมาและหางใหญ่ยักษ์ของกิ้งก่าก็พุ่งมาที่เขา
เซียวเฉินตกใจและกำลังจะลงมือเข้าไปช่วยเหลือ แต่ใบหน้าของเย่หมิงหลานเต็มไปด้วยโทสะ เจตนาฆ่าวูบผ่านดวงตาของเขาพร้อมกับหันไปฟันใส่หางกิ้งก่าอย่างรุนแรง
“แคร้ง!”
พลังมหาศาลผลักเย่หมิงหลานลอยไปในอากาศแต่เขาก็ไม่ได้ตื่นกลัวแต่อย่างใด เขากลับตัวกลางอากาศและลงจอดบนพื้นอย่างมั่นคง เขาจับดาบมั่นยืดตัวตรงสูงและมองไปที่กิ้งก่าเพลิงอย่างเยาะเย้ย
เสื้อคลุมของเย่หมิงหลานโบกสะบัดแม้แต่ป่าทมิฬอันมืดมิดก็ไม่สามารถกลบเจตนาฆ่าของเขาลงได้
เซียวเฉินเผยรอยยิ้มจางๆแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจ ตราบใดที่เย่หมิงหลานสามารถเอาชนะความกลัวในใจรวบรวมความกล้าขึ้นมาประมือกับกิ้งก่าเพลิงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขา
อย่างไรก็ตามเขาจะสังหารมันลงได้หรือไม่ก็ยากที่จะบอกได้ เซียวเฉินไม่ได้เป็นกังวลจนเกินไป เมื่อได้ฝึกมาอย่างเพียงพอก้าวผ่านสถานการณ์ระหว่างความเป็นความตาย ทุกคนก็จะแข็งแกร่งขึ้น
นี่คือความหมายของการทดสอบในครั้งนี้ เพื่อก้าวข้ามเส้นระหว่างความเป็นและความตาย เพื่อสัมผัสกับเส้นทางการต่อสู้ที่แท้จริง
เพื่อที่มนุษย์คนหนึ่งจะก้าวข้ามสวรรค์ เพื่อที่ข้าจะได้กำหนดชะตาชีวิตของตนเองไม่ใช่สวรรค์ ข้าเลือกเส้นทางที่ยิ่งใหญ่และก้าวไปอย่างช้าๆ แม้หนทางจะเต็มไปด้วยขวากหนามข้าก็ไม่เกรงกลัว ดาบของข้าจะก้าวไปพร้อมกับข้าและการบ่มเพาะพลังของข้าจะไม่มีวันไขว้เขว
เส้นทางชีวิตนี้มันไม่ธรรมดาและหากปราศจากการริเริ่มและผลักดันมันก็จะไหลไปอย่างเหนื่อยหน่าย
ก็เหมือนกับคนพวกนี้ที่ไล่ตามอุดมการณ์ของตัวเอง แม้ว่าเส้นทางจะแตกต่างกันไปแต่ก็เดินไปในทิศเดียวกัน หากผู้ใดมีความเชื่อมั่นผู้นั้นก็จะพบอนาคตที่สดใส