ตอนที่ 41 สองคนสู้กัน คนที่สามชนะ
“ฮุ่!ฮ่ะ!”
เมื่อตอนที่ชายชุดน้ำเงินกำลังจะลงมือทันใดนั้นก็มีมีดบินตัดผ่านอากาศพุ่งตรงมาที่เขา พลังปราณที่ถูกบรรจุลงในมีดสร้างละลอกคลื่นรอบตัวมีด การเสียดสีอย่างรุนแรงทำให้เกิดประกายในอากาศ
ชายชุดน้ำเงินไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับมองไปที่มีดที่กำลังบินเข้ามา เขาหมุนเวียนพลังปราณและก้อนศิลาก็ได้ก่อตัวขึ้นบนมือขวาของเขาไหลไปที่ฝ่ามือหมุนวนอย่างต่อเนื่อง
ศิลาที่หมุนวนอยู่ยิงออกมาปะทะเข้ากับมีดบินอย่างแม่นยำ เกิดเสียงดังสนั่นมีดบินและก้อนศิลาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ คลื่นพลังฉีกระจายไปทั่วทิศทาง
เมื่อเขาเห็นหลิวเฟิงหยินก้าวออกมาจากความืดก็เกิดเป็นคลื่นใหญ่ภายในใจของชายชุดน้ำเงิน ในเมืองม่อเหอนี้มีระดับขอบเขตนักบุญตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่ารายงานจากตระกูลจะผิด?
อย่างไรก็ตามใช้เวลาเพียงชั่วครู่เพื่อสงบใจลง เขาพบว่าตาแก่ตรงหน้าเขาเป็นเพียงระดับขอบเขตนักบุญขั้นต่ำ กลับกันชายชุดน้ำเงินนั้นก้าวมาอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลางนานแล้ว
ที่ระดับขอบเขตนักบุญความแตกต่างระหว่างขั้นนั้นมหาศาล จะแพ้ตอนไหนก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เว้นแต่คนที่ขั้นต่ำกว่าจะมีอาวุธวิญญาณหรือทักษะต่อสู้ที่ดีกว่า
“หากข้าจะขอทราบชื่อของเจ้า? เจ้าก็สนใจในจิ้งจอกวิญญาณหกหางเช่นกัน? เจ้าทราบมารยาทเรื่องมาก่อนมาหลังหรือไม่?” หลังจากทราบถึงระดับพลังของหลิวเฟิงหยิน ชายชุดน้ำเงินก็กลายเป็นขวานผ่าซาก
หลิวเฟิงหยินยิ้มอย่างเย็นชาพร้อมกับพูดขึ้นอย่างไม่แยแส “มาก่อนได้ก่อน? ข้ารู้เพียงแค่ว่าผู้ชนะได้ทั้งหมด ไม่เคยได้ยินเรื่องมาก่อนมาหลัง”
หลิวเฟิงหยินนั้นก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญได้ตอนอายุเกินกว่า 60 ปี ความสามารถของเขาจึงถือได้ว่าอยู่ในระดับทั่วไป เขาตัวรู้มานานแล้วว่าเขานั้นไม่สามารถพัฒนาพลังไปได้มากกว่านี้
หากเขาต้องการที่จะเสริมพลังขึ้นอีกเขาต้องไปใช้วิธีอื่น จิ้งจอกวิญญาณหกหางตัวนี้เป็นโอกาสดีของเขา หากเขาสามารถทำให้มันเชื่องได้มันจะกลายเป็นกำลังสำคัญของเขาทันที
ยิ่งกว่านั้นด้วยสถานะของเขาภายในตระกูลเซียวพวกเขาสามารถบังคับให้เซียวเฉินส่งหยกวิญญาณสีเลือดมา ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ตระกูลเซียวก็ไม่กล้าขัดระดับขอบเขตนักบุญเพื่อช่วยเจ้าหนูระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นต่ำ
สีหน้าของชายชุดน้ำเงินกลายเป็นเย็นชาและดวงตาเปล่งประกายพร้อมกับยิ้มเยือกเย็น “สำหรับระดับขอบเขตนักบุญขั้นต่ำ เจ้าจะใจโตเกินไปหน่อย”
หลิวเฟิงหยินยิ้มอย่างไม่แยแสและชี้นิ้วขึ้น “ดู..”
ชายชุดน้ำเงินมองไปทางที่หลิวเฟิงหยินชี้พร้อมกับหน้าเปลี่นสี ถังเฟิงผู้ที่กำลังจะตรงไปจัดการกับเซียวเฉินตอนนี้กำลังต่อสู้ติดพันกับระดับขอบเขตปรมจารย์สามคนจากตระกูลเซียว ส่วนเซียวเฉินเขาหลบออกไปด้านข้างนั่งดูคนต่อยกันสบายใจ
ด้วยระดับขอบเขตปรมจารย์ถึงสามคนนั้นไม่มีทางที่จะเหิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ถังเฟิงอาจจะล้มลงเพียงเวลาไม่นาน หลังจากที่ทั้งสามคนนั้นจัดการถังเฟิงจบก็จะมาร่วมกับหลิวเฟิงหยินยืนกดดันชายชุดน้ำเงิน ชายชุดำน้ำเงินสียเปรียบเต็มประตูถึงแม้เขาจะเป็นถึงระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลางก็ตาม
ชายชุดน้ำเงินวิเคราะห์สถานะการณ์อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตัดสินใจได้ เขาระเบิดตะโกนออกมาและกระทืบเท้าจมไปในพื้น กระแสธารหินศิลาก็ปรากฎขึ้นใต้เท้าของเขา
หินใต้เท้าของเขาหมุนวนอย่างรวดเร็ว ราวกับมีชีวิตและไหลมาโอบเท้าทั้งสองข้างของเขาไว้ ชายชุดน้ำเงินระเบิดความเร็วออกมา ในชั่วพริบตาเขาก็มาถึงหน้าของหลิวเฟิงหยินและปล่อยลูกเตะใส่อย่างโหดเหี้ยม
“ตูม!ตูม!ตูม!”
ในจังหวะนั้นเองก็มีเสียงระเบิดสามครั้งดังมาจากด้านหลังของชายชุดน้ำเงิน มังกรดินสามตัวผุดขึ้นมาจากพิ้นดินคำรามอย่างดุดัน มังกรทั้งสามพุ่งไปหาหลิวเฟิงหยินปิดกั้นทางหนีของเขา
หลิวเฟิงหยินไม่แตกตื่นแต่อย่างใด เขารู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้เคี้ยวลงไม่ง่ายนัก เขาตั้งรับป้องกันการโจมตีในทันที
หลิวเฟิงหยินยื่นมือออกไปใช้ฝ่ามือรับลูกเตะของชายชุดน้ำเงิน ใช้แรงจากลูกเตะนั้นดีดตัวเองออกมาและหมุนตัวอย่างรวดเร็วมีดนับไม่ถ้วนผู้ปล่อยออกมาจากร่างของเขา
“หมื่นมีดร่ายรำ!”
การหมุนตัวปล่อยมีดบินสร้างพลังมหาศาลพวกมันส่งเสียงหวีดในตอนนี้กำลังหมุนไป พลังนี้ก่อตัวเป็นพายุสูงกว่าสิบเมตรและปะทะเข้ากับมังกรดินทั้งสาม มีดบินที่หมุนอยู่ในอากาศสร้างบาดแผลนับไม่ถ้วนบนร่างของมังกรดินสีน้ำตาล
ในตอนนี้พวกเขาตัวชนติดกัน มังกรดินทั้งสามวนเวียนพยายามฝ่าเข้าไปในพายุหมุนอย่างไม่หยุดยั้งอย่างไรก็ตามมีดบินนับไม่ถ้วนนี้ก็กำลังผลาญพลังของมังกรดินไปอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นพายุหมุนก็ปรากฎล้อมรอบมังกรดินและเพิ่มกระแสลมให้รุนแรงขึ้น กระแสลมพัดปลิวไปทั่วทุกสารทิศ ในพื้นที่บริเวณรอบตัวของระดับขอบเขตนักบุญทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยพายุหมุนรุนแรงและหินดินทรายปลิวไปทั่วบริเวณ
ผู้อาวุโสหนึ่งนำระดับขอบเขตปรมจารย์สองคนมาจัดการกับถังเฟิง การต่อสู้นี้จึงผ่อนคลายสำหรับพวกเขา อย่างไรก็ตามกว่าที่พวกเขาจะล้มถังเฟิงลงได้ก็ใช้เวลาพักหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดนั้นอยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ ถึงพวกเขาทุ่มสุดฝีมือเข้าต่อสู้มันก็ไม่ง่ายที่จะจัดการถังเฟิงลง
พวกเขามองไปที่หลิวเฟิงหยินและชายชุดน้ำเงินกำลังเข้าปะทะกันพวกเขากังวลใจอย่างช่วยไม่ได้ สองคนนั้นต่อสู้กันอย่างสูสีมันยากที่จะบอกว่าใครจะชนะ
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็รู้ว่าหลิวเฟิงหยินนั้นด้อยกว่าเล็กน้อย เมื่อหลิวเฟิงหยินล้มลงสามคนในกลุ่มเขาก็ไม่มีใครเทียบชั้นกับชายชุดน้ำเงินได้
ถังเฟิงเห็นถึงจุดนี้เช่นกัน เป็นเหตุว่าทำไมเขาถึงรีดพลังปราณมาจนสุดงัดทุกทักษะต่อสู้ที่มีออกมาใช้ ความพยายามนี้ก็เพื่อถ่วงเวลาสามคนนี้ไว้ เมื่อชายชุดน้ำเงินได้รับชัยชนะจากนั้นเขาก็มีโอกาสรอด
การต่อสู้ในปัจจบันเข้าสู่สถานการณ์แปลกประหลาด หากฝั่งไหนจบการต่อสู้ได้ก่อนอีกฝั่งหนึ่งก็จะพ่ายแพ้ไป
**เผื่องงครับ ตรงนี้หมายความถ้าสามคนนั้นล้มถังเฟิงได้ก่อนก็จะไปลุมชายชุดน้ำเงินก็แพ้ไป ซึ่งถ้าหลิวเฟิงหยินล้มลงไปก่อนชายชุดน้ำเงินก็จะมาช่วยถังเฟิงได้
ภายในสถานการณ์ที่สูสีกันนี้เซียวเฉินที่ถูกทุกคนมองข้ามหัวไปยืนเป็นหลักตออยู่ด้านข้าง เหตุผลนั้นเรื่องพื้นๆไม่มีใครเชื่อว่าระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดตัวน้อยๆนี้จะมีพลังพอที่จะเข้าไปแทรกการต่อสู้ระหว่างระดับขอบเขตนักบุญกับระดับขอบเขตปรมจารย์
อย่างไรก็ตามมันก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น?
มองดูไปที่ถังเฟิงที่กำลังดิ้นรนอย่างยากลำบากมุมปากของเซียวเฉินก็ยกขึ้นปรากฎเป็นรอยยิ้มเย็นชา สัมผัสวิญญาณของเขาจับไปที่ร่างของถังเฟิงพร้อมกับหมุนเวียนพลังปราณในร่างของเขาเตรียมพร้อมที่จะเรียกอัสนีร่วงหล่น
“ตูม!”
สายฟ้าจากพลังปราณห้าส่วนของเซียวเฉินทิ้งดิ่งลงมาจากท้องฟ้า สายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวเปลี่ยนคำคืนที่มือมิดให้กลายเป็นกลางวันสว่างไสว
ในทันทีที่สายฟ้าส่งเสียงร้องออกมาทุกคนในเหตุการณ์ก็หลายเป็นใบ้ ถังเฟิงผู้ที่กำลังต่อสู้ติดพันอย่างยากลำบากไม่ได้สังเกตเห็นถึงสายฟ้าที่ปรากฎขึ้นแต่อย่างใด
แสงเข้มของสายฟ้าค่อยๆจางหายไปและท้องฟ้ายามค่ำคืนก็กลับมาเป็นปกติ สายฟ้าที่ปรากฎออกมาก่อนที่จะจางหายไปในทันใดนั้นทำให้ทุกคนไม่อยากจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง แต่อย่างไรก็ตามร่างของถังเฟิงที่ถูกย่างจนเกรียมควันลอยฉุยนั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าสายฟ้านั้นลงมาจริง
“ลงมือ!” ผู้อาวุโสหนึ่งเซียวเฉียงขยับเป็นคนแรกที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้ เขาปล่อยฝ่ามือออกไปปะทะเข้ากับร่างของถังเฟิงพร้อมกับอีกสองคนที่ลงมืออย่างรวดเร็ว ฝ่ามือของพวกเขาอีกสองคนก็ตามเข้ามาปะทะเข้ากับถังเฟิง
เซียวเฉียงหันไปมองที่เซียวเฉินที่ยืนอย่างนิ่งสงบ ความงุนงงนี้ปรากฎขึ้นในดวงตาของเขาแต่ไม่นานเขาก็เบี่ยงสายตาออก “ไปสนับสนุน!”
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากการช่วยเหลือของเซียวเฉิน หลิวเฟิงหยินขึ้นหน้านำระดับขอบเขตปรมจารย์อีกสามเข้าล้อมชายชุดน้ำเงินไว้ ชายชุดน้ำเงินหันไปมองร่างไร้วิญญาณของถังเฟิงด้วยสายตาน่าเกลียด เขารู้สึกไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
จังหวะนี้หนทางชนะของเขาถูกปิดหมดทุกทาง ชายชุดน้ำเงินตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่ปัดการโจมตีของทั้งสี่คนนั้นออกไปเขาก็หันหลังวิ่งในทันที
หลิวเฟิงหยินมองไปที่จิ้งจอกวิญญาณหกหางที่ไร้กำลังนอนอยู่กับพื้นจากนั้นก็หันไปที่เซียวเฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาหันไปพบหน้าผู้อาวุโสหนึ่ง “พวกเราควรไล่ตามเขาไป เขาไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมายและอาจจะวนกลับมาลอบโจมตีพวกเราเมื่อใดก็ได้”
ความกังวลของหลิวเฟิงหยินนั้นถูกต้อง โดนลอบโจมตีจากระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลางนั้นถึงกับทำให้ระดับขอบเขตปรมจารย์สามคนสิ้นสภาพได้ทันที เมื่อพวกเขามาไกลถึงจุดนี้หลิวเฟิงหยินไม่กล้าประมาท
นอกจากนั้นร่างของจิ้งจอกวิญญาณหกหางนั้นใหญ่โตเกินกว่าที่เซียวเฉินจะหอบเอาไปได้ ลงมือฆ่ามันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ นอกจากนั้นเขายังเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ ต่อให้เกิดจิ้งจอกวิญญาณหกหางตายลงอย่างปาฏิหาริย์ มันก็แน่นอนแล้วว่าเป็นฝีอมือของเซียวเฉินเพราะมีเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ที่นี่
หลิวเฟิงไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้พร้อมกับนำทั้งสามคนไล่ตามชายชุดน้ำเงินไป เขาไม่ได้หวังว่าจะสังหารชายชุดน้ำเงินคนนั้นลงได้แต่ก็ต้องให้แน่ใจว่าเขาจะไม่มีโอากาสวกกลับมาลอบโจมตีพวกเขาได้
มองดูคนทั้งสี่จากไป เขาก็ตรงเข้ามาหาจิ้งจอกวิญญาณหกหางที่นอนกองกับพื้นอย่างช้าๆ ก่อนที่หลิวเฟิงหยินจะจากไปสายตาของเขาเต็มไปด้วยความกระหายและการคุกคาม
เมื่อคิดถึงทัศนคติของหลิวเฟิงหยินเมื่อครู่ความขุ่นเคืองในใจของเซียวเฉินก็พุ่งสูงขึ้น เขาสบถ “ก็เป็นแค่ระดับขอบเขตนักบุญที่เดินมาถึงทางตันไร้ทางโต มันเป็นแค่องครักษ์พิเศษของตระกูลเซียวของข้าแต่มันกลับไม่เห็นข้าในสายตา เมื่อปากขยับก็ถามหาแต่หยกวิญญาณหยกวิญญาณ เมื่อเจ้าเลือกที่จะเล่นกับข้าเช่นนี้ข้าก็จะเล่นแบบเดียวกันกับเจ้า”
จ้องมองไปที่ร่างของจิ้งจอกวิญญาณหกหางเซียวเฉินเห็นแผลน้อยใหญ่ทั่วตัว มันมีแผลเต็มทั่วร่างบางแผลยังสาหัสถึงขั้นเห็นกระดูก ตอนนี้เป็นช่วงที่มันอ่อนแอเป็นที่สุด เมื่อมันได้เผชิญหน้ากับชายชุดน้ำเงินถึงได้สาหัสถึงขั้นนี้ หลังจากที่มันกลายเป็นบ้าครั้งมันก็ผลาญพลังชีวิตจนเกิดขีดจำกัดจนทำให้แย่ลงขึ้นไปอีก
สัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 เทียบเท่าได้กับระดับขอบเขตราชาขั้นต่ำกลับมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ เซียวเฉินรู้สึกเวทนา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่สัตว์แต่ความรู้สึกที่มีให้กับลูกของมันนั้นของจริงที่แสนบริสุทธิ์
เมื่อคิดถึงเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในหยกวิญญาณสีเลือด.. ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าตัวน้อยนี่ราชันแห่งภูเขาชีเจี่ยวคงไม่อาละวาดถึงเพียงนี้
เซียวเฉินประเมินขนาดของจิ้งจอกวิญญาณหกหาง หลังจากวัดแล้วเขาก็เล็งแหวนห้วงจักรวาลไปที่จิ้งจอกวิญญาณหกหางที่อยู่บนพื้นพร้อมกับเสียง ‘ซูว’ จิ้งจอกวิญญาณหกหางก็ถูกดูดเข้าไปในแหวนห้วงจักรวาล
**ขอเปลี่ยนแหวนของเซียวเฉินเป็นแหวนห้วงจักรวาลนะครับ มันใช้คำความหมายใกล้กันผมนึกว่าเป็นอันเดียวกัน
แหวนห้วงมิติของโลกนนี้นั้นไม่สามารถเก็บสิ่งมีชีวิตได้ อย่างไรก็ตามแหวนห้วงจักรวาลของเซียวเฉินนั้นต่างออกไป หากสัตว์อสูรวิญญาณนั้นเต็มใจหรือหมดสติตราบเท่าที่ขนาดมันใส่ลงไปได้ก็ไม่เป็นปัญหา
หลิวเฟิงหยินผู้ที่จากออกมาไม่คาดคิดว่าเซียวเฉินนั้นจะหอบจิ้งจอกวิญญาณหกหางหนีไปด้วยแหวนห้วงจักรวาลจากต่างโลก มิเช่นนั้นต่อให้เขาถูกทุบตีจนตายเขาก็ไม่มีทางทิ้งมันไว้กับเซียวเฉินตอนที่จากมา
เซียวเฉินใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ เขาพบว่าเหล่าสัตว์อสูรวิญญาณที่บ้าคลั่งได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว นี่คงจะเป็นเพราะจิ้งจอกวิญญาณหกหางนั้นได้หมดสติไปแล้ว
หลังจากที่พบเส้นทางที่หลิวเฟิงหยินและคนอื่นๆมุ่งหน้าไป เซียวเฉินถอนสัมผัสวิญญาณกลับมา เขากลืนเม็ดยาฟื้นฟุพลังฉีเข้าไปพร้อมกับหันไปทิศทางตรงกันข้าม อัสนีหลบเลี่ยงถูกใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากสายฟ้าวูบวาบผ่านป่ามานับสิบครั้งเซียวเฉินก็ออกมาไกลกว่าพันเมตรแล้ว
ภูเขาชีเจี่ยวนั้นสูงเพียง 3000 เมตร เซียวเฉินหยุดลงที่ใจกลางของภูเขา หลังจากพักครู่หนึ่งเพื่อให้พลังปราณของเขาฟื้นกลับมา เซียวเฉินค้นหาถ้ำที่ซ่อนอยู่พบก็หยุดการเคลื่อนไหวลง
เขาปล่อยจิ้งจอกวิญญาณหกหางออกมาจากแหวนห้วงจักรวาลและพึมพำกับตัวเอง “คิดซะว่านี่เป็นค่าตอบแทน หลังจากที่ข้าฉกลูกของเจ้ามาข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าตายเช่นนั้นได้”
“ข้าจะไม่ให้หลิวเฟิงหยินได้ตัวเจ้าไปเช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นชะตากรรมของเจ้าจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้”