แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 75 รีบเอาเจ้าคนปัญญาอ่อนนี่ออกไป

ทำไมนายท่านถึงได้โหดร้ายเช่นนี้ ไหนบอกกันว่าผู้หญิงมักจะละลายกับของที่น่ารักๆไม่ใช่หรือ หลอกลวงกันชัดๆ
“นายท่านจริงๆนะ ท่านจะต้องเชื่อข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะปรากฏกายออกมาทำไม” โม่หรานพูดเสียงอ้อแอ้
“พอได้แล้ว อย่าคิดว่าข้าจะเอาชนะปีศาจหมื่นปีที่ใช้ร่างเด็กน้อยไม่ได้นะ ตอนเจ้ากลืนกินมิติของข้าทำไมไม่ปรากฏตัวออกมาล่ะ อย่าอ้างว่าอ่อนแอเลย เจ้ากินหินวิญญาณของข้าไปเท่าไหร่ ข้ายังจำได้ พูดความจริงมา อย่าคิดตุกติก คิดว่าข้าอยากจะทำพันธะสัญญากับเจ้าหรือ เลิกยัดเยียดอะไรๆใส่ข้าสักที “หลิวหลีไม่พอใจอย่างมาก ทำเหมือนนางเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสาไปได้
“ฮือๆ  รังแกเด็กได้อย่างไรกัน ข้าเพิ่งจะเกิดมา รู้แต่ว่าต้องกลืนกินอีก 4 มิติที่เหลือ ไหนบอกว่าคนเราพอเผชิญหน้ากับความตายแล้วจะมีแรงฮึดสู้ มีแรงบันดาลใจอย่างมากมิใช่หรือ ฮือๆ ทำไมเจ้าถึงไม่เป็นเช่นนี้ล่ะ“ โม่หรานเสียใจจนร้องไห้อย่างไร้ซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ ในฐานะที่เป็นภูติวิญญาณที่เพิ่งเกิดมา หรือจะเป็นภูติที่ผ่านโลกมากมาก็เถอะ คิดไม่ถึงว่าจะโดนเด็กสาวผู้นี้รังแก ช่างไม่สมเหตุสมผลเลย!
“ภูติวิญญาณที่เพิ่งเกิดใหม่ ถ้าเช่นนั้นเรื่องผู้สร้างที่เจ้าพูดก็เป็นเรื่องโกหกล่ะสิ” หลิวหลีตัดบทมั่วหรานที่แสร้งร้องไห้ นี่คือภูติวิญญาณอะไรกัน เด็กดื้อยังน่ารักกว่าเขาอีก เทียนจิ้งกับเทียนหลิงยังไม่เคยลงไปดีดดิ้นเช่นนี้
“อึก ไม่ใช่ทั้งหมด มี ฮึก ส่วนหนึ่งที่เป็นจริง ฮึก” โม่หรานร้องสะอึกสะอื้น
“พูดมาสิ เหตุใดถึงต้องการป้ายหยกประจำสกุลของทั้ง 4 สกุล?” นางไม่เชื่อตำนานนั่นหรอก
“พูดดีๆล่ะ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ให้หินวิญญาณเจ้า” ไม่ใช่เด็กจริงๆสักหน่อย ร้องไห้อะไรกัน
“อืม เพราะข้ากลืนกินมิติของเจ้าถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เมื่อก่อนมีเพียงสติรับรู้ง่ายๆเท่านั้น คำพูดเหล่านี้สืบต่อมาอย่างไม่ปะติดปะต่อจากนายท่านหลายๆคน นายท่านเองก็มาจากการเหนือความคาดหมาย หยาดเลือดและหยดน้ำตาของเจ้าได้ผูกพันธสัญญากับข้าแล้วในยามที่ข้ามีสติแล้วข้าก็กลืนกินมิติของเจ้าโดยไม่รู้ตัว เพราะพลังเซียนข้าไม่เพียงพอ ข้าถึงได้ต้องกลืนกินพลังเซียนอย่างสุดความสามารถ ถึงได้กลายร่างมา ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายประเภทเดียวกัน สติสัมปชัญญะบอกข้าว่ากลืนกินพวกมันจะทำให้ยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้น ดังนั้นข้าถึงได้เอาเรื่องที่ได้ยินมาจากอดีตมาหลอกลวงนายท่าน” มั่วหรานยอมสารภาพ
“กลืนกินมิติอื่นจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นหรือ มีประโยชน์อะไรหรือ?”
“น่าจะสมบูรณ์แบบมากขึ้น  อีกทั้งทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆมากขึ้น”
“ตอนนี้เจ้าก็ใช้ได้แล้ว ข้าพอใจมาก อีกทั้งเจ้ารู้สึกว่าข้าน่าจะขโมยป้ายหยกประจำสกุลผู้อื่นเพื่อสมจจิฐานที่ข้าเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วถูกคนทั้งโลกไล่ล่า มีบ้านแต่กลับไม่ได้ มีสหายก็มิอาจพบหน้า” ประโยคสุดท้ายของหลิวหลีฟังแล้วช่างหดหู่อย่างยิ่ง
“มิได้ๆ ไม่ใช่ให้นายท่านไปขโมย ขอแค่นายท่านสัมผัสมัน ข้าก็สามารถดูดพลังได้แล้ว” โม่หรานรีบดึงชายเสื้อของหลิวหลี แสดงให้นางเห็นว่านางไม่ต้องโดนไล่ล่าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว
“แค่ข้าสัมผัส เจ้าก็ดูดซึมได้หรือ ต้องใช้เวลานานขนาดไหน?”  หลิวหลีครุ่นคิด จำต้องพูดว่านางต้องระมัดระวัง แต่ก็ค่อนข้างยากมากทีเดียว ความยากเย็นเช่นนี้นางคงต้องลองฝืนทำดูสักครั้ง
“ไม่ต้องใช้เวลานานมากนักหรอก 5 นาทีก็พอ” โม่หรานเห็นความหวังรำไร จึงรีบลนลานตอบ
“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน” หลิวหลีพูดจบก็ออกจากมิติไป โม่หรานลูบคาง นี่นางเห็นด้วยหรือไม่กันแน่
“อาเลี่ย มาคุยกันหน่อย” หลิวหลีตะโกนเรียกเอ๋าเลี่ย
“มีอะไรล่ะ นังหนู” ช่วงนี้เอ๋าเลี่ยกำลังเล่นสนุก ไม่สิ กำลังฝึกเด็กสองคน
“อาเลี่ย ในมิติที่ผลาญของอันนั้นของข้าจู่ๆมีภูติวิญญาณ เพิ่งเกิดใหม่เสียด้วย“ หลิวหลีพูดอย่างเคร่งขรึม
“มีภูติวิญญาณรึ มันพูดอะไร?” เอ๋าเลี่ยตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่ามีภูติวิญญาณ นี่ถือได้ว่าเป็นอาวุธเซียนแล้วกระมัง
“ต้องการให้ข้าไปขโมยป้ายหยกประจำสกุลของทั้ง 4 สกุล”
“นังหนู เจ้าพูดอะไรนะ ให้เจ้าไปขโมยป้ายหยกหรือ” เอ๋าเลี่ยพูดไม่ออก ภูติวิญญาณที่ส่งเจ้านายของตัวเองไปตายนี่ไม่ค่อยได้เจอมากนักหรอก
“ประมาณนั้น ข้าต้องถือเอาไว้ราวๆห้านาที มันถึงสามารถดูดเอามิติภายในได้”
“เจ้าหมายความว่า ป้ายหยกของสกุลอื่นล้วนมีมิติ เพียงแต่ไม่มีดวงจิต “เอ๋าเลี่ยดูเหมือนจะจับประเด็นอะไรได้
“น่าจะเป็นเช่นนั้น เงื่อนไขที่จะปลดผนึกค่อนข้างยากลำบาก ข้านี่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ” หลิวหลีคิดครู่หนึ่งจึงพูดออกมา
 “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ลองดูก็ได้ ในแต่ละสกุลล้วนแต่กำลังทดสอบเพื่อมอบให้กับศิษย์ที่พวกเขาชื่นชอบ เจ้ามีโอกาสในการลงมือง่ายดายยิ่ง” เอ๋าเลี่ยตอบ
“พอเป็นเช่นนี้น่าจะง่ายสักหน่อย ข้ากำลังคิดเลยว่าถ้าอยู่กับพวกผู้นำสกุล ข้าต้งไปยั่วยวนพวกเชาหรือไม่”
“นังหนู เจ้าพูดอะไรออกมา” เอ๋าเลี่ยแทบไม่เชื่อหูตัวเอง นังหนูของเขาพูดอะไรออกมา นี่เป็นใคร ไม่ใช่นังหนูของเขาแน่นอน!
“แค่กๆ อาเลี่ย ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย ข้ารู้สึกว่าข้าจำเป็นต้องเตรียมอะไรหน่อย” นางพูดพล่อยๆออกมา ใครจะชอบผู้หญิงที่แต่งตัวไม่เป็นเช่นนาง
“นังหนูเอ้ย ใช้ยาที่เจ้าปรุงขึ้นมาให้มันน้อยๆหน่อย” เอ๋าเลี่ยไพล่นึกถึงปัญหาอื่นขึ้นมาได้
“ทำไมล่ะ?” หลิวหลีเอียงหัวพลางเอ่ยถาม
“นังหนู เจ้าไม่รู้ว่าพรสวรรค์ในการปรุงยาของเจ้าน่ากลัวเพียงใด นักปรุงยาในระดับเดียวกับเจ้าที่อยู่ด้านนอกนั้นโอกาสในการประสบความสำเร็จของพวกเขาไม่ถึงหนึ่งในสิบของเจ้าด้วยซ้ำไป” พอนึกว่ายามนางมอบของขวัญให้ผู้อื่นนางให้แต่ยา เฮ้อ นังหนูช่างไม่รู้คุณค่าของยาตนเอง ไม่เคยมีประสบการณ์ในการประมูลสินะ
“แต่ว่า แต่ข้ามีแต่ยาเท่านั้น” หลิวหลีพูดพลางบิดชายเสื้อ
“นังหนู ให้น่ะได้ เม็ดสองเม็ดก็พอแล้ว” เห็นดวงตาเล็กๆที่สะท้านของนางแล้ว เอ๋าเลี่ยจึงกลับคำพูดอย่างอดไม่ได้ พออยู่ด้วยกันไปนานๆ เห็นนังหนูลดมาตรฐานของตนเองลง เฮ้อนี่เป็นชะตาหรือเคราะห์กรรมกันแน่
“ได้เลย” หลิวหลีตอบรับอย่างไม่ลังเล
ณ อาณาบริเวณของสกุลฮัว ฮัวจิงเฟยแฝงตัวเข้ามาในพื้นที่สกุลหลงโดยอาศัยคู่พันธสัญญา แค่คิดก็เจ็บใจ คนสกุลหลงช่างไม่รู้อะไรเลย พอคิดถึงตำแหน่งที่อยู่ของเทพธิดา ฮัวจิงเฟยก็ค่อยๆแฝงตัวเข้าไปในที่พักของหลิวหลี หลงเหวินเซวียนรู้สึกได้โดยทันทีเลยว่า มิน่าล่ะเจ้าเด็กนี่ถึงได้ถูกใจเขา
ตอนนี้หลิวหลีกำลังทำหมูชุบแป้งทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน วางแผนว่าพอทำกุ้งนึ่งเห็ดหอมเสร็จ จะทำเครปเค้กมะม่วง รู้สึกถึงอะไรบางอย่างทันที เพลิงอัสนีครามถูกวางไว้หน้าประตูอย่างเงียบเชียบอย่างไรเสียทุกคนต่างรู้แล้วว่าตนเองมีเพลิงอัสนีคราม
ฮัวจิงเฟยอยากจะเซอร์ไพรส์หลิวหลี แต่คิดไม่ถึงว่านางฟ้าจะเจอเขาก่อน ทำเซอร์ไพรส์เขา!
“นี่มันอะไรกัน” ฮัวจิงเฟยมองเปลวไฟบนร่างตนเอง ทำไมถึงดับไม่ได้ซ่อนไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นเปลวไฟเหมือนถูกอัญเชิญ ออกไปจนหมด  ฮัวจิงเฟยถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้านางฟ้าอยู่ไม่ไกลมองเขาด้วยใบหน้าสงสัย ในมือมีเปลวไฟที่ยังไม่ดับ
“นางฟ้า นางฟ้า ข้าคือฮัวจิงเฟย คนสกุลหลงช่างน่าชังนัก ล้วนไม่ยอมให้ข้าขื่นชมบารมีท่าน” พอฮัวจิงเฟยพูดจบ เส้นเลือดบนหน้าผากของหลิวหลีก็ปูดโปน เหตุใดสกุลฮัวถึงได้มีเด็กที่ซวยเช่นนี้ แค่จะพบกันก็ต้องชมบารมีเลยหรือ มิน่าคนสกุลหลงถึงไม่ชอบเขา
“หลิวหลี”
“นางฟ้า ข้าย่อมต้องรู้ชื่อเจ้าอยู่แล้ว นางฟ้า ท่านร้ายกาจเหลือเกิน หน้าตาไม่เพียงงดงามยังเป็นนักปรุงยายอดเยี่ยมด้วย ยานั่นน่าชังนัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ข้าหลับใหลไปจนการแข่งขันแบบกลุ่มจะจบลงไป แถมยังมีสกุลจ้านที่น่าขันนัก คนกลุ่มนั้นทำเรื่องเหลวไหล ช่างสนุกนัก” คนผู้นี้ผีเจาะปากมาพูดกระมัง หรือเป็นคนป่าที่ไม่ค่อยได้เจอคนนานจึงไม่อาจระบายออกมาได้
“นี่ นางฟ้า เจ้ากำลังทำอะไร หอมมากเลย เอ๋” ดูสิ เขาเห็นอะไรกัน ผู้ที่ถูกผู้ปรุงยาเห็นเป็นเตาหลอมยาเดินได้กำลังทำอาหารอยู่! หรือว่าใช้เตาหลอมยาทำอาหารจะทำให้ค่อนข้างอร่อย หรือว่านี่จะเป็นเตาหลอมยาที่นามเตรียมเอาไว้ จะต้องเป็นเช่นนี้แน่
“อืม มีอะไรหรือ?” หลิวหลีพบว่าตนจะยิ่งเย็นชาขึ้นไปเรื่อยๆทุกที คำพูดคำจาเป็นเพียงคำๆเท่านั้น
“ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากมารู้จักนางฟ้าเท่านั้น  อยากเป็นเพื่อนกับท่าน” ฮัวจิงเฟยพูดพลางส่ายศีรษะ
“อืม พบแล้ว” หลิวหลีพยักหน้า ความหมายที่แฝงเป็นนัยๆก็คือเมื่อมาพบแล้วก็ควรจะไปได้แล้ว
“นางฟ้า ข้าขอชิมได้ไหมอาหารได้หรือไม่ นางฟ้าท่านรู้ไหม สาเหตุที่ข้าพ่ายแพ้ก็เพราะว่าอาหารที่ท่านทำเมื่อ 3 วันก่อนเอร็ดอร่อยเกินไป ชาก็ไม่หอม อาหารก็ไม่อร่อย ข้าหิวถึงได้แพ้”
คนผู้นี้อัจฉริยะชัดๆ เมื่อครู่ยังบอกว่านางหลอมยาได้ดี ยาของนางทำให้สลบไสล แล้วเปลี่ยนเรื่องมาโทษเพราะอาหารที่นางทำนั้นหอมเกินไป ทำให้เขาหิวจนพ่ายแพ้ไป หน้าคนผู้นี้ทำจากอะไรกันนะ ผู้นำสกุลฮัว เร็วเข้า เด็กปัญญาอ่อนในสกุลของพวกเจ้าโร่หนีออกมา ยังไม่รีบเอากลับบ้านไปอีก
 ……………………………………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset