บทที่ 2
“หล่อมากเลยเฮีย วันนี้เฮียของหมวยหล่อมาก”
น้องสาวสุดน่ารักเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงกระปรี้กระเปร่าอย่างตื่นเต้นจนออกนอกหน้า ราวกับเป็นวันหมั้นของผมจริง เสียงั้น แค่วันนี้ผมมีนัดทานข้าวกับว่าที่สามีในอนาคตน้องผมถึงกับออกอาการจนเกินเหตุ ส่วนพี่หวานที่ยืนอยู่ข้างหลังคอยมองมองด้วยรอยยิ้มเคอะเขิน
“เฮียของหมวยเป็นยังไงบ้างพี่หวาน”
สาวหุ่นอวบอั้นของน้องผมหันตัวไปถามพี่หวานที่ยืนกุมมือไว้ตรงหน้าด้วยท่าทางนอบน้อบแล้วเผยยิ้มออกมาอย่างจริงใจซึ่งสีหน้าที่แดงระเรื่อของสาวใช้คนสนิทของผมทำให้หมวยถึงกับยิ้มออกมา
“หล่อมากค่ะคุณหนู วันนี้เฮียของคุณหนูหล่อมากค่ะ”
น้ำเสียงดูจะมีชีวิตชีวามากกว่าทุกวันของพี่หวาน มันช่างแตกต่างกับผมตอนนี้เหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าถูกบังคับให้ไปจากคำสั่งของอากงอาม่า ตอนนี้ผมคงได้นั่งสังสรรค์กับพวกเพื่อนตัวเองแล้วไม่ต้องมานั่งรอให้ใครบางคนมารับแบบนี้หรอก
“รับรองถ้าเฮียขุนศึกเห็นต้องตะลึงแน่นอน หมวยรับรอง!”
หน้าขาวกลมบ๊อกของหมวยยื่นหน้ามาใกล้ผมแล้วมองตรงไปยังกระจกบานใหญ่ซึ่งปรากฏสะท้อนตัวของพวกเราอยู่อีกฝากฝั่งหนึ่ง สีหน้าของหมวยยิ้มแย้มทุกครั้งที่พูดถึงชายผู้เป็นว่าที่สามีในอนาคต หากแต่สำหรับผมยังคงมีเพียงสีหน้าบึ้งตึงเท่านั้น จนผมแปลกใจไม่น้อยว่าสถานการณ์เดียวกันแต่อารมณ์สองพี่น้องอย่างเราช่างต่างกันสุดขั้ว
เสียงเรียกเข้าจากปลายสายดังขึ้นมาในระหว่างที่ผมนั่งเป็นหุ่นทดลองให้น้องสาวแต่งตัวเล่น มือขวาโน้มตัวไปคว้าโทรศํพท์ตัวเองขึ้นมา สายตาหลุบต่ำมองดูเบอร์ที่ถูกเมมเข้าเครื่องสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี่
ทำไมผมถึงได้เบอร์มานะหรอ…
ฝีมือของอาม่าตามเคย…
‘ขุนศึก’
เมื่อชื่อบุคคลนั้นแสดงบนหน้าจอก็ถึงจะถอนหายใจด้วยอาการห่อเ**่ยว ผมนั่งมองสายตาไร้อารมณ์ก่อนที่นิ้วมือตัวเองจะเลื่อนไถ่บนหน้าจอไปทางขวาเพื่อกดรับสายโดยไม่อยากให้ทางนั้นถือสายรอนาน
เพราะความเกรงใจมันมีอยู่ในนิสัยผมมากโข…
‘จะถึงแล้ว ลงมา’
เสียงทุ้มของปลายสายเอ่ยพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะตัดไปโดยที่ผมยังไม่ทันตอบกลับอะไรเสียด้วยซ้ำ สีหน้างงงวยผุดขึ้นบนใบหน้าตัวเองทันทีที่โดนตัดสายอย่างไม่มีปรี่ไม่มีขลุ่ย
คนอะไรไร้มารยาทเสียจริง…
“เหอะ ถ้าจะพูดแค่นี้ไม่ต้องโทรมาก็ได้ไหม เหอะ”
ผมบ่นพรึมพรำกับตัวเองโดยสองมือของตัวเองนั้นยกขึ้นเซ็ตผมครั้งสุดท้าย ก่อนจะหยิบกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์เดินออกจากห้องตรงไปยังด้านล่าง ในระหว่างทางเดินลงแขนขวาตัวเองก็ถูกพันธนาการจากแขนของหมวยที่สอดมือคล้องแขนผมไม่ห่าง เมื่อเห็นการกระทำยัยแสบก็อดเผยยิ้มและเอี้ยวหน้าฝังจูบบนหัวไม่ได้ โตจนจะเข้ามหาลัยอีกไม่กี่เดือนแต่ยังมาทำตัวติดแจผมเหมือนเดิม
“หมวยตื่นเต้นแทนเฮียจัง ได้ไปเดตกับหนุ่มฮอตอย่างเฮียขุนศึก”
“…”
“เฮียรู้ไหมว่าเฮียขุนศึกติดอันดับผัวทิพย์ของสาวหลาย ๆ คนเลยนะเฮีย ไม่ใช่แค่ประเทศเรานะยังเป็นผัวทิพย์ที่จีนอีกต่างหาก”
“หรอ อะไรจะเว่อร์ขนาดนั้น”
“จริง ๆ นะเฮีย เฮียโชคดีกว่าผู้หญิงนับพันเลยนะ เฮียหมวยสุดยอด!”
สองขาก้าวลงบันได้พร้อมกับเสียงของหมวยที่เล่าออกอาการราวกับคนคลั่งไคล้ศิลปินสักคน ในจังหวะที่หมวยเล่าตัวก็บิดไปมาด้วยความเขินราวกับจะไปแทนผมเสียอีก สองเท้าแตะสู่พื้นกระเบื้องหรูสายตาผมจึงช้อนขึ้นมองหนุ่มร่างสูงที่วันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่ตั้งใจขึ้นจนถึงข้อศอก ส่วนกางเกงนั้นเป็นสแลคเก้าส่วนสีดำผมเห็นแวบแรกก็นิ่งค้างไปชั่วขณธและคิดในใจกับตัวเองว่าทำไมผูชายคนนั้นถึงแต่งตัวเรียบธรรมดาแต่กลับดูดีอย่างเหลือเชื่อ
“นั่นไงลงมาแล้ว เร็วๆ สิอาคับฟ้า ให้พี่เขายืนรอนานมันไม่ดีนะ”
เสียงอาม่าที่ยืนพูดคุยกับชายมาดนิ่งนั้นเมื่อหันมาเห็นผมก็ถึงกับกวักมือเรียกให้รีบเดินเข้าไปหา ร่างสูงกำยำเมื่อเห็นผมก็ตวัดมองผมแววตาเรียบเฉย ก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ ออกมาให้เมื่ออาม่ากับม๊าหันไปหาตัวเอง เมื่อผมเห็นแบบนั้นก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่แค่ผมที่ไม่เห็นด้วยกับงานหมั้นเพราะร่างสูงตรงหน้าก็คิดไม่ต่างไปจากผมเช่นกัน
“อาคับฟ้าเสร็จแล้ว พวกลื่อก็พากันไปได้แล้ว ไป ๆ”
ผมสัมผัสได้ว่าอาม่ากำลังไล่ต้อนให้พวกเรารีบออก สายตาผมลอบมองไปที่ม๊าด้วยสายตาละห้อยส่วนหมวยก็ได้แต่ยืนแอบชูสองนิ้วขึ้นมาอย่างให้กำลังใจคู่กับพี่หวาน
นี่ผมต้องไปจริง ๆ หรอ…
“งั้นผมไปก่อนนะครับอาม่า สวัสดีครับ”
ร่างสูงเอ่ยบอกลาและยกมือขึ้นไหว้อย่างมีมารยาทก่อนจะเดินเข้ามาคว้ามือขึ้นไปจับต่อหน้าทุกคน การกระทำดังกล่างทำเอาตัวผมแข็งทื่อราวกับเป็นหิน ไม่ใช่ว่าไม่เคยจับมือกับใครมาก่อนเพราะมากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว แต่ที่อึ้งคือผมถูกโจมตีโดยที่ไม่ได้ทันตั้งตัว
“ไปกันได้แล้ว ด้วยจะดึกไปกันใหญ่”
สีหน้าฉายแววยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของอาม่าเมื่อเห็นการกระทำของคนร่างสูงที่ตอนนี้ได้กุมมือผมไว้แน่น และไม่นานนักตัวผมก็โดนจูงมือไปพร้อมกับรอยยิ้มของทุกคนที่ส่งมา เมื่อสองขาพ้นออกจากประตูบานใหญ่จนเดินถึงรถปอร์เช่สีส้มที่จอดอยู่บริเวณหน้าบ้าน มือที่กุมผมไว้ด้านในเมื่อครู่ถูกสะบัดออกอย่างแรง และผมไม่แปลกใจเลนสักนิดเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่ามันเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น และคนอย่างคับฟ้าคนนี้ก็ไม่ได้คาดหวังให้มันเป็นเรื่องจริงสักนิดเดียว
“ขึ้นรถ กูไม่มีเวลาว่างมาก”
เสียงเฉยชาแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันแตกต่างจากเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว สีหน้าไม่สบอารมณ์ของร่างสูงที่ยืนมองผมอย่างไม่ชอบพอ ก่อนจะหลุบตัวเข้าไปในรถเมื่อเห็นผมนั่งยืนนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื่อนตัวไปไหน
“กูบอกให้รีบขึ้นมา!”
น้ำเสียงตะคอกไม่ดังมากและสายตายดุดันไร้ซึ่งการอ่อนโยนของคนตรงข้ามที่ยืนท้าวแขนขอบหลังคารถฝั่งคนขับ มองดูว่าเมื่อไหร่ผมจะทำตามสิ่งที่เจ้าตัวบอก เมื่อสถานการณ์พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ผมก็อดจะแค้นขำออกมาเสียไม่ได้
เจอกันครั้งแรกระยะประชิดก็ทำเอาผมประเมินให้ติดลบไปเลย…
“ถ้ายุ่งมาก ไม่มาแต่แรกก็จบ”
แล้วมีหรือที่คนอย่างคับฟ้าจะยอมอ่อนข้อให้ง่าย ๆ ผมมองกลับไปด้วยสายตาท้าทายไม่เกรงกลัวสักนิดถึงคนตรงข้ามผมจะอายุห่างกันสี่ปีก็ตามที
สนที่ไหน…
“กูไม่ได้อยากมานักหรอกแต่มันจำใจต้องมา!”
ประโยคแสนจะเย็นชาเอ่ยพูดออกมาด้วยแววตาที่นิ่งเฉย ผมแค้นยิ้มกับสิ่งที่ตัวเองกำลังได้ยินจากปากของพ่อหนุ่มสุดฮอตตามที่น้องสาวตัวเองพึ่งพูดไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา สายตาตวัดขึ้นไปจ้องมองด้วยสีหน้าค่อนข้างผิดหวัง ผิดหวังแทนผู้หญิงทุกคนที่อยากจะมาเป็นสาวให้ชายผู้นี้ควงเล่น
“จะไปไหมล่ะ ไม่ไปจะได้เดินกลับเข้าบ้าน”
ด้วยความที่ไม่ได้อยากจะไปด้วยเป็นทุนเดิมและยิ่งร่างสูงเปิดประเด็นหาเรื่อง ผมก็ยิ่งรู้สึกเห็นดีเห็นชอบเข้าไปใหญ่ และการกระทำก็ไวกว่าความคิดเพราะผมเตรียมหันตัวกำลังจะเดินกลับไปทางเดิมที่พึ่งเดินผ่านมา ผมจึงหมุนตัวกลับเข้าบ้านแต่ขาที่กำลังจะเดินออกเพียงสองก้าวข้อมือก็ถูกกระฉากด้วยแรงมหาศาลจากบุคคลที่เคยยืนอยู่ตรงประตูคนขับ แต่ตอนนี้กลับกลายมาอยู่ตรงหน้าแถมกระฉากจนตัวผมเซไปซบกับอกกว้างแทน
“มึงอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่! ขึ้นรถ!”
เสียงพูดเบา ๆ แต่แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราดมาให้เมื่อผมไม่ทำตามสิ่งที่คนตรงหน้าบอก มุมปากผมยกยิ้มกลับไปโดยไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย คนคนนี้มันเป็นใครทำไมผมต้องกลัวด้วยล่ะ แค่ว่าที่คู่หมั้นที่ผมจำใจต้องหมั้นก็เท่านั้นเอง
“หรือว่ามึงกำลังแกล้งทำเป็นเล่นตัวให้กูสนใจ ชอบเรียกร้องความสนใจหรอเรา”
สายตาหลุบต่ำมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าในขณะที่ผมแนบชิดกับแผงอกหนาอยู่ คำพูดสุดแสนจะเข้าข้างตัวเองจนผมต้องรีบผลักตัวออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี แผ่นหลังกว้างแนบชิดไปกับตัวรถส่วนผมที่ทรงตัวได้ก็ออกมายืนเวว้นระยะห่างพอควร และได้แต่คิดในใจว่าประโยคเมื่อครู่ร่างสูงตรงหน้ากล้าพูดออกมาได้อย่างไร
ผมกำลังเรียกร้องความสนใจ ?…
สิ้นคิดที่สุด…
“ต่อให้บนโลกเหลือแค่มึง กูก็ไม่เอาหรอก!”
สรรพนามที่ใช้มันเหมาะสมกับหน้าตาและนิสัยแย่ ๆ ของคนตรงหน้ามากกว่าจะพูดดีด้วยได้ ร่างสูงเมื่อได้ยินในสิ่งที่ผมบอกสองมือจึงเลื่อนขึ้นกอดอกและมองมายังผมอย่างเหลืออด เป็นสิ่งตอกย้ำว่าผมไม่ใช่แค่ไม่สนใจแต่ผมไม่ชอบขี้เลยต่างหาก
“ปากดีนี่หว่า นึกว่าจะเรียบร้อยเหมือนที่อาม่ามึงชอบเล่าให้ฟัง”
สีหน้ายียวนกวนบาทาของว่าสามีในอนาคตทำเอาผมเกือบพุ่งใส่หน้าด้วยความเหลืออด แต่แล้วเสียงของอากงที่กำลังเดินเล่นในสวนหน้าบ้านโดยมีลุงสมศักดิ์คนดูแลอากงเดินผ่านมาตรงที่ผมยืนอยู่พอดี
“พวกลื่อยังไม่ไปกันอีกหรอ เดี๋ยวมันจะดึกเอานะ”
เสียงอากงที่พูดขึ้นทำให้ตัวผมที่หวังจะพุ่งสวนหมัดลงบนหน้าของคนตรงข้ามถึงกับชะงักไป สีหน้าแววตาผมจึงฉายแววโกรธเกลียดอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ต้องปรับสีหน้าไปหาอากงพร้อมกับรอยยิ้มที่ถูกปั้นแต่งเพื่อให้อากงสบายใจ
“กำลังไปครับกง งั้นผมไปก่อนนะ”
ผมพูดขึ้นก่อนที่จะหันตัวเดินขึ้นรถด้วยอารมณ์ที่บูดบึ้งเมื่อต้องมานั่งรถกับบุคคลไม่พึงประสงค์อย่างมัน ไอ้คนป่าเถื่อน จิตใจหยาบช้า ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลก เสียงเปิดประตูดังจากฝากฝั่งคนขับ เสียงเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของยี่ห้อดังสนั่นไปทั่วบ้านหลังใหญ่ ปอร์เช่สีส้มถูกเคลื่อนตัวออกไปตามทางหมู่บ้านจนเลี้ยวออกมาตามถนนใหญ่
“จะไปไหน”
ที่จริงไม่ได้อยากถามสักนิดเดียวแต่เพราะผมจำเป็นและผมก็ต้องมีสิทธิ์รับรู้เลยตัดสินใจเอ่ยปากถาม ในขณะที่อีกฝ่ายก็มั่วแต่สนใจกับโทรศัพท์ไล่กดเลือกเพลงโดยที่ไม่สนผม ยิ่งเห็นแบบนั้นผมถึงกับอดที่จะตะบะแตกไม่ได้ และสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ชอบเลยคือการโดนเมินใส่ในขณะที่มีผมเป็นผู้ร่วมสนทนาและตอนนี้ร่างสูงด้านข้างกำลังทำใส่ผมอยู่
“…”
“ไม่ได้ยินที่ถามรึไง!”
ผมเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างเยอะหากแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจและยังก้มหน้าสาละวนกับการเลือกเพลงเสียมากกว่าตอบคำถามผม เมื่อคำตอบกลับมีเพียงเงียบผมจึงจบการซักถามโดยที่ไม่อยากจะเสวนากับคนพันนี้อีกต่อไป ไม่ว่าร่างสูงจะพาไปที่ไหนก็คงเลือกไม่ได้อยู่แล้วเพราะสารถีมันไม่ใช่ผม
สายตาตัวเองหันออกนอกตัวรถทอดมองไปตามแสงไฟสีส้มด้วยความเพลิดเพลินตา ตัวรถคันหรูถูกเคลื่อนที่ไปตามท้องถนนได้ไม่ถึงกิโล รถปอร์เช่สุดหรูก็วิ่งเข้ามาจอดภายในปั้มขนาดใหญ่รถคันส้มถูกจอดอยู่หน้าห้องน้ำโดยที่เจ้าของรถไม่ได้ลงไปไหนและเอี้ยวหน้าหันมามองผมด้วยแววตาจริงจัง
“อะไร แล้วมาจอดรถในปั้มทำไม”
ผมนั่งกอดอกมองว่าที่สามีในอนาคตอย่างไม่ลดละ ผมต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนพันนี้จริง ๆ หรอ คนที่ใจหยาบกระด่างที่สุดเท่าที่คนอย่างผมเคยเจอมา สายตาหลุบต่ำมองสำรวจชายผู้ที่มีสาวมากหน้าลายตาพร้อมเข้าหาและอยากจะครอบครอง ร่างสูงคนนี้คงไม่น่าจะมีอะไรดีนอกจากหน้าตากับรวย หากถามหาเรื่องอื่นไม่มีแม้แต่เสี้ยวเดียว
“มึงมองกูทำไม ทำไม๊ อยากลองจูบกับกูหรือไง”
และก็เป็นอีกครั้งที่คนตรงหน้าเกิดอาการเข้าข้างหรือหลงตัวเองเป็นรอบที่สอง ผมได้แต่ทำหน้าเอือมระอากับความคิดของผู้ชายคนนี้
“ให้ไปจูบตูดหมายังดีกว่าจูบกับมึงเลย”
เมื่อทำตัวสถุนมาผมก็สถุนกลับไม่โกงอยู่แล้ว แต่คำพูดผมดันไปจี้จุดจนทำให้ร่างสูงเกิดอาการไม่พอใจสุดขั้ว ข้อมือผมถูกกระฉากเข้าหาจนตัวมาชิดกับแผงอกแกร่ง ผมสะบัดตัวให้หลุดพ้นจากแรงกระชากแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะแรงผมนั้นมีน้อยกว่าอยู่มาก แรงที่กุมข้อมือผมไว้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นแรงบีบจนผมเริ่มรู้สึกเจ็บ
“มันเจ็บ! จะกระชากทำไมนัก…”
ยังไม่ทันที่จะพูดให้จบประโยคริมฝีปากหนาก็ก้มลงมาทาบริมฝีปากของผมโดยไม่ทันตั้งตัว จังหวะที่เผยปากออกทำให้ลิ้นของคนตรงหน้าสอดเข้าโพรงปากเกี่ยวพันลิ้นผมอย่างฉกฉวย ริมฝีปากล่างผมถูกขบอย่างแรงจนรู้สึกถึงกลิ่นคาว เมื่อผมเริ่มต้นดิ้นให้ออกจากการแผงอกกว้างฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งก็เอื้อมมาล็อคคางผมไว้ไม่ให้หันหน้าหนีหรือดิ้นไปไหนได้
“อื้อ!”
เป็นการจูบที่ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายสักนิดและมันค่อนข้างไปในทางรังเกียจเสียมากกว่า ตัวผมดิ้นสู้อยู่นานโดยริมฝีปากผมถูกบดขยี้และดูดคลึงไร้ซึ่งการตอบสนองใด ๆ ตอนน้าราวกับผมเป็นท่อนไม้ เมื่อคนตรงหน้าฉกฉวยริมฝีปากอย่างพอใจก็ผลักตัวผมออกแล้วมองหน้าผมด้วยความสะใจที่ถูกฉายแววออกมาจากนัยตาคู่นั้น
“อย่าปากดีให้มันมาก ถ้าไม่อยากโดนกูจูบอีกรอบ”
สองมือถูกกำหมัดเข้ามาหากันอย่างคับแค้นใจเมื่อต้องมาร่วมหายใจแย่งออกซิเจนในพื้นที่เดียวกันกับคนแบบนี้ ผมใช้หลังมือถูปากตัวเองจนเกิดอาการแสบร้อนจากการเสียดสีของผิวหลังมือ สายตาเอาแต่จับจ้องไปที่คนขับด้วยความเกรี้ยวกราด
“ไอ้ควาย…”
เมื่อทำอะไรไม่ได้ผมก็ขอเลือกที่จะด่าออกมาแทนก็แล้วกัน หากสู้ด้วยเรื่องกำลังผมอาจจะแพ้เพราะขนาดตัวผมบอบบางกว่าไอ้คนขับอยู่มากโข ดังนั้นผมขอเลือกวิธีที่ถนัดอย่างเช่นปากตัวเองก็แล้วกัน
“มึงว่าไงนะ”
เพลงช้าสากลถูกเปิดคลออยู่ในรถไม่ได้ดังมากขนาดที่เจ้าของรถมันไม่ได้ยินหรอกนะ แต่ที่มันถามคงอยากจะได้ยินแบบชัดถ้อยชัดคำอีกรอบก็เป็นได้ ดังนั้นผมก็น้อบรับคำท้าทาย โดยการที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับรอยยิ้มเตรียมจะเอาคืนในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
“กูบอกว่า”
“…”
“ไอ้-ควาย!”
แววตาฉายถึงความโมโหขั้นสุดนัยน์ตาของพ่อหนุ่มรูปหล่อที่เป็นผัวทิพย์ของใครหลาย ๆ คน ผมเบะปากด้วยสีหน้ายียวนชวนบาทาโดยไม่คิดเกรงกลัวใด ๆ คนตรงหน้าแค้นขำในลำคอหลุบมองต่ำลงมาหยุดบริเวณปากก่อนจะยกมือขึ้นมารั้งคอแล้วกดขยี้ริมฝีปากของผมอีกครั้ง ด้วยอาการที่ไหวตัวช้ากว่าทำให้ผมพลาดท่าเสียอีกจนได้
“อื้อ!”
ริมฝีปากตัวผมถูกบดขยี้ด้วยความไม่ยินยอม สองแขนผมทุบลงบนแผงอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไร้ปฏิกิริอะไรตอบสนอง เมื่อการกระทำของผมไม่สามารถให้ชายผู้นี้หยุดการกระทำขัดขืนใจผมได้งั้นก็คงต้องใช้วิธีอื่นเสียแทน และการกระทำก็ไวกว่าความคิดเสมอ ผมเลื่อนมือขวาที่ถนัดเลื่อนลงไปตรงเป้ากางเกงตุงตรงหน้าด้วยความว่องไว แล้วออกแรงบิดอย่างสุดกำลังทำให้ริมฝีปากของผมเป็นอิสระภาพภายในเสี้ยววินาทีและแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องโหยหวยแทน
“อึ่ก! ม…มึง!”
“สมน้ำหน้า! ใครให้มึงมาจูบกู! ไอ้ควาย!”
แสงจากไฟห้องน้ำนั้มสาดกระทบเข้ามาในรถ ผมจึงเห็นใบหน้าแดงก่ำใช้สองมือกุมเป้าตัวเองด้วยความเจ็บปวดสุดแสนจะทรมาน สังเกตได้จากเส้นเอ็นที่ฉายขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลาคนนี้ ผมยกยิ้มด้วยความสะใจแล้วหันไปนั่งหน้าเชิดอย่าไม่รู้สึกผิดสักนิดเดียวเพราะความสะใจมันเปี่ยมล้นเสียจนผมอารมณ์ดี
อันที่จริงก็ไม่อยากนั่งในนี้ต่อเสียเท่าไหร่หากทำได้ผมคงเปิดประตูออกไปนานแล้ว แต่มันติดที่ว่าประตูมันล็อคเท่านั้น เมื่อนั่งสงบสติอามรณ์กัยตัวเองยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งแค้นที่มันพลาดท่าถูกจูบไปสองรอบ…
ซึ่งความพีคของวันนี้คือผมจูบกับผู้ชาย…
ผมจูบกับผู้ชาย…